งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นเทรนด์ที่น่าสนใจว่า คุณแม่ยุคใหม่จำนวนมากหันมาสวมหมวก “ผู้ประกอบการ” เพราะมองว่าเป็นเส้นทางที่มอบอิสระ สร้างสมดุลระหว่างงานและครอบครัว และให้อำนาจในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ แต่เส้นทางสายนี้ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยเฉพาะในสายงานที่ต้องรับแรงกดดันสูงอย่างแพทย์ ปัญหาใหญ่ที่พวกเธอต้องเผชิญคือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ภาระการดูแลลูก และอคติที่ฝังรากลึกในโลกธุรกิจและการแพทย์ ซึ่งเป็นความท้าทายที่คุณแม่ยุคใหม่ต้องรับมืออยู่เสมอ (irishtimes.com)
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในโลกตะวันตก แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของสังคมไทยเช่นกัน ในยุคที่บทบาทของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางเศรษฐกิจและสังคม ผลสำรวจระดับโลกของมาสเตอร์การ์ดในปี 2567 ตอกย้ำเทรนด์นี้ โดยพบว่าสัดส่วนผู้หญิงเจน Z ที่เป็นเจ้าของธุรกิจในยุโรปพุ่งสูงถึง 29% ขณะที่กลุ่ม Gen X มีเพียง 17% ข้อมูลนี้สอดคล้องกับแนวโน้มในไทย ซึ่งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่าธุรกิจที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของในกลุ่มสุขภาพ ความงาม และเทคโนโลยี มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง (osmepsme.com)
อุปสรรคที่ยังต้องฝ่าฟัน
แม้ความฝันที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจจะสวยงาม แต่กำแพงด่านสำคัญที่ผู้หญิงต้องข้ามให้ได้คือความไม่มั่นใจในตัวเองและภาระในการดูแลลูก ผลสำรวจในยุโรปพบว่า ผู้หญิงถึง 31% รู้สึกไม่มั่นใจพอที่จะเริ่มต้นธุรกิจ เทียบกับผู้ชายที่มีเพียง 20% ส่วนเรื่องการดูแลลูก ผู้ประกอบการหญิง 14% ชี้ว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ ขณะที่ฝั่งผู้ชายมีเพียง 3% เท่านั้น สำหรับบริบทไทย ผลสำรวจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยปี 2566 ชี้ว่า คุณแม่ที่ทำงานในเมืองใหญ่กำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนศูนย์รับเลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพและราคาเข้าถึงได้ จนทำให้หลายคนจำต้องหยุดหรือชะลอความก้าวหน้าในอาชีพของตนเอง (bangkokpost.com)
ลองดูตัวอย่างของแพทย์ผิวหนังหญิงชาวไอริช 2 คน ที่ตัดสินใจร่วมกันเปิดคลินิกในปี 2562 โดยใช้เงินทุนส่วนตัวทั้งหมด จนกระทั่งธุรกิจเติบโตและสามารถต่อยอดไปสู่แบรนด์อาหารเสริมและศูนย์ผ่าตัดผิวหนังเฉพาะทางได้สำเร็จ โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตในแต่ละปีกว่า 40% กรณีศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่า การสนับสนุนจากครอบครัว ความยืดหยุ่นของเวลาทำงาน และความมุ่งมั่นที่จะทลายกำแพงทางเพศ คือหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคด้านเงินทุนยังคงเป็นปัญหาใหญ่ เพราะข้อมูลทั่วโลกชี้ว่าเม็ดเงินลงทุนจาก Venture Capital ที่ไหลไปถึงผู้ก่อตั้งที่เป็นผู้หญิงมีไม่ถึง 2% ด้วยซ้ำ อีกทั้งนักลงทุนมักซักไซ้ผู้หญิงเรื่องความเสี่ยงและผลกำไร แต่กลับถามผู้ชายถึงศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ (weforum.org)
สถานการณ์นี้ไม่ต่างจากสิ่งที่ผู้หญิงไทยต้องเผชิญ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ธุรกิจที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของมีโอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อธุรกิจน้อยกว่าผู้ชายถึง 30% เหตุผลหลักมาจากทัศนคติของสังคมที่ยังมองข้ามศักยภาพของผู้หญิงในบทบาทผู้นำ ขณะเดียวกัน “ภาระสองกะ” ที่ต้องรับผิดชอบทั้งงานนอกบ้านและงานในบ้าน ก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญ งานวิจัยจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยืนยันว่าหากปราศจากบริการดูแลเด็กและนโยบายที่ส่งเสริมความยืดหยุ่นในการทำงาน ผู้หญิงจำนวนมากจะยังคงถูกกีดกันจากโอกาสในการเป็นผู้ประกอบการ (chula.ac.th)
เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ: พร้อมเปลี่ยนแปลง
หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจให้ทัศนะกับ The Irish Times ว่า สังคมควรสร้างวัฒนธรรมที่เปิดรับและส่งเสริมความทะเยอทะยานของพ่อและแม่ไปพร้อมกัน เพราะทักษะจากการเป็นพ่อแม่ ทั้งความอดทน ความเอาใจใส่ และสมาธิ ล้วนเป็นคุณสมบัติล้ำค่าในการทำธุรกิจ เธอเสนอให้เพิ่มทีมผู้ลงทุนที่เป็นผู้หญิงและปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้เงินทุนเพื่อขจัดอคติที่ฝังรากลึก ขณะที่ผู้ร่วมก่อตั้งอีกคนย้ำว่า ความฝันที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพและการเป็นแม่ที่ดีสามารถเดินควบคู่กันไปได้ หากมีระบบสนับสนุนที่เหมาะสม
หัวใจสำคัญคือการผลักดันนโยบายเชิงรุกที่ทำให้บริการดูแลเด็กมีคุณภาพและเข้าถึงง่ายขึ้น เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีหรือเงินอุดหนุนค่าเลี้ยงดูบุตร การขยายสิทธิลาคลอดให้ครอบคลุมผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังขาดแคลนในประเทศไทย นอกจากนี้ สถาบันการศึกษาควรออกแบบตารางเรียนให้สอดคล้องกับเวลาทำงานของพ่อแม่ และจัดกิจกรรมหลังเลิกเรียนให้มากขึ้น เพื่อช่วยลดภาระความเหนื่อยล้าของครอบครัว
สังคมไทย: ระหว่างค่านิยมเดิมและอนาคตใหม่
ในสังคมไทย ค่านิยมที่มองว่า “แม่” ต้องเสียสละทุกอย่างเพื่อครอบครัวกำลังถูกท้าทายมากขึ้น ผู้หญิงยุคใหม่จำนวนไม่น้อยกล้าที่จะตั้งคำถามกับความเชื่อเดิมๆ และปฏิเสธที่จะเลือกระหว่างความฝันกับครอบครัว แม้ปัจจุบันจะมีโรงพยาบาลและองค์กรขนาดใหญ่บางแห่งเริ่มนำร่องจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กในที่ทำงาน หรือปรับเวลาทำงานให้ยืดหยุ่น แต่ก็ยังนับว่าเป็นส่วนน้อย (thairath.co.th) ในขณะเดียวกัน เครือข่ายผู้ประกอบการหญิง เช่น คณะกรรมการสตรีในกรุงเทพฯ หรือหอการค้าทั่วประเทศ กำลังลุกขึ้นมาส่งเสียงเรียกร้องนโยบายที่เอื้ออำนวย และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงรุ่นต่อไป
ในอนาคตอันใกล้ สังคมไทยจะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากร ทั้งสังคมสูงวัย การขยายตัวของเมือง และอัตราการเกิดที่ลดลง ซึ่งบีบให้ครอบครัวต้องพึ่งพารายได้จากทั้งสองฝ่ายมากขึ้นสวนทางกับระบบดูแลเด็กที่ลดน้อยลง หากประเทศไทยต้องการปลดล็อกศักยภาพของผู้หญิงอย่างเต็มที่ ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าภาครัฐต้องเร่งขยายบริการรับเลี้ยงเด็กให้ครอบคลุม เพิ่มแรงจูงใจทางภาษีสำหรับธุรกิจที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของ และส่งเสริมวัฒนธรรมการลงทุนที่เห็นคุณค่าของความหลากหลายในความเป็นผู้นำ
ข้อคิดสำหรับแม่ไทยผู้กำลังตัดสินใจ
สำหรับคุณแม่ชาวไทยที่กำลังยืนอยู่บนทางแยกระหว่างความก้าวหน้าในอาชีพและการดูแลครอบครัว งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่าความหวังที่จะสร้างสมดุลชีวิตและมีอิสระผ่านการเป็นผู้ประกอบการไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นจริงทั่วโลก นอกจากนี้ การมีเครือข่ายที่คอยสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ชุมชน หรือเพื่อนร่วมอาชีพ คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้หญิงก้าวข้ามทุกข้อจำกัด และสุดท้าย การร่วมกันส่งเสียงเรียกร้องนโยบายที่ดีขึ้น ทั้งเรื่องศูนย์รับเลี้ยงเด็ก ที่ทำงานที่ยืดหยุ่น และการเข้าถึงแหล่งทุนอย่างเป็นธรรม คือทางออกเดียวที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่และสร้างทางเลือกที่แท้จริงให้เกิดขึ้นได้
สำหรับผู้มีอำนาจกำหนดนโยบาย ผู้นำองค์กร และสถาบันการศึกษา การผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อขยายบริการดูแลเด็กให้มีคุณภาพและราคาที่เข้าถึงได้ รวมถึงการสนับสนุนธุรกิจของผู้หญิงอย่างเท่าเทียม จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ครอบครัวไทยที่มั่นคงและมีความสุขยิ่งขึ้น
สามารถอ่านข้อมูลต้นฉบับได้จากบทความใน The Irish Times (irishtimes.com) รวมทั้งดูเทรนด์ผู้ประกอบการหญิงจากรายงาน Mastercard (mastercard.com) และข้อมูลการเข้าถึงเงินทุนของผู้ประกอบการหญิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย (bot.or.th)