การเมืองไทยเต็มไปด้วยการต่อสู้กันเองระหว่างนักการเมืองต่างขั้ว ต่างผลประโยชน์ ต่างความเชื่อ เป็นระบบการเมืองไม่สร้างสรรค์ ใช้พลังปัญญาของชาติไปในทางที่หมดแรงไปด้วยกัน แทนที่จะรวมพลังกันสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่สังคม ประเทศ และโลก มีตัวอย่างประเทศอื่นบ้างไหม ที่ระบบการเมืองเป็นระบบสร้างสรรค์ นักการเมืองผลัดกันอาสาเข้าไปทำหน้าที่พัฒนาชุมชน ท้องที่ ประเทศ และโลก เขาจัดระบบการเมืองอย่างไร ต่างจากระบบของไทยอย่างไร ทำอย่างไรระบบการเมืองไทยจึงจะพัฒนาไปในทางนั้น
ข้างบนนั้น เป็นข้อรำพึงเชิงสะท้อนคิดของผม เมื่อนำไปถามสหายเอไอทั้งห้า ก็ได้คำตอบที่คมชัดไปในทางเดียวกัน ขอเลือกคำตอบของ Gemini และ ChatGPT มาลงไว้
Gemini :
“การที่คุณมองว่าการเมืองไทยเต็มไปด้วยการต่อสู้ แบ่งขั้ว และใช้พลังของชาติไปในทางที่หมดไปกับการช่วงชิงอำนาจ แทนที่จะรวมพลังกันสร้างความก้าวหน้านั้น เป็นข้อสังเกตที่ตรงกับความเป็นจริงที่หลายคนในสังคมไทยรู้สึกครับ และเป็นคำถามสำคัญที่นำไปสู่การหาแนวทางปฏิรูป
ในขณะที่การแข่งขันทางการเมืองเป็นธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุล แต่ในบางประเทศก็สามารถบริหารจัดการความขัดแย้งทางการเมืองให้เป็นไปในทิศทางที่สร้างสรรค์และมุ่งเน้นประโยชน์ส่วนรวมได้ดีกว่า
ตัวอย่างประเทศที่ระบบการเมืองสร้างสรรค์และนักการเมืองมุ่งพัฒนา
มีหลายประเทศที่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการเมืองที่เน้นการพัฒนาและสร้างสรรค์มากกว่าการต่อสู้ทำลายล้าง ซึ่งมักมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมทางการเมืองที่แข็งแกร่งและสถาบันที่มั่นคง
1. กลุ่มประเทศนอร์ดิก (Nordic Countries) เช่น สวีเดน, นอร์เวย์, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์
- วัฒนธรรมทางการเมือง:
- Consensus-Oriented (เน้นฉันทามติ): แม้จะมีการแข่งขัน แต่พรรคการเมืองมักพยายามหาจุดร่วมและสร้างฉันทามติในการตัดสินใจเชิงนโยบายสำคัญๆ เพื่อประโยชน์ของประเทศโดยรวม ไม่ใช่แค่ชัยชนะของพรรค
- Trust and Transparency (ความไว้วางใจและความโปร่งใส): ประชาชนมีความไว้วางใจในสถาบันการเมืองและนักการเมืองสูง และระบบการบริหารงานมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้
- Welfare State Mindset (แนวคิดรัฐสวัสดิการ): นักการเมืองและประชาชนเห็นพ้องต้องกันในคุณค่าของรัฐสวัสดิการ ซึ่งหมายถึงการจัดสรรทรัพยากรเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนอย่างเท่าเทียม ทำให้การเมืองเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตมากกว่าการช่วงชิงทรัพยากรเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
- Meritocracy (ยึดหลักคุณธรรมความสามารถ): การคัดเลือกและแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองหรือราชการ มักพิจารณาจากความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เป็นหลัก
- การจัดระบบการเมืองที่ต่างจากไทย:
- ระบบพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ชัดเจนและมั่นคง: พรรคการเมืองมีฐานอุดมการณ์ที่แข็งแกร่งและสมาชิกยึดมั่นในหลักการ ทำให้การเปลี่ยนแปลงพรรคหรือการย้ายค่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตนเกิดขึ้นน้อยกว่า
