GotoKnow

ฉัททันตชาดก

พล.ต. มารวย ส่งทานินทร์
เขียนเมื่อ 14 มีนาคม 2568 04:32 น. ()
ว่าด้วย พญาช้างฉัททันต์

ฉัททันตชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๔. ฉัททันตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๕๑๔)

ว่าด้วยพญาช้างฉัททันต์

             (พระราชาตรัสว่า)

             [๙๗] พระน้องนางผู้มีเรือนร่างเหลืองอร่ามดุจทองคำ ผิวพรรณผุดผ่อง นัยนาก็แจ่มใสกว้างขวาง ไยเล่าจึงเศร้าโศก ซูบซีดไปดังดอกไม้ที่ถูกขยี้

             (พระนางสุภัทรากราบทูลว่า)

             [๙๘] ขอเดชะพระมหาราช หม่อมฉันแพ้ครรภ์ หม่อมฉันฝันเห็นนิมิต จึงแพ้ครรภ์ชนิดที่หาได้ไม่ง่ายเลย

             (พระราชาตรัสว่า)

             [๙๙] สมบัติอันน่าใคร่ชนิดใดชนิดหนึ่งซึ่งเป็นของมนุษย์ ในโลกที่น่าเพลิดเพลินนี้ ทั้งหมดนั้นจำนวนมากของพี่ พี่ขอมอบให้พระน้องนางตามที่แพ้พระครรภ์

             (พระนางสุภัทรากราบทูลว่า)

             [๑๐๐] ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ ขอนายพรานทุกจำพวกที่มีอยู่ในแคว้นของเจ้าพี่จงมาประชุมพร้อมกัน หม่อมฉันจักบอกความแพ้ครรภ์ของหม่อมฉันแก่พวกพรานเหล่านั้นว่าเป็นเช่นไร

             (พระราชาตรัสบอกพรานเหล่านั้นแก่พระราชเทวีว่า)

             [๑๐๑] พระเทวี นายพรานเหล่านี้ล้วนมีความชำนาญ แกล้วกล้า ชำนาญป่าและรู้จักเนื้อดี ยอมสละชีวิตเมื่อพี่ต้องการ

             (พระราชเทวีตรัสกับพรานทั้งหลายว่า)

             [๑๐๒] บุตรนายพรานทั้งหลาย พวกท่านเท่าที่มาประชุมกัน ณ ที่นี่ ขอจงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ฝันเห็นพญาช้างเผือก งามีรัศมี ๖ ประการ (รัศมี ๖ ประการ คือ (๑) นีละ เขียวเหมือนดอกอัญชัน (๒) ปีตะ เหลืองเหมือนหรดาลทอง (๓) โลหิตะ แดงเหมือนตะวันอ่อน (๔) โอทาตะ ขาวเหมือนแผ่นเงิน (๕) มัญเชฏฐะ สีหงสบาท เหมือนดอกเซ่งหรือดอกหงอนไก่ (๖) ประภัสสร เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก) ข้าพเจ้าต้องการงาของมัน เมื่อไม่ได้ก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่

             (พวกบุตรนายพรานได้กราบทูลว่า)

             [๑๐๓] ขอเดชะพระราชบุตรี พญาช้างที่งามีรัศมี ๖ ประการซึ่งพระนางได้ทรงสุบินเห็น บิดาของพวกข้าพระองค์ไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้ยิน ปู่ของพวกข้าพระองค์ก็ไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้ยิน ขอพระนางโปรดบอกพวกข้าพระองค์มาเถิดว่า พญาช้างนั้นเป็นเช่นไร

             (บุตรนายพรานเหล่านั้นกราบทูลต่อไปว่า)

             [๑๐๔] ทิศใหญ่ ๔ ทิศ ทิศน้อย ๔ ทิศ ทิศเบื้องบน และทิศเบื้องล่าง ๑๐ ทิศเหล่านี้ พญาช้างที่งามีรัศมี ๖ ประการ ซึ่งพระนางได้ทรงสุบินเห็น อยู่ทิศไหน

             (พระนางสุภัทราราชเทวีทรงเหยียดพระหัตถ์ตรงไปยังป่าหิมพานต์ ตรัสว่า)

             [๑๐๕] จากนี้ตรงไปทิศอุดร ข้ามภูเขาสูงใหญ่ ๗ เทือก ภูเขานั้นสูงใหญ่ ชื่อว่าสุวรรณปัสสคีรี มีพันธุ์บุปผชาติบานสะพรั่ง มีหมู่กินนรสัญจรไม่ขาดสาย

             [๑๐๖] ท่านจงขึ้นไปยังเสลบรรพต ซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่กินนร แล้วจงมองลงไปเบื้องล่างเชิงเขา ทันใดนั้นท่านจะเห็นพญาไทรมีสีสันงาม เสมอเหมือนเมฆมีย่านไทรห้อยย้อยอยู่ ๘,๐๐๐ ย่าน

             [๑๐๗] ณ ใต้ต้นไทรนั้นพญากุญชรงามีรัศมี ๖ ประการอาศัยอยู่ ยากที่ใครอื่นจะข่มขี่ได้ พญาช้างเผือกปลอดนั้น มีช้างประมาณ ๘,๐๐๐ เชือก มีงางอนงามเหมือนงอนรถ วิ่งไล่ประหารปัจจามิตรเร็วปานลมพัด แวดล้อมรักษาอยู่

             [๑๐๘] ช้างเหล่านั้นยืนหายใจเข้าออกน่าหวาดกลัว โกรธแม้ต่อลมที่มากระทบ ก็ถ้าเห็นมนุษย์ในที่นั้นต้องขยี้ให้เป็นเถ้าธุลี แม้ละอองธุลีก็มิให้แตะต้องพญาช้างนั้น

             (ครั้นได้ฟังดังนั้น โสนุตตรพรานตกใจกลัวความตาย จึงกราบทูลว่า)

             [๑๐๙] ขอเดชะพระเทวีของข้าพระพุทธเจ้า เครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำ แก้วมุกดา แก้วมณี และแก้วไพฑูรย์ในราชสกุลก็มีอยู่มากมาย พระแม่เจ้าจะกระทำอะไรกับเครื่องประดับที่ทำด้วยงาช้าง พระแม่เจ้ามีพระประสงค์จะให้ฆ่าพญาช้างงามีรัศมี ๖ ประการ หรือจะให้พญาช้างฆ่าบุตรนายพรานกันแน่ พระเจ้าข้า

             (ลำดับนั้น พระราชเทวีตรัสว่า)

             [๑๑๐] พ่อพราน เรานั้นมีทั้งความริษยาทั้งความน้อยใจ เมื่อหวนระลึกถึงความหลังขึ้นมาก็ตรอมใจ ท่านจงช่วยทำตามความประสงค์ของเรานั้นด้วยเถิด พ่อพราน เราจะให้หมู่บ้านแก่ท่าน ๕ ตำบล

             (โสนุตตรพรานนั้นรับพระเสาวนีย์แล้วทูลถามว่า)

             [๑๑๑] พญาช้างอาศัยอยู่ที่ไหน เข้าไปยืนอยู่ที่ไหน หนทางไหนเป็นหนทางที่พญาช้างเดินไปอาบน้ำ ก็พญาช้างนั้นอาบน้ำอย่างไร ไฉนเล่าข้าพระพุทธเจ้าจะรู้ความเป็นไปของพญาช้างได้

             (พระราชเทวีตรัสบอกถึงสถานที่ซึ่งจะพบช้างเผือกได้ว่า)

             [๑๑๒] ณ สถานที่ที่พญาช้างอาศัยอยู่นั่นแล มีสระโบกขรณีอยู่ไม่ไกล น่ารื่นรมย์ มีท่าน้ำสวยงาม ทั้งมีน้ำมาก มีดอกปทุมบานสะพรั่ง มีหมู่ภมรคลุกเคล้าเกสรอยู่เป็นอาจิณ พญาช้างนั้นลงอาบน้ำในสระโบกขรณีนี้แหละ

             [๑๑๓] พญาช้างเผือกชำระศีรษะแล้ว ทัดดอกอุบล มีร่างกายผิวพรรณผุดผ่องขาวราวกะดอกบุณฑริก รื่นเริงบันเทิงใจให้พระนางสุภัทรามเหสีเดินนำหน้าไปยังที่อยู่ของตน

             (พระศาสดาเมื่อจะทรงขยายความให้แจ้ง จึงตรัสว่า)

             [๑๑๔] นายพรานนั้นรับพระเสาวนีย์ของพระนางที่ปราสาทชั้นที่ ๗ นั้นแหละแล้วจึงถือกระบอกลูกเกาทัณฑ์และธนูคันใหญ่ไป พิจารณาคีรีบรรพตใหญ่ทั้ง ๗ เทือก จึงเห็นคีรีบรรพตสูงใหญ่ชื่อว่าสุวรรณปัสสคีรี

             [๑๑๕] แล้วจึงขึ้นไปยังเสลบรรพตซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่กินนร มองลงไปเบื้องล่างเชิงเขา ได้เห็นพญาไทรมีสีสันงาม เสมอเหมือนเมฆ มีย่านไทรห้อยย้อยอยู่ ๘,๐๐๐ ย่าน

             [๑๑๖] ณ ใต้ต้นไทรนั้น เขาได้เห็นพญากุญชร งามีรัศมี ๖ ประการ ยากที่ใครอื่นจะข่มขี่ได้ พญาช้างเผือกนั้นมีช้างประมาณ ๘,๐๐๐ เชือก มีงางอนงามเหมือนงอนรถ วิ่งไล่ประหารปัจจามิตรเร็วปานลมพัด แวดล้อมรักษาอยู่

             [๑๑๗] อนึ่ง เขาได้เห็นสระโบกขรณีอยู่ไม่ไกล น่ารื่นรมย์ มีท่าน้ำสวยงาม ทั้งมีน้ำมาก มีดอกปทุมบานสะพรั่ง มีหมู่ภมรคลุกเคล้าเกษรอยู่เป็นอาจิณ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พญาช้างนั้นลงอาบน้ำ

             [๑๑๘] ครั้นได้เห็นความเป็นไป การยืน และหนทางที่พญาช้างนั้นเดินไปอาบน้ำแล้ว นายพรานผู้ชั่วช้าถูกพระนางสุภัทราเทวี ผู้ตกอยู่ในอำนาจแห่งจิตทรงใช้มา จึงได้ไปขุดหลุม

             [๑๑๙] นายพรานผู้มีนิสัยทำกรรมหยาบช้า ครั้นขุดหลุมแล้ว จึงปิดด้วยแผ่นไม้กระดาน แล้วหย่อนตัวลงไป จับธนูยิงพญาช้างที่เดินมาข้างหลุมด้วยลูกเกาทัณฑ์ใหญ่

             [๑๒๐] ก็แหละพญาช้างพอถูกยิงก็บันลือร้องก้องโกญจนาท ช้างทั้งหมดก็พากันบันลือเสียงอื้ออึง ต่างพากันวิ่งไปมารอบๆ ทั้ง ๘ ทิศ ทำหญ้าและไม้ให้แหลกเป็นจุรณ

             [๑๒๑] พญาช้างจับนายพรานนั้นด้วยหมายใจว่า เราจักฆ่ามัน ได้เห็นผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยแห่งฤๅษีทั้งหลาย ทั้งๆ ที่ได้รับทุกขเวทนา ก็เกิดสัญญาขึ้นว่า บุคคลผู้ทรงธงชัยแห่งพระอรหันต์ สัตบุรุษไม่ควรฆ่า

             (พญาช้างกล่าวกับนายพรานนั้นว่า)

             [๑๒๒] ผู้ใดมีกิเลสดุจน้ำฝาดยังไม่หมดไป ปราศจากทมะและสัจจะ จักนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์เลย

             [๑๒๓] ส่วนผู้ใดคลายกิเลสดุจน้ำฝาดได้แล้ว ตั้งมั่นด้วยดีในศีลทั้งหลาย ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นแลสมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์

             (พระศาสดาเมื่อทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า)

             [๑๒๔] พญาช้างถึงถูกยิงด้วยลูกเกาทัณฑ์ใหญ่แล้ว ก็ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย ได้กล่าวกับนายพรานว่า เพื่อนรัก เพื่อนต้องการอะไรหรือ เพราะอะไร เพื่อนจึงฆ่าเรา หรือว่าใครใช้เพื่อนมา

             (นายพรานกล่าวว่า)

             [๑๒๕] พญาช้างผู้เจริญ พระมเหสีของพระเจ้ากาสี พระนางทรงพระนามว่าสุภัทรา ได้รับการยกย่องบูชาในราชสกุล ก็พระนางได้ทรงสุบินนิมิตเห็นท่าน ได้ตรัสบอกข้าพเจ้า และได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า มีความต้องการงาทั้งคู่

             (พญาช้างกล่าวว่า)

             [๑๒๖] ความจริงคู่งาของบิดาและของปู่เราที่สวยงามมีเป็นจำนวนมาก พระนางทราบดี แต่พระราชบุตรีมีนิสัยทรงกริ้ว เป็นคนพาล ต้องการที่จะฆ่าเรา จึงได้จองเวร

             [๑๒๗] ลุกขึ้นเถิด นายพราน ท่านจงจับเลื่อยตัดงาคู่นี้ก่อนที่เราจะตาย จงกราบทูลพระราชบุตรีผู้มีนิสัยทรงกริ้วพระองค์นั้นว่า พญาช้างถูกข้าพระพุทธเจ้าฆ่าตายแล้วเชิญเถิด งาคู่นี้เป็นงาของพญาช้างนั้น พระเจ้าข้า

             (พระศาสดาเมื่อทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า)

             [๑๒๘] นายพรานนั้นลุกขึ้นจับเลื่อย ตัดงาทั้งคู่ของพญาคชสารตัวประเสริฐ แล้วจึงนำงาทั้งคู่ซึ่งมีความสวยงามหาที่เปรียบมิได้ในพื้นปฐพี รีบหลีกไปจากที่นั้นโดยเร็ว

             [๑๒๙] ช้างเหล่านั้นถูกภัยคุกคาม เป็นทุกข์เพราะพญาช้างถูกฆ่า ต่างพากันวิ่งไปมาทั้ง ๘ ทิศ ไม่เห็นคนผู้เป็นปัจจามิตรต่อพญาช้าง จึงได้กลับมาหาพญาช้าง

             [๑๓๐] ช้างเหล่านั้นต่างคร่ำครวญร้องไห้อยู่ ณ ที่นั้น โปรยฝุ่นลงที่ศีรษะของตน ทั้งหมดให้นางช้างตัวประเสริฐกว่าช้างทั้งหมดเดินนำหน้าแล้วพากันกลับไปสถานที่อยู่ของตน

             [๑๓๑] นายพรานนั้นนำงาทั้งคู่ของพญาคชสารตัวประเสริฐ ซึ่งมีความสวยงามหาที่เปรียบมิได้ในพื้นปฐพี ส่องรัศมีเปล่งปลั่งดังสายรุ้งทอง สว่างไสวไปทั่วไพรสณฑ์ เข้าไปยังกรุงกาสี แล้วน้อมงาทั้งคู่เข้าไปถวายพระราชกัญญา กราบทูลว่า พญาช้างถูกข้าพระพุทธเจ้าฆ่าแล้ว งาคู่นี้เป็นงาของพญาช้างนั้น

             [๑๓๒] เพราะทอดพระเนตรเห็นงาทั้งคู่ของพญาคชสารตัวประเสริฐ ซึ่งเป็นภัสดาที่รักในชาติปางก่อน พระหฤทัยของพระนางก็ได้แตกทำลาย ณ สถานที่นั้นนั่นเอง พระนางผู้เป็นคนพาลได้สวรรคตเพราะเหตุนั้นนั่นแหละ

             (พระเถระผู้สังคายนาพระธรรมเมื่อจะพรรณนาคุณของพระทศพลจึงได้กล่าวว่า)

             [๑๓๓] ก็พระบรมศาสดาทรงบรรลุสัมโพธิญาณ ทรงมีอานุภาพมาก ได้ทรงแย้มท่ามกลางบริษัท ภิกษุทั้งหลายผู้มีจิตหลุดพ้นดีแล้วพากันกราบทูลว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายหาได้กระทำการแย้มให้ปรากฏ ในเพราะสิ่งมิใช่เหตุไม่

             [๑๓๔] เธอทั้งหลายจงดูกุมารีสาวซึ่งครองผ้ากาสาวพัสตร์ ประพฤติเป็นผู้ไม่ครองเรือน ภิกษุณีนั้นได้เป็นพระนางราชกัญญาในครั้งนั้น ส่วนตถาคตได้เป็นพญาช้างในครั้งนั้น

             [๑๓๕] นายพรานผู้นำงาทั้งคู่ของพญาคชสารตัวประเสริฐ ซึ่งมีความสวยงามหาที่เปรียบมิได้ในพื้นปฐพี เข้าไปยังกรุงกาสีในกาลนั้น ได้เป็นพระเทวทัต

             [๑๓๖] พระพุทธเจ้าทรงปราศจากความกระวนกระวาย ความโศกและกิเลสดุจลูกศร ตรัสรู้ยิ่งด้วยพระองค์เอง ได้ตรัสฉัททันตชาดกนี้อันเป็นของเก่า ที่ไม่รู้จักสาบสูญตราบเท่าดวงอาทิตย์ยังไม่ดับ ซึ่งพระองค์ได้ท่องเที่ยวไปตลอดกาลนาน เป็นบุรพจริยาทั้งสูงและต่ำว่า

             [๑๓๗] ภิกษุทั้งหลาย โดยกาลนั้น เราตถาคตได้มีอยู่ที่สระฉัททันต์นั้น เราตถาคตได้เป็นพญาช้างตัวประเสริฐในกาลนั้น เธอทั้งหลายจงจำชาดกไว้ด้วยประการฉะนี้

