GotoKnow

ชีวิตที่พอเพียง  4960. สะท้อนคิดเรื่องความเชื่อของผม

Prof. Vicharn Panich
เขียนเมื่อ 16 เมษายน 2568 15:25 น. ()

 

หนังสือ ๒๓๐ ปี ศรีรัตนโกสินทร์ มรดกความจำกรุงเทพมหานคร ที่มี ดร. วินัย พวศ์ศรีเพียร เป็นบรรณาธิการ    พิมพ์ออกเผยแพร่ปี ๒๕๕๖   ตอนที่ ๓ ว่าด้วย สิ่งที่เป็นหลักยึดทางใจสำหรับชาวกรุงเทพมหานคร  เริ่มเรื่องด้วย ความเชื่อดั้งเดิมและพระพุทธศาสนา  กระตุ้นให้ผมสะท้อนคิดเรื่องความเชื่อของตนเอง    และที่มาของความเชื่อนี้   

ลองค้นด้วย กูเกิ้ล ด้วยคำว่า “ความเชื่อ” ได้ผลการค้นหลากหลายมาก ที่เด่นคือ เพลง ความเชื่อ (เพลงบอดี้สแลม)    และวิกิพีเดียให้นิยามว่า “ความเชื่อ (อังกฤษ: belief) หมายถึง การยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริง หรือมีการดำรงอยู่จริง โดยอาศัยประสบการณ์ตรง การไตร่ตรอง หรือการอนุมาน”    ที่ผมมีความเห็นต่าง    เมื่อพิจารณาความเชื่อของผม   

นิยาม “ความเชื่อ” ข้างต้น และตามในหนังสือ ๒๓๐ ปี ศรีรัตนโกสินทร์  เน้นความเชื่อในสิ่งนอกตัวที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของเรา    แต่ผมอยู่กับ “ความเชื่อ” ในตนเอง หรือการกระทำของตนเอง   ที่จะส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของผม คนรอบข้าง ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูล ผู้อื่น  ชุมชน  สังคม หรือประเทศ  และโลก   

ผมไม่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปใดๆ  รวมทั้งองค์ที่ผมตั้งไว้บูชาที่บ้าน   แต่ผมเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของความรู้สึกภายในของผมเวลาไหว้พระและอธิษฐานขอให้ผมมีความสามารถทำสิ่งดีๆ ให้แก่คนอื่นและแก่สังคม   โดยที่ผมไม่เคยขอพรให้แก่ตนเองฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไร    ผมขอพรให้ได้มีโอกาสทำสิ่งดีๆ แก่คนอื่น  หรือแก่สังคม    เพราะผมเชื่อใน “ผลของกรรม”    และที่ชีวิตผมยืนยาว และเป็นชีวิตที่ดีได้ขนาดนี้ก็น่าจะเป็นผลของ “กรรมดี” นี้

ผมไม่เคยเชื่อในการได้ “ของฟรี”    แต่ตอนนี้ที่บ้านผมเต็มไปด้วย “ของฟรี” ที่มีคนให้    รวมทั้งภรรยาที่หมั้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๐  ว่าที่พ่อตาก็เกือบจะยกให้ฟรี    ของฟรีที่อยู่เต็มบ้านผมคือเสื้อผ้า ทั้งชุดสากล  และเสื้อยืดของหลากหลานสถาบัน หลากหลายงาน          

กลับมาที่ “ความเชื่อ” ในชีวิต ของผม    ถามว่ามาจากไหน    ผมตอบว่าส่วนใหญ่ได้จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่   คือพ่อแม่ของผมเริ่มชีวิตครอบครัวจากการเป็นคนไม่มีฐานะ   ไม่มีทรัพย์สมบัติ  แม้พ่อจะเป็นหลานมหาเศรษฐี    แต่ก็เป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่ขอทรัพย์สมบัติจากญาติ   มุ่งทำมาหากินสร้างฐานะสองคนกับแม่  ที่เป็นลูกจีนโพ้นทะเล ไม่มีฐานะใดๆ เลย 