- ความเข้มแข็งของสถาบันประชาธิปไตย: ศาล, สื่อ, องค์กรตรวจสอบอิสระ มีความเป็นอิสระและสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐได้อย่างแท้จริง โดยไม่ถูกแทรกแซงหรือครอบงำจากฝ่ายการเมือง
- บทบาทของภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง: กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสหภาพแรงงาน องค์กรธุรกิจ หรือ NGOs มีบทบาทในการถ่วงดุลอำนาจและผลักดันนโยบายอย่างสร้างสรรค์ผ่านการเจรจาและการมีส่วนร่วม
- ระบบเลือกตั้งที่ส่งเสริมการรวมกลุ่ม: แม้จะเป็นระบบสัดส่วนที่ทำให้มีพรรคเล็กๆ มากมาย แต่พวกเขากลับเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันในรัฐบาลผสมได้อย่างมีเสถียรภาพ
2. เยอรมนี
- วัฒนธรรมทางการเมือง:
- Consensus and Compromise (ฉันทามติและการประนีประนอม): เยอรมนีมีประวัติศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้จากความขัดแย้งรุนแรงในอดีต ทำให้การเมืองของพวกเขามุ่งเน้นการหาฉันทามติและการประนีประนอมสูงมาก พรรคการเมืองใหญ่สามารถจับมือกันเป็นรัฐบาลผสมได้อย่างราบรื่น แม้จะอยู่คนละขั้วอุดมการณ์ก็ตาม
- Long-term Planning (การวางแผนระยะยาว): เน้นการวางแผนและนโยบายที่มองไปข้างหน้า ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์ระยะสั้นหรือการเลือกตั้งครั้งหน้า
- Strong Rule of Law (หลักนิติธรรมที่แข็งแกร่ง): การบังคับใช้กฎหมายมีความเข้มงวดและเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ
- การจัดระบบการเมืองที่ต่างจากไทย:
- ระบบรัฐสภาที่มั่นคง: แม้จะมีหลายพรรค แต่ระบบรัฐสภาของเยอรมนีมีกลไกที่ส่งเสริมเสถียรภาพ เช่น Constructive Vote of No Confidence (การลงมติไม่ไว้วางใจเชิงสร้างสรรค์) ที่กำหนดให้ต้องมีผู้สมัครนายกรัฐมนตรีคนใหม่เสนอเข้ามาพร้อมกับการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีคนเดิม เพื่อป้องกันความไร้เสถียรภาพทางการเมือง
- การกระจายอำนาจ: การมีระบบสหพันธ์ (Federal System) ที่แต่ละรัฐมีอำนาจในการบริหารจัดการตนเอง ช่วยลดการกระจุกตัวของอำนาจและการช่วงชิงอำนาจส่วนกลาง
- การมีส่วนร่วมของประชาชน: กลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เข้มแข็งในระดับท้องถิ่น
ทำอย่างไรระบบการเมืองไทยจึงจะพัฒนาไปในทางนั้น
การปฏิรูปการเมืองไทยไปในทิศทางที่สร้างสรรค์และเน้นการพัฒนานั้น เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม นี่คือแนวทางที่เป็นไปได้:
1. สร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เน้นฉันทามติและประนีประนอม:
* ส่งเสริมการเจรจาและหาทางออกร่วมกัน: ผู้มีอำนาจและผู้นำทางการเมืองต้องเป็นแบบอย่างในการลดวาทะที่สร้างความเกลียดชังและหันมาใช้เวทีการเจรจาเพื่อหาจุดร่วม
* ปลูกฝังความอดทนอดกลั้นและความเคารพในความเห็นต่าง: ตั้งแต่ในโรงเรียน ครอบครัว และสื่อมวลชน
* ลดการเมืองแบบ "เอาชนะคะคาน" (Winner Takes All): ส่งเสริมให้พรรคที่ได้เสียงข้างน้อยมีบทบาทในการตรวจสอบและร่วมสร้างสรรค์นโยบายได้
2. เสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันประชาธิปไตย:
* ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ: ทำให้เกิดความเป็นอิสระอย่างแท้จริง ปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง และสามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเป็นธรรมและโปร่งใส
* ส่งเสริมเสรีภาพและความรับผิดชอบของสื่อมวลชน: ให้สื่อสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจรัฐและนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องรอบด้านแก่ประชาชน
* พัฒนาระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่เข้มแข็ง: ทั้งจากรัฐสภา ภาคประชาสังคม และประชาชน
3. ปฏิรูปโครงสร้างพรรคการเมือง:
* ส่งเสริมพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และนโยบายที่ชัดเจน: เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกพรรคจากนโยบายและหลักการ ไม่ใช่จากตัวบุคคลหรือผลประโยชน์
* พัฒนาความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรค: เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและคัดเลือกผู้สมัคร
* ลดการครอบงำของกลุ่มทุนหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง: ทำให้พรรคการเมืองสามารถทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
4. ยกระดับคุณภาพและสำนึกของนักการเมือง:
* ส่งเสริมจริยธรรมและธรรมาภิบาล: สร้างกลไกที่เข้มงวดในการตรวจสอบการทุจริตและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักการเมือง
* ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้ความสามารถ: นักการเมืองควรมีความรู้ความเข้าใจในประเด็นต่างๆ และสามารถเสนอแนวนโยบายที่ตอบโจทย์ความท้าทายของประเทศได้
* ปลูกฝังจิตสำนึก "ผู้อาสาพัฒนา": เปลี่ยนมุมมองจากการ "เข้ามามีอำนาจ" ไปสู่การ "อาสาเข้ามาแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ"
5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและประชาชน:
* พัฒนาการรวมกลุ่มและเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรค์: ให้ภาคประชาสังคมสามารถเป็นพลังในการผลักดันนโยบายและตรวจสอบภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
* ให้ความรู้พลเมืองและส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์: เพื่อให้ประชาชนสามารถแยกแยะข้อมูล ตัดสินใจทางการเมืองอย่างมีเหตุผล และไม่ตกเป็นเหยื่อของการปลุกปั่นแบ่งแยก
* สร้างกลไกการมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่น: เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาชุมชนของตนเองโดยตรง
6. ปรับเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง (หากจำเป็น):
* พิจารณาระบบการเลือกตั้งที่อาจส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือหรือลดการแบ่งขั้วทางการเมืองได้ เช่น ระบบสัดส่วนผสม (Mixed-Member Proportional Representation) ที่อาจช่วยให้พรรคเล็กๆ ได้รับโอกาสมากขึ้นและเกิดรัฐบาลผสมที่ต้องประนีประนอมกัน
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้ความอดทน แต่การที่ประชาชนตระหนักถึงปัญหาและเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนระบบการเมืองไทยไปสู่ทิศทางที่สร้างสรรค์และมุ่งเน้นการพัฒนาอย่างแท้จริงครับ”
ChatGPT :
“คำถามของคุณมีพลังมาก และสะท้อนความใฝ่ฝันของสังคมไทยจำนวนไม่น้อย ที่อยากเห็นการเมืองเป็นพลังสร้าง ไม่ใช่พลังทำลาย
ต่อไปนี้คือกรอบตอบที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วน:
❶ ตัวอย่างประเทศที่มีการเมืองเชิงสร้างสรรค์
มีไม่กี่ประเทศที่บรรลุ “การเมืองแบบผลัดกันสร้าง” อย่างแท้จริง แต่มีกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มเข้าใกล้เป้าหมายนั้น ได้แก่:
🇫🇮 ฟินแลนด์
- พรรคร่วมรัฐบาลมาจากแนวคิดต่างกัน แต่สามารถประนีประนอมเพื่อเป้าหมายร่วมระยะยาว เช่น การศึกษา ความเท่าเทียม และรัฐสวัสดิการ
- มีวัฒนธรรมการอภิปรายบนพื้นฐานของข้อมูลและการยอมรับเสียงของผู้เชี่ยวชาญ
🇳🇿 นิวซีแลนด์
- มีระบบเลือกตั้งแบบ MMP (Mixed Member Proportional) ทำให้มีรัฐบาลผสมโดยธรรมชาติ ช่วยลดความเป็น "เรากับเขา"
- ผู้นำอย่าง Jacinda Ardern แสดงให้เห็นว่านักการเมืองสามารถนำความเห็นอกเห็นใจและวิสัยทัศน์มาสู่การเมืองได้
🇨🇭 สวิตเซอร์แลนด์
- ใช้ระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (direct democracy) โดยให้ประชาชนลงประชามติบ่อยครั้ง
- รัฐบาลกลางเป็น "คณะรัฐมนตรีรวมพลัง" ที่พรรคใหญ่ๆ ร่วมบริหารประเทศร่วมกัน
❷ จุดต่างระหว่างระบบการเมืองเหล่านั้นกับไทย
ประเด็น | ประเทศเชิงสร้างสรรค์ | ไทย |
โครงสร้างรัฐ | กระจายอำนาจสูง ท้องถิ่นมีบทบาท | รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง |
วัฒนธรรมการเมือง | เน้นข้อมูล วิทยาศาสตร์ ความเห็นหลากหลาย | มักใช้อารมณ์ ความเชื่อ และอุปาทาน |
กลไกพรรคการเมือง | เปิดกว้างและแข่งขันด้วยนโยบาย | ผูกขาดโดยกลุ่มทุนและเครือข่ายอำนาจเก่า |
ระบบเลือกตั้ง | กระตุ้นให้เกิดรัฐบาลผสม | เปลี่ยนกติกาบ่อยและสับสน |
การตรวจสอบและความรับผิดรับชอบ | มีระบบถ่วงดุลที่ทำงานได้จริง | ระบบตรวจสอบอ่อนแอ ถูกแทรกแซง |
❸ แนวทางที่ไทยอาจพัฒนาไปสู่การเมืองสร้างสรรค์
1. ปฏิรูปโครงสร้างการเมืองให้ "เปิด"
- พัฒนาระบบเลือกตั้งให้สะท้อนเจตจำนงของประชาชนมากขึ้น
- ปรับกติกาพรรคการเมืองให้เปิดรับสมาชิกใหม่จากทุกระดับ
2. กระจายอำนาจอย่างแท้จริง
- ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจและงบประมาณอย่างแท้จริง
- เปิดพื้นที่ให้ "นักการเมืองเพื่อชุมชน" ได้เติบโตจากท้องถิ่น
3. ปรับวัฒนธรรมการเมือง
- ปลูกฝัง “วัฒนธรรมแห่งความจริง” (culture of truth) ในวงการการเมืองและสื่อ
- ส่งเสริมการใช้ข้อมูลและวิทยาศาสตร์ในการกำหนดนโยบาย
4. ยกระดับบทบาทพลเมือง
- ส่งเสริมการเรียนรู้พลเมืองประชาธิปไตยในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
- พัฒนากลไกการมีส่วนร่วม เช่น การลงประชามติท้องถิ่น สภาประชาชน
5. ใช้เทคโนโลยีสร้างพื้นที่กลาง
- สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการหารือนโยบายระหว่างฝ่ายต่างๆ
- ให้ข้อมูลเปิด (open data) สำหรับการตรวจสอบและการออกแบบนโยบายร่วมกัน
บทส่งท้าย
การเมืองสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเปลี่ยนแค่ระบบ แต่ต้องเปลี่ยน “วัฒนธรรมการเมือง” และ “จินตนาการร่วม” ของประชาชนต่อบทบาทของรัฐและพลเมือง คุณเสนอคำว่า “นักการเมืองอาสา” ซึ่งเป็นรากของอุดมคติประชาธิปไตย
หากไทยสามารถปลุกพลังของ “การเมืองอาสาเพื่อส่วนรวม” ให้มีพื้นที่จริงจังได้ สังคมจะเปลี่ยนจาก ‘สนามรบ’ มาเป็น ‘สนามร่วมสร้าง’”
เปลี่ยนระบบเท่านั้น ไม่เพียงพอ ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรม และเปลี่ยนจินตนาการร่วมของคนในสังคมด้วย
วิจารณ์ พานิช
๔ ก.ค. ๖๘