ฉัททันตชาดกที่ ๔ จบ

--------------------------

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

ฉัททันตชาดก

ว่าด้วย พญาช้างฉัททันต์

               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุณีสาวรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               เล่ากันมาว่า นางภิกษุณีนั้นเป็นธิดาของตระกูลหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี เห็นโทษในฆราวาส แล้วออกบวชในพระศาสนา. วันหนึ่งไปเพื่อจะฟังธรรม พร้อมกับพวกนางภิกษุณี เห็นพระรูปโฉมอันบังเกิดขึ้น ด้วยบุญญานุภาพหาประมาณมิได้. กอปรด้วยพระรูปสมบัติอันอุดมของพระทศพล ซึ่งประทับเหนือธรรมาสน์อันอลงกต กำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนา จึงคิดว่า “เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพ ได้เคยเป็นบาทบริจาริกาของมหาบุรุษนี้ หรือไม่หนอ?” ในทันใดนั้นเอง นางก็เกิดระลึกชาติในหนหลังได้ว่า เราเคยเป็นบาทบริจาริกาของมหาบุรุษนี้ ในคราวที่ท่านเป็นพญาช้างฉัททันต์.
               เมื่อนางระลึกได้เช่นนั้น ก็บังเกิดปีติปราโมทย์ใหญ่ยิ่ง. ด้วยกำลังแห่งความปีติยินดี นางจึงหัวเราะออกมาดังๆ แล้วหวนคิดอีกว่า ขึ้นชื่อว่า บาทบริจาริกาที่มีอัธยาศัย มุ่งประโยชน์ต่อสามีมีน้อย มิได้มุ่งประโยชน์แลมีมาก. เราได้มีอัธยาศัย มุ่งประโยชน์ต่อบุรุษนี้ หรือหาไม่หนอ. นางระลึกไปพลางก็ได้เห็นความจริงว่า “แท้จริง เราสร้างความผิดไว้ในหทัยมิใช่น้อย ค่าที่ใช้นายพรานโสณุดรให้เอาลูกศรอาบด้วยยาพิษ ยิงพญาช้างฉัททันต์ สูงประมาณ ๑๒๐ ศอก ให้ถึงความตาย.” ทันใดนั้น ความเศร้าโศกก็บังเกิดแก่นาง ดวงหทัยเร่าร้อน ไม่สามารถจะกลั้นความเศร้าโศกไว้ได้ จึงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยเสียงอันดัง.
               พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงแย้มให้ปรากฏ. อันภิกษุสงฆ์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการทรงทำความแย้มให้ปรากฏ. จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย นางภิกษุณีสาวกผู้นี้ระลึกถึงความผิดที่เคยทำต่อเรา ในชาติก่อนเลยร้องไห้. แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ตรัสดังต่อไปนี้
               ในอดีตกาล มีช้างประมาณ ๘,๐๐๐ เชือก มีฤทธิ์เหาะไปในอากาศได้ อาศัยสระฉัททันต์ อยู่ในป่าหิมพานต์. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นลูกของช้างจ่าโขลง มีสีกายเผือกผ่อง ปากแลเท้าสีแดง. ต่อมา เมื่อเจริญวัยขึ้น สูงได้ ๘๘ ศอก ยาว ๑๒๐ ศอก ประกอบด้วยงวงคล้ายกับพวงเงินยาวได้ ๕๘ ศอก ส่วนงาทั้งสองวัดโดยรอบได้ ๑๕ ศอก ส่วนยาว ๓๐ ศอก ประกอบด้วยรัศมี ๖ ประการ. พระโพธิสัตว์นั้นเป็นหัวหน้าช้างแห่งช้าง ๘,๐๐๐ เชือก บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์. อัครมเหสีของพระโพธิสัตว์นั้นมีสอง ชื่อจุลลสุภัททา ๑ มหาสุภัททา ๑. พญาช้างนั้นมีช้างถึง ๘,๐๐๐ เชือกเป็นบริวารอยู่ในกาญจนคูหา.
               อนึ่ง สระฉัททันต์นั้น ทั้งส่วนยาวส่วนกว้างประมาณ ๕๒ โยชน์ ตรงกลางลึกประมาณ ๑๒ โยชน์ ไม่มีสาหร่าย จอกแหน หรือเปลือกตมเลย. เฉพาะน้ำขังอยู่ มีสีใสเหมือนก้อนแก้วมณี. ถัดจากนั้น มีกอจงกลนีแผ่ล้อมรอบ กว้างได้หนึ่งโยชน์ ต่อจากกอจงกลนีนั้น มีกออุบลเขียว ตั้งล้อมรอบกว้างได้หนึ่งโยชน์ ต่อจากนั้น ที่กว้างแห่งละหนึ่งโยชน์ มีกออุบลแดง อุบลขาว ปทุมแดง ปทุมขาว และโกมุท ขึ้นล้อมอยู่โดยรอบ.
               อนึ่ง ระหว่างกอบัว ๗ แห่งนี้ มีกอบัวทุกชนิด เป็นต้นว่า จงกลนีสลับกันขึ้นล้อมรอบ มีปริมณฑลกว้างได้หนึ่งโยชน์เหมือนกัน. ถัดออกมาถึงน้ำลึกแค่สะเอวช้าง มีป่าข้าวสาลีแดงขึ้นแผ่ไปได้โยชน์หนึ่ง ถัดออกมาถึงชายน้ำที่กว้างโยชน์หนึ่งเหมือนกัน มีกอตะไคร่น้ำ เกลื่อนกลาดด้วยดอกสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว กลิ่นหอมฟุ้งขจรไป. ป่าไม้ ๑๐ ชนิดเหล่านี้ มีเนื้อที่หนึ่งโยชน์เท่ากัน ด้วยประการฉะนี้. ต่อจากนั้นไป มีป่าแตงโม ฟักเหลือง น้ำเต้า และฟักแฟง. ต่อจากนั้นมีป่าอ้อย ขนาดลำเท่าต้นหมาก. ต่อจากนั้นมีป่ากล้วยผลโตขนาดเท่างาช้าง. ต่อจากนั้นมีป่าไม้รัง ป่าขนุนหนัง ผลโตขนาดเท่าตุ่ม. ถัดไปมีป่าขนุนสำมะลอ อันมีผลอร่อย. ถัดไปมีป่ามะขวิด. ถัดไปมีไพรสณฑ์ใหญ่ มีพันธุ์ไม้ระคนปนกัน. ถัดไปมีป่าไม้ไผ่ นี้เป็นความสมบูรณ์แห่งสระฉัททันต์ ในสมัยนั้น.
               อนึ่ง มีภูเขาตั้งล้อมรอบป่าไม้ไผ่อยู่ถึง ๗ ชั้น นับแต่รอบนอกไป ภูเขาลูกที่หนึ่งชื่อจุลลกาฬบรรพต ที่สองชื่อมหากาฬบรรพต ที่สามชื่ออุทกปัสสบรรพต ที่สี่ชื่อจันทปัสสบรรพต ที่ห้าชื่อสุริยปัสสบรรพต ที่หกชื่อมณีปัสสบรรพต ที่เจ็ดชื่อสุวรรณปัสสบรรพต.
               สุวรรณปัสสบรรพตนั้นสูงถึง ๗ โยชน์ ตั้งล้อมรอบสระฉัททันต์เหมือนขอบปากบาตร. ด้านในสุวรรณปัสสบรรพตนั้นมีสีเหมือนทอง. เพราะฉายแสงออกจากสุวรรณปัสสบรรพตนั้น. สระฉัททันต์นั้น ดูประหนึ่งแสงอาทิตย์อ่อนๆ เรืองรองแรกอุทัย.
               อนึ่ง ในภูเขาที่ตั้งถัดมาภายนอก ภูเขาลูกที่ ๖ สูง ๖ โยชน์. ที่ ๕ สูง ๕ โยชน์. ที่ ๔ สูง ๔ โยชน์. ที่ ๓ สูง ๓ โยชน์. ที่ ๒ สูง ๒ โยชน์. ที่ ๑ สูง ๑ โยชน์. ที่มุมด้านทิศอีสานแห่งสระฉัททันต์ อันมีภูเขา ๗ ชั้นล้อมรอบอยู่อย่างนี้ มีต้นไทรใหญ่ตั้งอยู่ในโอกาสที่น้ำและลมถูกต้องได้. ลำต้นไทรนั้นวัดโดยรอบได้ ๕ โยชน์ สูง ๗ โยชน์ มีกิ่งยาว ๖ โยชน์ ทอดไปในทิศทั้ง ๔. แม้กิ่งที่พุ่งตรงขึ้นบน ก็ยาวได้ ๖ โยชน์เหมือนกัน. วัดแต่โคนต้นขึ้นไปสูงได้ ๑๓ โยชน์ วัดโดยรอบปริมณฑลกิ่งได้ ๑๒ โยชน์ ประดับด้วยย่านไทรแปดพัน ตั้งตระหง่าน ดูเด่นสง่าคล้ายภูเขามณีโล้น.
               อนึ่ง ในด้านทิศปัจฉิมแห่งสระฉัททันต์ ที่สุวรรณปัสสบรรพต มีกาญจนคูหาใหญ่ประมาณ ๑๒ โยชน์. ถึงฤดูฝน พญาช้างฉัททันต์มีช้าง ๘,๐๐๐ เป็นบริวาร จะพำนักอยู่ในกาญจนคูหา. ในฤดูร้อนก็มายืนรับลมและน้ำอยู่ระหว่างย่านไทร โคนต้นนิโครธใหญ่.