ตัวอย่างการพึ่งตนเอง  มานะพยายาม อดทน มุ่งมั่นทำมาหากินอย่างสุจริตโอบอ้อมอารี ของพ่อแม่    น่าจะถ่ายทอดให้ผมโดยไม่รู้ตัว    ส่วน “ความไม่เชื่อ” ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั่วไปเชื่อหรือบูชา น่าจะเป็นมรดกประจำตระกูล    ปู่เสี้ยงเคยสอนผมตอนอายุไม่ถึง ๑๐ ขวบว่า   วิธีพิสูจน์ว่าพระเครื่ององค์ไหนศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์จริงหรือไม่ ให้เอาขึ้นจบแล้วอธิษฐานว่าหากพระศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้ขึ้นจากบ่อน้ำให้ดูหน่อย    แล้วขว้างลงในบ่อน้ำ       

การที่ผมเห็นตั้งแต่เด็กว่า สิ่งที่เป็น  “ความเชื่อ” ของคนทั่วไป มักเป็นสิ่งที่ไม่จริง หรือสิ่ง “ไม่น่าเชื่อ” สอนให้ผมเป็นเด็กขี้สงสัย หรือจะเรียกว่าขี้ระแวงก็น่าจะได้   คือผู้ใหญ่พูดหรือสอนอะไร ผมน่าจะสวมวิญญาณ “เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง”  อยู่เสมอ    และด้วยความเป็นเด็ก  แววตาของผมจึงปิดไม่มิด    จึงโดนแม่เฆี่ยนเป็นประจำในข้อหาเป็น “เด็กดื้อ” ไม่เชื่อฟัง   โตขึ้นน่าจะเสียคน    เป็นที่ทรมานมากสำหรับผมในวัยเด็ก   

แต่การถูกเฆี่ยนก็กลายเป็นตัวช่วยให้ผมตัดสินใจละจากความคิดที่จะไม่เรียนหนังสือต่อตามที่ครูพิเชษฐ์แนะนำ  เพราะสงสารพ่อแม่ที่ทำงานหนัก  คิดจะอยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำโรงสี    แต่ในช่วงเวลาตัดสินใจนั้นเอง แม่เฆี่ยนผม    ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า หากผมอยู่ช่วยงานบ้าน แม่คงจะเฆี่ยนผมด้วยความเคยชินจนอายุเลย ๒๐ เป็นแน่    โดยตอนนั้นอายุ ๑๕ เริ่มเป็นวัยรุ่นแล้วแม่ยังเฆี่ยนอยู่   เป็นตัวช่วยให้ผมเข้ามาเรียนชั้น ม. ๖ (เท่ากับ ม. ๔ สมัยนี้) ที่กรุงเทพ    และประสบความสำเร็จในการเรียนดีมาก จนได้เรียนหมอ 

สรุปว่า ผมทั้งเชื่อและไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออำนาจลี้ลับ    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางศาสนา และความเชื่อที่สืบต่อกันมา     ผมไม่เชื่อว่าจะบันดาลอะไรให้ผมหรือใครๆ ได้    แต่ผมกลับเชื่อว่า มีอำนาจลี้ลับมากมายหลากหลายกรณี มากระตุ้น หรือมาสะกิดให้ผมนึกบางเรื่องออก  หรือตัดสินใจถูกต้องในหลากหลายกรณี    ช่วยให้ทำงานใหญ่สำเร็จ  และช่วยให้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง

อาจเรียกสิ่งนั้นว่า อำนาจจิตบริสุทธิ์   อำนาจภายใน  อำนาจของจิตวิญญาณภายในของตนเอง    หรืออาจตีความว่า ผมเชื่อว่า ความศักดิ์สิทธิ์ อยู่ที่การกระทำของตัวเราแอง   หรือเป็นความเชื่อเรื่อง “ผลของกรรม” นั่นเอง 

สรุปอีกทีว่า ผมเชื่อว่าชีวิตของผมได้ดีเพราะผมมีหลักยึดทางใจในการใช้พลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์  เอามาปลุกพลังของตนเอง ในการทำสิ่งที่มีประโยชน์แก่ผู้อื่น และแก่สังคม    ไม่รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย

ในทางจิตวิทยาการศึกษาเรียกว่า เป็นคนมีคุณลักษณะความเป็น Agency  หรือ Agentic Person           

วิจารณ์ พานิช

๑๕  มี.ค. ๖๘ 

  

สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ

ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย