ในยุคนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในคอนโดใจกลางกรุงเทพฯ หรือนั่งชิลล์ในคาเฟ่ที่เชียงใหม่ เราจะเห็นภาพชินตาที่ผู้คนมีพฤติกรรมคล้ายกัน นั่นคือการกินข้าวไปพร้อมกับดูหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดซีรีส์เกาหลีคู่กับมื้อเที่ยง ไถฟีดติ๊กต็อกระหว่างกินผัดกะเพรา หรือดูยูทูบไปซดต้มยำกุ้งไป เราต่างผสานความบันเทิงเข้ากับมื้ออาหารจนเป็นเรื่องปกติ แต่เคยสงสัยไหมว่าพฤติกรรมนี้กำลังบอกอะไรเกี่ยวกับบุคลิกและสุขภาวะของเรา? งานวิจัยชิ้นล่าสุดที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร VegOut ได้เผย 7 ลักษณะเด่นของคนที่รู้สึกว่า “ขาดจอไม่ได้” เวลากินข้าว ซึ่งอาจช่วยให้เราเข้าใจตัวเองในยุคดิจิทัลนี้ได้ดียิ่งขึ้น (VegOut)
ภาพสะท้อนชีวิตยุคดิจิทัลของคนไทย
พฤติกรรมนี้ยิ่งเด่นชัดในบริบทของสังคมไทย ที่สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตราคาเข้าถึงง่ายได้เปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันไปอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั่งบนโต๊ะอาหาร ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ว่า ครัวเรือนไทยมีอัตราการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สูงเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานในเมือง ทำให้การกินข้าวไปดูจอไปกลายเป็นเรื่องธรรมดา การทำความเข้าใจจิตวิทยาเบื้องหลังนิสัยนี้ จึงไม่ใช่การตีตราว่าเป็น “โรคติดจอ” แต่เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้เราสร้างสมดุลและใช้ชีวิตอย่างใส่ใจมากขึ้น
ถอดรหัสพฤติกรรมกินข้าวคู่จอ: 7 ลักษณะนิสัยที่ซ่อนอยู่
งานวิจัยและความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาชี้ว่า การกินข้าวไปพร้อมกับดูจอไม่ได้หมายความว่าเราขี้เกียจหรือสมาธิสั้นเสมอไป แต่ยังสะท้อนถึงบุคลิกภาพและกลไกการรับมือกับความเครียดในรูปแบบต่างๆ
๑. สมองต้องการการกระตุ้นอยู่เสมอ
คนกลุ่มนี้มักจะทนความเงียบหรือช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรทำไม่ค่อยได้ จึงต้องหาซีรีส์ คลิป หรือเพลงมาเปิดเพื่อเติมเต็มความรู้สึกให้มีอะไรทำตลอดเวลา ในทางจิตวิทยา สิ่งนี้เรียกว่าการ “ควบคุมระดับการกระตุ้น” (arousal regulation) หมายความว่าคนที่กินข้าวหน้าจอมักต้องการสิ่งเร้าให้สมองรู้สึกตื่นตัวสูงกว่าคนทั่วไป เพราะความเงียบทำให้พวกเขารู้สึกว่างเปล่าหรืออึดอัด
๒. ผูกโยงอาหารเข้ากับความสบายใจ และใช้สื่อเพื่อหลีกหนีความจริง
อาหารไทยมีบทบาทในการเยียวยาจิตใจและสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัวมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการล้อมวงกินก๋วยเตี๋ยวเรือกับญาติมิตร หรือกินข้าวในห้างคนเดียว หลายคนจึงเลือกเติมความสุขแบบสองต่อ คือความอร่อยทางกายคู่กับสื่อบันเทิงที่ปลอบประโลมใจ ดร.ซูซาน แอลเบอร์ส ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการกิน อธิบายว่า การทำหลายอย่างพร้อมกันระหว่างมื้ออาหารอาจช่วยให้เรารู้สึกว่าจัดการชีวิตได้ดีขึ้นหรือคลายเครียด แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เราตัดขาดจากการรับรู้รสชาติอาหารและความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
๓. มักเมินเฉยต่อสัญญาณ “หิว” หรือ “อิ่ม” จากร่างกาย
งานวิจัยหลายชิ้น รวมถึงชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Health Psychology พบว่าการมีสมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอทำให้เราไม่ทันสังเกตสัญญาณเตือนว่า “อิ่มแล้ว” จากร่างกาย หลายครั้งจึงกินหมดจานโดยไม่รู้ตัวว่ากินอะไรไปบ้าง หรือกินในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น เพราะความสนใจทั้งหมดถูกส่งไปที่หนังหรือคลิปที่ดูอยู่ คนกลุ่มนี้มักมีบุคลิกที่เรียกว่า “การคิดโดยอิงจากปัจจัยภายนอก” (externally oriented thinking) หรือในทางจิตวิทยาคือภาวะ alexithymia ซึ่งหมายถึงการใช้สิ่งเร้าภายนอกมาเป็นตัวกำหนดความรู้สึกแทนที่จะฟังเสียงจากภายในร่างกาย (Journal of Health Psychology)
๔. ใช้สื่อเป็น “ที่หลบภัยชั่วคราว” หรือ “ไมโคร-เอสเคป”
หลายคนไม่ได้ต้องการหนีโลกทั้งใบ แค่ต้องการหลบจากความเป็นจริงสักครู่ระหว่างรออาหาร หรือใช้เป็นตัวช่วยเปลี่ยนโหมดอารมณ์ เช่น ดูซิตคอมตอนสั้นๆ หรือสตรีมเกมเพียงไม่กี่นาทีเพื่อคลายเหงาหรือทำให้ใจสงบลง คนไทยคุ้นเคยกับการ “หลบภัยชั่วคราว” แบบนี้เป็นอย่างดี อย่างการหยิบมือถือขึ้นมาไถระหว่างรอร้านอาหารตามสั่ง แต่ในกลุ่มที่ต้องกินข้าวดูจอเสมอ พฤติกรรมนี้จะเด่นชัดเป็นพิเศษ
๕. พลังของ “กิจวัตร” ที่สร้างความมั่นคง
ในวัฒนธรรมไทย กิจวัตรประจำวันมีความหมายซ่อนอยู่เสมอ ตั้งแต่การตักบาตรตอนเช้าไปจนถึงการดื่มชาเย็นยามบ่าย การกินข้าวพร้อมดูจอก็เช่นกัน มันได้กลายเป็นกิจวัตรยุคใหม่ที่มอบความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ท่ามกลางโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว หากต้องเปลี่ยนพฤติกรรมนี้กะทันหัน บางคนอาจรู้สึกหงุดหงิด ไม่ใช่เพราะดื้อรั้น แต่เป็นเพราะกิจวัตรที่คุ้นเคยซึ่งให้ความรู้สึกมั่นคงได้หายไป ดังที่ BJ Fogg นักวิทยาศาสตร์พฤติกรรมระดับโลกกล่าวไว้ว่า กิจวัตรเก่าๆ จะคงอยู่ต่อไปได้ง่ายหากมันช่วยแก้ปัญหาหรือเติมเต็มความรู้สึกที่สำคัญบางอย่างให้ชีวิต
๖. เป็นนักเรียนรู้ผู้กระหาย แต่สมองก็ล้าเป็น
คนที่ขาดจอไม่ได้เวลากินข้าวมักเป็นพวกที่ชอบเสพความรู้หรือเรื่องราวใหม่ๆ อยู่เสมอ แม้ในช่วงเวลาพักผ่อนก็ยังหาหนังสือหรือบทความมาอ่าน หรือเปิดสารคดีดูระหว่างกินข้าวมันไก่ แต่เพราะสมองที่โหยหาข้อมูลใหม่ตลอดเวลานี้เองที่ทำให้ล้าง่าย บางครั้งพวกเขาจึงเลือกดูสื่อเบาสมองอย่างคลิปตลกเก่าๆ หรือเพลย์ลิสต์ที่คุ้นเคย เพื่อให้สมองได้พักผ่อนโดยไม่ต้องเผชิญความเครียดเกินจำเป็น
๗. ใช้จอเป็น “ตัวช่วย” เปลี่ยนผ่านอารมณ์
สำหรับหลายๆ คน การสลับโหมดจากเรื่องงานมาเป็นเรื่องส่วนตัวแบบทันทีทันใดนั้นทำได้ยาก หรือรู้สึกเคอะเขินเมื่อต้องนั่งกินข้าวคนเดียว การเปิดวิดีโอหรือคลิปโปรดจึงทำหน้าที่เป็นเหมือน “สะพาน” ที่ช่วยเปลี่ยนผ่านอารมณ์ให้สมองได้ผ่อนคลายจากความตึงเครียด หรือช่วยคลายความอึดอัดใจ โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนและพนักงานออฟฟิศชาวไทย ที่ใช้ซีรีส์ตอนสั้นๆ หรือคลิปไวรัลเป็นเหมือนสวิตช์เปิด-ปิดภารกิจในแต่ละวัน คล้ายกับที่สมัยก่อนเสียงข่าวภาคค่ำเป็นสัญญาณให้ทุกคนในบ้านมารวมตัวกันที่โต๊ะอาหารเย็น
ผู้เชี่ยวชาญชี้: ไม่ต้องเลิก แค่หาจุดสมดุล
ความเห็นจากนักจิตวิทยา นักพฤติกรรมศาสตร์ และนักโภชนาการ ต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า พฤติกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องผิดหรือเป็นปัญหาแค่ในสังคมไทย แต่เป็นสิ่งที่ควรทำความเข้าใจ ปรับสมดุล และหันมาทบทวนตัวเอง นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในไทยเคยให้สัมภาษณ์กับกรุงเทพธุรกิจว่า “ร่างกายและจิตใจของมนุษย์ล้วนแสวงหารูปแบบและความหมายที่แน่นอน การผสานเทคโนโลยีเข้ากับมื้ออาหารจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่หัวใจสำคัญคือการไม่ลืมฟังเสียงของตัวเอง และให้เวลาได้ลิ้มรสชาติอาหารหรือสนทนากับคนรอบข้าง”
วัฒนธรรมอาหารและความสัมพันธ์ทางสังคมของไทยก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย เพราะมื้ออาหารคือพื้นที่ของการรวมตัว ตั้งแต่งานสงกรานต์ไปจนถึงมื้อเที่ยงในตลาดสดที่ช่วยสร้างความเป็นหนึ่งเดียว แต่ปัจจุบัน คนไทยโดยเฉพาะในเมืองใหญ่มีแนวโน้มกินข้าวคนเดียวมากขึ้น และใช้หน้าจอเป็นเพื่อนเสมือน พฤติกรรมนี้จึงค่อยๆ เติบโตขึ้นในวิถีแบบไทยๆ ที่ผสมผสานกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัว อิทธิพลจากวัฒนธรรม K-Pop และ J-Culture และการปรับตัวสู่การเรียนและทำงานออนไลน์ (Bangkok Post: Tech habits in Thai youth)
รากวัฒนธรรมการกินของไทยที่ช่วยเตือนใจ
คนรุ่นก่อนมักเล่าว่า การกินข้าวร่วมกันโดยไม่มีสื่อใดๆ มารบกวน คือช่วงเวลาที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราว หรือแม้กระทั่งได้อยู่เงียบๆ ร่วมกันอย่างสงบ แม้เทคโนโลยีจะเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตไป แต่แก่นแท้ยังคงอยู่ที่ “วิธีใช้” มากกว่าจะห้ามใช้ หน่วยงานสาธารณสุขของไทยเองก็ได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น เช่น การกินมากเกินไป หรือความสุขจากการกินที่ลดลง พร้อมทั้งมีโครงการรณรงค์ในโรงเรียนและชุมชนให้หันมา “กินอย่างมีสติ” โดยการงดจอระหว่างมื้อ และสร้างสรรค์กิจกรรมบนโต๊ะอาหารในครอบครัว (กรมอนามัย)
ทางเลือกยุคใหม่: ใช้เทคโนโลยีอย่างใส่ใจเพื่อคืนสมดุลให้โต๊ะอาหาร
นักวิจัยด้านอาหารและสื่อคาดการณ์ว่า ในอนาคตการกินข้าวไปพร้อมกับเสพสื่อจะยิ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแว่นตา VR หรือคอนเทนต์แบบโต้ตอบได้ แต่เทรนด์ใหม่ที่น่าจับตากลับเป็นการมาถึงของ “เทคโนโลยีดูแลใจ” (mindful technology) เช่น แอปพลิเคชันฝึกสมาธิระหว่างกินอาหาร หรือคอนเทนต์ที่ชวนให้เรากลับมาจดจ่อกับรสชาติและสัมผัสของจริง ควบคู่ไปกับการรณรงค์ในโรงเรียนและที่ทำงาน เช่น “วันงดจอระหว่างมื้อ” ที่เริ่มมีให้เห็นในบางองค์กรของไทยแล้ว
สรุป: ไม่มีถูกผิด มีแต่ความเข้าใจและสมดุล
ท้ายที่สุดแล้ว การกินข้าวไปดูจอไปคือปรากฏการณ์ร่วมสมัย ไม่ใช่ข้อบกพร่อง สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันตัวเอง ลองสำรวจดูว่าเรา “หาจอ” เพราะต้องการความบันเทิง คลายเหงา หรือเป็นเพียงความเคยชิน อาจเริ่มง่ายๆ ด้วยการงดจอหนึ่งมื้อต่อวัน หรือตั้งใจลิ้มรสอาหารสองสามคำแรกอย่างเต็มที่ก่อนจะกดปุ่มเล่นวิดีโอ สำหรับครอบครัว การเริ่มต้นบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างมื้ออาหารอาจเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลาน ส่วนคนเมืองที่กินข้าวคนเดียว ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งโต๊ะรวมในคาเฟ่ หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ชวนให้พบปะเพื่อนใหม่ เพื่อผสมผสานวิถีดั้งเดิมเข้ากับยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว
การกินข้าวไปดูจอไปไม่ใช่เรื่องต้องห้าม ขอเพียงแค่เราเข้าใจและเท่าทันตัวเอง เพื่อค้นพบความสุขที่แท้จริงจากมื้ออาหาร ไม่ว่าจะอยู่พร้อมหน้ากับผู้คน หรืออิ่มอร่อยคนเดียวอย่างผ่อนคลาย
แหล่งข้อมูล: VegOut | Journal of Health Psychology | Bangkok Post: Tech habits in Thai youth | กรมอนามัย