               ต่อมาวันหนึ่ง ช้างทั้งหลายมาแจ้งว่า ป่ารังใหญ่ดอกบานแล้ว. พญาฉัททันต์คิดว่า เราจักเล่นกีฬาดอกรัง พร้อมทั้งบริวารไปยังป่ารังนั้น เอากระพองชนไม้รังต้นหนึ่ง ซึ่งมีดอกบานสะพรั่ง. นางจุลลสุภัททายืนอยู่ด้านเหนือลม. ใบรังที่เก่าๆ ติดกับกิ่งแห้งๆ และมดแดงมดดำ จึงตกต้องสรีระของนาง. นางมหาสุภัททายืนอยู่ด้านใต้ลม เกสรดอกไม้และใบสดๆ ก็โปรยปรายตกต้องสรีระของนาง. นางจุลลสุภัททาคิดว่า พญาช้างนี้โปรยปรายเกสรดอกไม้และใบสดๆ ให้ตกต้องบนสรีระภรรยาที่ตนรักใคร่โปรดปราน. ในเรือนร่างของเราสิ ให้ใบไม้เก่าติดกับกิ่งแห้งๆ ทั้งมดแดงมดดำหล่นมาตกต้อง เราจักตอบแทนให้สาสม. แล้วจองเวร ในพระมหาสัตว์เจ้า.
               อยู่มาวันหนึ่ง พญาช้างพร้อมด้วยบริวารลงสู่สระฉัททันต์ เพื่อต้องการอาบน้ำ. ขณะนั้น ช้างหนุ่ม ๒ เชือก เอางวงกำหญ้าไทรมาให้พญาช้างชำระขัดสีกาย คล้ายกับแย้งกวาดยอดเขาไกรลาส ฉะนั้น. ครั้นพญาช้างอาบน้ำขึ้นมาแล้ว จึงให้นางช้างทั้งสองลงอาบ. ครั้นนางช้างทั้งสองขึ้นมาแล้ว พากันไปยืนเคียงพระมหาสัตว์เจ้า. ต่อแต่นั้น ช้างทั้ง ๘,๐๐๐ ก็ลงสระเล่นกีฬาน้ำ แล้วนำเอาดอกไม้นานาชนิดมาจากสระ ประดับตบแต่งพระมหาสัตว์เจ้า คล้ายกับประดับสถูปเงิน ฉะนั้น. เสร็จแล้วประดับนางช้างต่อภายหลัง. คราวนั้น มีช้างเชือกหนึ่งเที่ยวไปในสระได้ดอกปทุมใหญ่มีกลีบ ๗ ชั้น จึงนำมามอบแด่พระมหาสัตว์เจ้า. พญาช้างฉัททันต์เอางวงรับดอกปทุมมาโปรยเกสรลงที่กระพอง แล้วยื่นให้แก่นางมหาสุภัททาผู้เชษฐภรรยา. นางจุลลสุภัททาเห็นดังนั้น จึงคิดน้อยใจว่า พญาช้างนี้ให้ดอกปทุมใหญ่กลีบ ๗ ชั้นแม้นี้แก่ภรรยาที่รักโปรดปรานแต่ตัวเดียว ส่วนเราไม่ให้. จึงได้ผูกเวรในพระมหาสัตว์ซ้ำอีก.
               อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพญาช้างโพธิสัตว์จัดปรุงผลมะซาง และเผือกมันด้วยน้ำผึ้ง ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ ให้ฉัน. นางจุลลสุภัททาได้ถวายผลาผล ที่ตนได้แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาว่า
               “ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเคลื่อนจากอัตภาพนี้ในชาตินี้แล้ว ขอให้ได้บังเกิดในตระกูลมัททราช และได้นามว่า สุภัททาราชกัญญา. ครั้นเจริญวัยแล้ว ขอให้ได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระองค์ จนสามารถทำอะไรได้ตามชอบใจ และสามารถจะทูลท้าวเธอให้ทรงใช้นายพรานคนหนึ่งมายิงช้างเชือกนี้ ด้วยลูกศรอาบยาพิษ จนถึงแก่ความตาย และให้นำงาทั้งคู่อันเปล่งปลั่งด้วยรัศมี ๖ ประการมาได้. ”
               นับแต่วันนั้นมา นางช้างจุลลสุภัททานั้นมิได้จับหญ้าจับน้ำ ร่างกายผ่ายผอมลง ไม่นานนักก็ล้มไปบังเกิดในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชาในแคว้นมัททรัฐ และเมื่อประสูติออกมาแล้ว ชนกชนนีพาไปถวายแด่พระเจ้าพาราณสี. นางเป็นที่รักใคร่โปรดปรานของพระเจ้าพาราณสี จนได้เป็นประมุขแห่งนางสนมหมื่นหกพันนาง ทั้งได้ญาณเครื่องระลึกชาติหนหลังได้. พระนางสุภัททานั้นทรงดำริว่า ความปรารถนาของเราสำเร็จแล้ว คราวนี้จักให้ไปเอางาทั้งคู่ของพญาช้างนั้นมา. แต่นั้น พระนางก็เอาน้ำมันทาพระสรีระ ทรงผ้าเศร้าหมอง แสดงพระอาการเป็นไข้ เสด็จสู่ห้องสิริไสยาสน์ บรรทมเหนือพระแท่นน้อย. พระเจ้าพาราณสีตรัสถามว่า พระนางสุภัททาไปไหน? ทรงทราบว่า ประชวร. จึงเสด็จเข้าไปประทับนั่งบนพระแท่น ทรงลูบคลำปฤษฎางค์ของพระนาง แล้วตรัสพระคาถาที่ ๑ ความว่า
               ดูก่อนพระน้องนาง ผู้มีพระสรีระอร่ามงามดังทอง มีผิวพรรณผ่องเหลืองเรืองรอง พระเนตรทั้งสองแจ่มใส. เหตุไรหนอ พระน้องจึงดูเศร้าโศก ซูบไป ดุจดอกไม้ที่ถูกขยี้ ฉะนั้น.
               พระนางสุภัททาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาต่อไป ความว่า
               ข้าแต่มหาราชเจ้า หม่อมฉันแพ้พระครรภ์ โดยการแพ้พระครรภ์ เป็นเหตุให้หม่อมฉันฝันเห็นสิ่งที่หาไม่ได้ง่าย.
               พระเทวีทูลว่า กระหม่อมฉันฝันเห็นเป็นนิมิต ในที่สุดแห่งการฝันจึงแพ้พระครรภ์ สิ่งที่แพ้พระครรภ์เพราะฝันเห็นนั้น ใช่ว่าจะเป็นเหมือนสิ่งที่หาได้ง่ายๆ ก็หามิได้ คือสิ่งนั้นหาได้โดยยาก แต่เมื่อหม่อมฉันไม่ได้สิ่งนั้น คงไม่มีชีวิตอยู่ได้.
               พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงตรัสพระคาถาความว่า
               กามสมบัติของมนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ และในสวนนันทนวัน กามสมบัติทั้งหมดนั้น เป็นของเราทั้งสิ้น เราหาให้เธอได้ทั้งนั้น.
               พระเทวีได้สดับดังนั้น จึงทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ความแพ้ท้องของหม่อมฉันแก้ได้ยาก หม่อมฉันจะไม่ทูลให้ทราบก่อนในบัดนี้ ก็ในแว่นแคว้นของทูลกระหม่อม มีพรานป่าอยู่จำนวนเท่าใด ได้โปรดให้มาประชุมกันทั้งหมดเถิดพะย่ะค่ะ กระหม่อมฉันจักทูลให้ทรงทราบ ในท่ามกลางพรานป่าเหล่านั้น. แล้วตรัสคาถาในลำดับต่อไปความว่า
               ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นายพรานป่าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในแว่นแคว้นของพระองค์ จงมาประชุมพร้อมกัน. หม่อมฉันจะแจ้งเหตุที่แพ้พระครรภ์ของหม่อมฉัน ให้นายพรานป่าเหล่านั้นทราบ.
               พระเจ้ากรุงพาราณสีตรัสรับคำ แล้วเสด็จออกจากห้องบรรทม ตรัสสั่งหมู่อำมาตย์ว่า นายพรานป่าจำนวนเท่าใด มีอยู่ในกาสิกรัฐอันมีอาณาเขตสามร้อยโยชน์. ขอท่านจงให้ตีกลองประกาศ ให้นายพรานป่าเหล่านั้นทั้งหมดมาประชุมกัน. อำมาตย์เหล่านั้นก็กระทำตามพระราชโองการ. ไม่นานเท่าใด นายพรานป่าชาวกาสิกรัฐต่างก็ถือเอาเครื่องบรรณาการตามกำลัง พากันมาเฝ้า ให้กราบทูลการที่พวกตนมาถึงให้ทรงทราบ. นายพรานป่าทั้งหมด ประมาณหกหมื่นคน. พระราชาทรงทราบว่าพวกนายพรานมาแล้ว จึงประทับยืนอยู่ที่พระบัญชร.
               เมื่อจะชี้พระหัตถ์ตรัสบอกพระเทวี จึงตรัสพระคาถาความว่า
               ดูก่อนเทวี นายพรานป่าเหล่านี้ ล้วนแต่มีฝีมือเป็นคนแกล้วกล้า ชำนาญป่า รู้จักชนิดของเนื้อ ยอมสละชีวิตเพื่อประโยชน์ของเราได้.

               พระเทวีทรงสดับดังนั้นตรัสเรียกพวกนายพรานมาแล้ว ตรัสคาถาต่อไปความว่า
               ท่านทั้งหลาย ผู้เป็นเชื้อแถวของนายพราน ที่มาพร้อมกันอยู่ ณ ที่นี้ จงฟังเรา เราฝันเห็นช้างเผือกผ่อง งามีรัศมี ๖ ประการ ฉันต้องการงาช้างคู่นั้น เมื่อไม่ได้ชีวิตก็เห็นจะหาไม่.

               พวกบุตรพรานป่าได้ฟังพระเสาวนีย์เช่นนั้น พากันกราบทูลว่า
               บิดาหรือปู่ทวด ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ก็ยังไม่เคยได้เห็น ทั้งยังไม่เคยได้ยินว่า พญาช้างที่มีงามีรัศมี ๖ ประการ. พระนางเจ้าทรงนิมิตเห็นพญาช้างมีลักษณะเช่นไร ขอได้ตรัสบอกพญาช้างที่มีลักษณะเช่นนั้น แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด พระเจ้าข้า.
               พวกบุตรพรานไพร กล่าวแม้คาถาต่อไป ความว่า
               ทิศใหญ่ ๔ ทิศน้อย ๔ เบื้องบน ๑ เบื้องล่าง ๑ ทิศทั้ง ๑๐ นี้. พระองค์ทรงนิมิตเห็นพญาช้าง ซึ่งมีงามีรัศมี ๖ ประการ อยู่ทิศไหน พระเจ้าข้า.
               เมื่อพวกพรานทูลถามอย่างนี้แล้ว พระนางเจ้าสุภัททาราชเทวีจึงทรงพินิจดูพรานป่าทั้งหมดในจำนวนนั้น ทรงเห็นพรานป่าคนหนึ่ง ชื่อโสณุดร เคยเป็นคู่เวรของพระมหาสัตว์ ปรากฏเป็นเยี่ยมกว่าพรานทุกคน รูปทรงสัณฐานชั่วเห็นแจ้งชัด เช่น มีเท้าใหญ่ แข้งเป็นปมเช่นก้อนภัตต์ เข่าโต สีข้างใหญ่ หนวดดก เคราแดง ตาเหลือง. จึงทรงดำริว่า ผู้นี้จักสามารถทำตามคำของเราได้. แล้วกราบทูลขอพระบรมราชานุญาต ทรงพาพรานโสณุดรขึ้นไปยังพื้นปราสาทชั้นที่เจ็ด ทรงเปิดสีหบัญชรด้านทิศอุดร แล้วเหยียดพระหัตถ์ ชี้ตรงไปยังป่าหิมพานต์ด้านทิศอุดร. ได้ตรัสคาถา ๔ คาถาความว่า
               จากที่นี้ตรงไปทิศอุดร ข้ามภูเขาสูงใหญ่ ๗ ลูก เขาลูกสูงที่สุดชื่อ สุวรรณปัสสคิรี มีพรรณไม้ผลิดอกออกบานสะพรั่ง มีฝูงกินนรเที่ยวสัญจรไปมาไม่ขาด.
               ท่านจงขึ้นไปบนภูเขา อันเป็นที่อยู่แห่งหมู่กินนร แล้วมองลงมาตามเชิงเขา. ทันใดนั้น จะได้เห็นต้นไทรใหญ่ สีเสมอเหมือนสีเมฆ มีย่านไทร ๘,๐๐๐ ห้อยย้อย. ใต้ต้นไทรนั้น พญาเศวตกุญชรตัวมีงามีรัศมี ๖ ประการอยู่อาศัย ยากที่ใครอื่นจะข่มขี่จับได้.
               ช้างประมาณ ๘,๐๐๐ มีงาเท่างอนไถ วิ่งไล่เร็วปานลมพัด พากันแวดล้อมรักษาพญาเศวตกุญชรนั้นอยู่ ช้างเหล่านั้นย่อมบันลือเสียงน่าหวาดกลัว. โกรธแม้แต่ลมที่พัดถูกตัว ถ้าเห็นมนุษย์ ณ ที่นั้นเป็นต้องขยี้เสียให้เป็นภัสมธุลี แม้แต่ละอองก็ไม่ให้ถูกต้องพญาช้างได้เลย.
               นายพรานโสณุดรฟังพระเสาวนีย์แล้ว หวาดกลัวต่อมรณภัย กราบทูลเป็นคาถาความว่า
               ข้าแต่พระราชเทวี เครื่องอาภรณ์ที่แล้วไปด้วยเงิน แก้วมุกดา แก้วมณี และแก้วไพฑูรย์ มีอยู่ในราชสกุลมากมาย. เหตุไร พระแม่เจ้าจึงทรงประสงค์เอางาช้างมาทำเป็นเครื่องประดับเล่า.
               พระแม่เจ้าทรงปรารถนาจะให้ฆ่าพญาช้าง ซึ่งมีงามีรัศมี ๖ ประการเสีย หรือว่าจะให้พญาช้างฆ่าพวกเชื้อแถวของนายพราน เสียกระมัง.

               ลำดับนั้น พระนางเทวีตรัสคาถา ความว่า
               ดูก่อนนายพราน เรามีทั้งความริษยา ทั้งความน้อยใจ เพราะนึกถึงความหลังเข้า ก็ตรอมใจ ขอท่านจงทำตามความประสงค์ของเรา เราจักให้บ้านส่วยแก่ท่าน ๕ ตำบล.
               ก็แล ครั้นพระนางเทวีตรัสอย่างนี้แล้ว ตรัสปลอบโยนว่า สหายพรานเอ๋ย ในชาติก่อน เราได้ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขอให้เราเป็นคนสามารถ ที่จะให้ฆ่าพญาช้างฉัททันต์เชือกนี้ เอางาทั้งคู่มาให้ได้. ใช่ว่า ฉันจะฝันเห็นก็หามิได้. อนึ่ง ความปรารถนาที่ฉันตั้งไว้ต้องสำเร็จ เจ้าไปเถิด อย่ากลัวเลย. นายพรานโสณุดรรับปฏิบัติ ตามพระเสาวนีย์ของพระนางเทวีว่า ตกลงพระแม่เจ้า. แล้วทูลว่า ถ้าเช่นนั้น พระแม่เจ้า โปรดชี้แจงที่อยู่ของพญาช้างฉัททันต์นั้นให้แจ่มแจ้ง.
               เมื่อจะทูลถามต่อไป จึงกล่าวคาถา ความว่า
               พญาช้างนั้นอยู่ที่ตรงไหน เข้าไปยืนอยู่ที่ไหน ทางไหนเป็นทางที่พญาช้างไปอาบน้ำ อนึ่ง พญาช้างนั้นอาบน้ำอย่างไร ทำไฉนข้าพระพุทธเจ้าจึงจะรู้คติของพญาช้างได้.

               เมื่อพระนางเทวีจะตรัสบอกสถานที่อันเล็งเห็นโดยประจักษ์ ด้วยญาณเครื่องระลึกชาติได้ แก่นายพรานโสณุดร. ได้ตรัสคาถา ๒ คาถา ความว่า
               ในที่ๆ พญาช้างอยู่นั้น มีสระอยู่ใกล้ๆ น่ารื่นรมย์ มีท่าราบเรียบ ทั้งน้ำก็มาก สะพรั่งไปด้วยพรรณไม้ดอก มีหมู่ภมรมาคลึงเคล้า พญาช้างลงอาบน้ำในสระนี้แหละ.
               พญาช้างชำระศีรษะแล้ว ทัดทรงมาลัยอุบล มีร่างเผือกผ่องขาว ราวกะดอกบุณฑริก บันเทิงใจ. ให้มเหสีชื่อว่าสัพพภัททา เดินหน้า ดำเนินไปยังที่อยู่ของตน.
               นายพรานโสณุดรฟังพระเสาวนีย์แล้ว ทูลรับสนองว่า ดีละ พระแม่เจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจักฆ่าช้างนั้นนำเอางามาถวาย. ครั้งนั้น พระเทวีทรงชื่นชมยินดีประทานทรัพย์แก่เขาพันหนึ่ง รับสั่งว่า เจ้ากลับไปเรือนก่อนเถิด อีกเจ็ดวันจึงค่อยไปที่นั่น.
               ครั้นส่งเขาไปแล้ว รับสั่งให้ช่างเหล็กมาเฝ้า ทรงบัญชาว่า พ่อคุณ ฉันต้องการมีดพับ ขวาน จอบ สิ่ว ค้อน มีดตัดพุ่มไผ่ เคียวเกี่ยวหญ้า มีดดาบ ท่อนโลหะแหลม เลื่อย และหลักเหล็กสามง่าม พ่อจงรีบทำของทั้งหมดมาให้ฉัน. แล้วรับสั่งให้ช่างหนังมาเฝ้า ทรงบัญชาว่า พ่อคุณ พ่อควรจะจัดทำกระสอบหนัง สำหรับใส่สัมภาระ หนักประมาณหนึ่งกุมภะ ให้เรา. เราต้องการเชือกหนัง สายรัด ถุงมือ รองเท้า และร่มหนัง. พ่อจงช่วยทำของทั้งหมดนี้ มาให้เราด่วนด้วย. นับแต่นั้น ช่างทั้งสองก็รีบทำของทั้งหมด นำมาถวายแด่พระเทวี.
               พระนางจึงทรงตระเตรียมเสบียงให้นายพรานโสณุดรนั้น ตั้งแต่ไม้สีไฟเป็นต้นไป บรรจุเครื่องอุปกรณ์ทุกอย่างและเสบียงมีสัตตุก้อนเป็นต้น ใส่ลงในกระสอบหนัง เครื่องอุปกรณ์และเสบียงทั้งหมดนั้นหนักประมาณกุมภะหนึ่ง.
               ฝ่ายนายพรานโสณุดรนั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว ถึงวันที่เจ็ดก็มาเฝ้าถวายบังคมพระราชเทวี. ลำดับนั้น พระนางเทวีรับสั่งกะเขาว่า เครื่องอุปกรณ์ทุกอย่างของเจ้าสำเร็จแล้ว เจ้าจงลองยกกระสอบนี้ดูก่อน. ก็นายพรานโสณุดรนั้นเป็นคนมีกำลังมาก ทรงกำลังประมาณห้าช้างสาร เพราะฉะนั้น จึงยกกระสอบขึ้นคล้ายกระสอบพลูแล้วสะพายบ่า ยืนเฉยดุจยืนมือเปล่า. พระนางสุภัททาจึงประทานข้าวของแก่พวกลูกๆ ของนายพราน แล้วกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ จัดส่งนายพรานโสณุดรไป.
               ฝ่ายนายพรานโสณุดรนั้น ครั้นถวายบังคมลาพระราชาและพระราชเทวีแล้ว ก็ลงจากพระราชนิเวศน์. ขึ้นรถออกจากพระนครด้วยบริวารเป็นอันมาก ผ่านคามนิคมและชนบทมาตามลำดับ ถึงปลายพระราชอาณาเขตแล้ว จึงให้ชาวชนบทกลับ. เดินทางเข้าป่าไปกับชาวบ้านชายแดน จนเลยถิ่นของมนุษย์ จึงให้ชาวบ้านชายแดนกลับทั้งหมด แล้วเดินไปเพียงคนเดียว สิ้นระยะทาง ๓๐ โยชน์.
               ถึงป่าชัฏ ๑๘ แห่งโดยลำดับ คือ ตอนแรกป่าหญ้าแพรก ป่าเลา ป่าหญ้า ป่าแขม ป่าไม้มีแก่น ป่าไม้มีเปลือก ชัฏ ๖ แห่ง เป็นชัฏพุ่มหนาม ป่าหวาย ป่าไม้ต่างพรรณระคนคละกัน ป่าไม้อ้อ ป่าทึบ แม้งูก็เลื้อยไปได้ยาก คล้ายป่าแขม ป่าไม้สามัญ ป่าไผ่ ป่าที่มีเปลือกตมแล้ว มีน้ำล้วน มีภูเขาล้วน. ครั้นเข้าไปแล้ว ก็เอาเคียวเกี่ยวหญ้าแพรกเป็นต้น เอามีดสำหรับตัดพุ่มไม้ไผ่ ฟันป่าแขมเป็นต้น เอาขวานโคนต้นไม้ ใช้สิ่วใหญ่เจาะทำทางเดิน ที่ป่าไผ่ก็ทำพะองพาดขึ้นไป ตัดไม้ไผ่ให้ตกบนพุ่มไผ่อื่น แล้วเดินไปบนยอดพุ่มไผ่ ถึงที่ซึ่งมีเปลือกตมล้วน ก็ทอดไม้เลียบแห้งเดินไปตามนั้น แล้วทอดท่อนอื่นต่อไปอีก ยกท่อนนอกนี้ขึ้น ทอดต่อไปข้างหน้าอีก ข้ามชัฏที่มีเปลือกตมไปได้.
               ถึงชัฏที่มีน้ำล้วน ก็ต่อเรือโกลนข้ามไปยืนอยู่ที่เชิงเขา เอาเชือกผูกเหล็กสามง่าม ขว้างขึ้นไปให้ติดอยู่ที่ภูเขา แล้วโหนขึ้นไปตามเชือกหนัง จนยืนอยู่บนภูเขาได้ แล้วหย่อนเชือกหนังลงไป ยึดเชือกหนังลงมาผูกที่หลักข้างล่าง แล้วไต่ขึ้นทางเชือก เอาท่อนโลหะซึ่งมีปลายแหลมดุจเพชรเจาะภูเขาแล้วตอกเหล็ก เสร็จแล้วยืนอยู่ที่นั้น แล้วกระตุกเหล็กสามง่ามออก แล้วขว้างไปติดอยู่ข้างบนอีก ยืนอยู่บนนั้น แล้วหย่อนเชือกหนังลงไปผูกไว้ที่หลักข้างล่าง ไต่ขึ้นไปตามเชือก มือซ้ายถือเชือก มือขวาถือค้อน แก้เชือกแล้ว ถอนหลักขึ้นต่อไปอีก. โดยทำนองนี้ จนขึ้นไปถึงยอดเขา เมื่อจะลงด้านโน้น ก็ตอกเหล็กลงที่ยอดเขาลูกแรก โดยทำนองเดิมนั่นเอง. เอาเชือกผูกกระสอบหนัง พันเข้าที่หลักแล้ว ตนเองนั่งภายในกระสอบโรยเชือกลง คล้ายอาการที่แมงมุมชักใย. บางอาจารย์กล่าวว่า นายพรานโสณุดรลงจากเขาโดยร่มหนัง เหมือนนกถาปีกโฉบลง ฉะนั้น.

              พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงทำให้แจ่มแจ้ง ซึ่งข้อที่นายพรานโสณุดรรับเอา พระเสาวนีย์ของพระนางสุภัททาอย่างนั้น แล้วออกจากพระนคร. ล่วงเลยป่าชัฏ ๑๗ แห่ง จนถึงชัฏแห่งภูเขา ข้ามเขาหกลูกในที่นั้นได้ แล้วขึ้นสู่ยอดเขาสุวรรณปัสสบรรพต. จึงตรัสพระคาถา ความว่า
               นายพรานนั้นยึดเอาพระเสาวนีย์ของพระนางสุภัททาราชเทวี ซึ่งประทับยืนอยู่ ณ ที่นั้นเอง แล้วถือเอาแล่งลูกธนู ข้ามภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ ลูกไป จนถึงลูกที่ชื่อว่า สุวรรณปัสสบรรพต อันสูงโดด. เขาขึ้นไปสู่บรรพต อันเป็นที่อยู่ของกินนร แล้วมองลงมายังเชิงเขา ได้เห็นต้นไทรใหญ่สีเขียว ดังสีเมฆมีย่านไทรแปดพันห้อยย้อย ที่เชิงเขานั้น.
               ทันใดนั้นเอง ก็ได้เห็นพญาช้างเผือกขาวผ่อง งามีรัศมี ๖ ประการ ยากที่คนเหล่าอื่นจะจับได้ มีช้างประมาณ ๘,๐๐๐ เชือก ล้วนแต่มีงางามงอน ขนาดงอนไถวิ่งไล่เร็วดุจลมพัด แวดล้อมรักษาพญาช้างนั้นอยู่. และได้เห็นสระโบกขรณี อันน่ารื่นรมย์อยู่ใกล้ๆ ที่อยู่ของพญาช้างนั้น ทั้งท่าน้ำก็ราบเรียบ น้ำมากมาย มีพรรณไม้ดอกบานสะพรั่ง มีหมู่ภมรเที่ยวเคล้าคลึงอยู่.
               ครั้นเห็นที่ที่พญาช้างลงอาบน้ำ จนกระทั่งที่ซึ่งพญาช้างเดินยืนอยู่ และทางที่พญาช้างลงอาบน้ำ. ก็แลนายพรานผู้มีใจลามก ถูกพระนางสุภัททาผู้ตกอยู่ในอำนาจจิตทรงใช้มา ก็มาจัดแจงตระเตรียมหลุม.
               เล่ากันมาว่า นายพรานโสณุดรนั้น มาถึงที่อยู่ของพระมหาสัตว์กำหนดได้ เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน. กำหนดดูสถานที่อยู่ของพระมหาสัตว์ โดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นเอง. กำหนดหมายใจไว้ว่า เราจะต้องขุดหลุมที่ตรงนี้ ยืนแอบในหลุมนั้นยิงพญาช้างให้ถึงความตาย ดังนี้. แล้วเข้าป่าตัดต้นไม้เพื่อทำเสาเป็นต้น ตระเตรียมทัพสัมภาระไว้. เมื่อช้างทั้งหลายไปอาบน้ำกันแล้ว จึงเอาจอบใหญ่ขุดหลุมสี่เหลี่ยมจตุรัส ตรงที่อยู่ของพญาช้าง แล้วเอาน้ำราด เหมือนจะปลูกพืชที่คุ้ยฝุ่นขึ้น ปักเสาลงบนหินซึ่งมีสัณฐานคล้ายครก ใส่ขื่อ ปูกระดานเรียบไว้ เจาะช่องขนาดคอลอดได้ แล้วโรยฝุ่น และเกลี่ยขยะมูลฝอยพลางข้างบนด้านหนึ่ง ทำเป็นที่เข้าออกของตน. เมื่อหลุมเสร็จแล้วอย่างนี้ ในเวลาใกล้รุ่งจึงคลุมศีรษะ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ถือธนูพร้อมด้วยลูกศรอันอาบยาพิษ ลงไปยืนอยู่ในหลุม.
               พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ตรัสพระคาถาความว่า
               นายพรานผู้กระทำกรรมอันชั่วช้า ขุดหลุมเอากระดานปิด เสร็จแล้วสอดธนูไว้ เอาลูกศรลูกใหญ่ ยิงพญาช้างที่มายืนอยู่ข้างหลุมของตน.
               พญาช้างถูกยิงแล้ว ก็ร้องก้องโกญจนาท ช้างทั้งหมดพากันบันลืออื้ออึง ต่างพากันวิ่งมารอบๆ ทั้ง ๘ ทิศ ทำหญ้าและไม้ให้แหลกเป็นจุณไป.
               พญาช้างเอาเท้ากระชุ่นดิน ด้วยคิดว่า เราจักฆ่านายพรานคนนี้ แต่ได้เห็นผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระฤาษี ก็เกิดความรู้สึกว่า ธงชัยของพระอรหันต์ อันสัตบุรุษไม่ควรทำลาย.
               ได้ยินว่า ในวันที่สอง พญาช้างนั้นมาอาบน้ำ แล้วขึ้นมายืนอยู่ที่อันเป็นลานกว้างใหญ่. ลำดับนั้น น้ำจากสรีระของพญาช้างนั้น ไหลหยดทางนาภีประเทศตกต้องตัวของนายพรานทางช่องนั้น. โดยข้อสังเกตอันนั้น นายพรานก็ทราบว่า พระมหาสัตว์มายืนอยู่แล้ว จึงเอาลูกศรใหญ่ยิงพญาช้าง ซึ่งมายืนอยู่ข้างหลุมของตน. นัยว่า ลูกศรนั้นทะลุไปตรงนาภีประเทศของพญาช้าง ทำลายอวัยวะ เช่นไตเป็นต้นให้แหลกละเอียด ตัดไส้น้อยเป็นต้น เรื่อยไปจนทะลุออกทางเบื้องหลังของพญาช้าง แล่นเลยไปในอากาศ แผลเหวอะหวะ คล้ายถูกคมขวาน ฉะนั้น เลือดไหลออกทางปากแผลนองไป ดุจน้ำย้อมไหลออกจากหม้อ บังเกิดทุกขเวทนาเหลือกำลัง. พญาช้างไม่สามารถจะอดกลั้นทุกขเวทนาได้ ก็ร้องก้องสนั่นไปทั่วสกลบรรพต บันลือโกญจนาทอื้ออึงถึงสามครั้ง.
               พญาฉัททันต์ก็อดกลั้นเวทนาได้ แล้วกำหนดทางที่ลูกศรแล่นมา ไตร่ตรองดูว่า ถ้าลูกศรนี้จักมาทางเบื้องปุรัตถิมทิศเป็นต้นแล้ว ลูกศรจักต้องทะลุทางกระพองเป็นต้นก่อน แล้วแล่นออกทางเบื้องหางเป็นต้น แต่นี่เข้าทางนาภี ทะลุแล่นไปในอากาศ เพราะฉะนั้น จักมีคนที่ยืนอยู่ใต้ดินยิงมา ประสงค์จะตรวจตราดูที่ซึ่งมีคนยืนต่อไป จึงคิดว่า ใครจะล่วงรู้ว่าจักมีอะไรเกิดขึ้น ควรที่เราจะให้นางมหาสุภัททาหลีกไปเสีย. แล้วกล่าวว่า น้องรัก ช้างทั้ง ๘,๐๐๐ ค้นหาปัจจามิตรของพี่ต่างก็พากันวิ่งไปในทิศานุทิศ เจ้ามัวทำอะไรอยู่ที่นี่เล่า?
               เมื่อนางมหาสุภัททาตอบว่า ท่านเจ้าขา ดิฉันยืนคอยพยาบาลปลอบใจท่านอยู่ ขอท่านอดโทษแก่ดิฉันด้วยเถิด แล้วกระทำประทักษิณ ๓ รอบจบทำความเคารพในฐานะทั้ง ๔ แล้วเหาะไปสู่อากาศ.
               ฝ่ายพญาช้างก็เอาเล็บเท้ากระชุ่นพื้นดิน กระดานกระดกขึ้น พญาช้างก้มมองดูทางช่อง เห็นนายพรานโสณุดรก็เกิดโทสจิต คิดว่า เราจักฆ่ามัน จึงสอดงวงงามราวกะพวงเงิน ลงไปลูบคลำดู ได้มองเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น.
               พญาช้างจึงยกนายพรานขึ้นมาวางไว้เบื้องหน้า.
               ลำดับนั้น สัญญาคือความสำนึกผิดชอบ ได้เกิดขึ้นแก่พระมหาสัตว์ ซึ่งได้รับทุกขเวทนาขนาดหนัก ดังนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า ธงชัยแห่งพระอรหันต์ ไม่ควรที่บัณฑิตจะทำลาย ควรสักการะเคารพอย่างเดียวโดยแท้.
               เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าจะสนทนากับนายพราน จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า
               ผู้ใดยังไม่หมดกิเลส ปราศจากทมะและสัจจะ ผู้นั้นไม่ควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ. ส่วนผู้ใดคลายกิเลสได้แล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีล ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นแลควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ.
               คาถานั้นมีอธิบายดังนี้
               สหายพรานเอ๋ย คนใดใช่คนหมดกิเลส ดุจน้ำฝาดมีราคะเป็นต้น ปราศจากการฝึกอินทรีย์ทั้งวจีสัจจะ คือไม่เข้าถึงคุณเหล่านั้น นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อันย้อมแล้วด้วยน้ำฝาด คนนั้นไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์นั้นเลย คือไม่สมควรกับผ้านั้น ส่วนคนใดพึงชื่อว่า เป็นผู้ชำระกิเลสได้ เพราะคลายกิเลส ดุจน้ำฝาดเหล่านั้นเสียได้.
               พระมหาสัตว์เจ้า ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ระงับความคิดที่จะฆ่านายพรานนั้นเสีย. ถามว่า สหายเอ๋ย ท่านยิงเราเพื่อต้องการอะไร เพื่อประโยชน์ของตัวเอง หรือคนอื่นใช้มา.
               พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถา ความว่า
               พญาช้างถูกลูกศรใหญ่เสียบเข้าแล้ว ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย ได้ถามนายพรานว่า เพื่อนเอ๋ย ท่านประสงค์อะไร เพราะเหตุอะไร หรือว่าใครใช้ให้ท่านมาฆ่าเรา.
               เมื่อนายพรานโสณุดรจะบอกความนั้นแก่พญาช้าง จึงกล่าวคาถา ความว่า
               ดูก่อนพญาช้างที่เจริญ นางสุภัททาพระมเหสีของพระเจ้ากาสิกราช อันประชาชนสักการะบูชา อยู่ในราชสกุล. พระนางได้ทรงนิมิตเห็นท่าน และได้โปรดให้ทำสักการะแก่ข้าพเจ้าแล้ว ตรัสบอกข้าพเจ้าว่า มีพระประสงค์งาทั้งคู่ของท่าน.
               พระมหาสัตว์ทรงสดับดังนั้น ก็ทราบว่านี้เป็นการกระทำของนางจุลลสุภัททา สู้อดกลั้นเวทนาไว้ กล่าวว่า พระนางสุภัททานั้น ใช่จะต้องการงาทั้งสองของเราก็หามิได้ แต่เพราะประสงค์จะให้ท่านฆ่าเรา จึงได้ส่งมา.
               เมื่อจะแสดงความต่อไป จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า
               แท้จริง พระนางสุภัททาทรงทราบดีว่า งางามๆ แห่งบิดา และปู่ทวดของเรา มีอยู่เป็นอันมาก แต่พระนางเป็นคนพาล โกรธเคือง ผูกเวร ต้องการจะฆ่าเรา.
               ดูก่อนนายพราน ท่านจงลุกขึ้นเถิด จงหยิบเลื่อยมาตัดงาคู่นี้เถิด ประเดี๋ยวเราจะตายเสียก่อน ท่านจงกราบทูลพระนางสุภัททาผู้ยังผูกโกรธว่า พญาช้างตายแล้ว เชิญพระนางรับงาคู่นี้ไว้เถิด.
               นายพรานโสณุดรได้ฟังคำของพญาช้างแล้ว ลุกขึ้นจากที่นั่ง ถือเลื่อยเข้ามาใกล้ๆ พญาช้าง คิดว่า เราจักตัดเอางาไป. ก็พญาช้างนั้นสูงประมาณ ๘๐ ศอก ยืนเด่นคล้ายภูเขาเงิน. ด้วยเหตุนั้น พรานโสณุดรจึงเอื้อมเลื่อยงาไม่ถึง. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าจึงย่อกายนอนก้มศีรษะลงเบื้องต่ำ ขณะนั้น นายพรานจึงเหยียบงวงเช่นกับพวงเงินของพระมหาสัตว์ ขึ้นไปอยู่บนกระพอง เป็นเหมือนขึ้นยืนอยู่บนเขาไกรลาส แล้วเอาเข่ากระตุ้นเนื้อ ซึ่งย้อยอยู่ที่ปาก ยัดเข้าข้างใน ลงจากกระพอง แล้วสอดเลื่อยเข้าไปภายในปาก. นายพรานเอามือทั้งสองเลื่อยชักขึ้นชักลง อย่างทะมัดทะแมง. ทุกขเวทนาเกิดขึ้นแก่พระมหาสัตว์เป็นกำลัง ปากเต็มไปด้วยโลหิต. เมื่อนายพรานเลื่อยชักไปชักมาอยู่ ก็ไม่สามารถจะเอาเลื่อยตัดงาให้ขาดได้.
               ทีนั้น พระมหาสัตว์เจ้าจึงบ้วนโลหิตออกจากปาก สู้อดกลั้นทุกขเวทนาได้ ถามนายพรานว่า สหายเอ๋ย ท่านไม่สามารถจะตัดงาให้ขาดได้ละหรือ?
               พรานโสณุดรตอบ ใช่แล้วนาย.
               พระมหาสัตว์ดำรงสติมั่นกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงยกงวงของเราขึ้น ให้จับเลื่อยข้างบนไว้ เราเองไม่มีกำลังจะยกงวงของเราได้. นายพรานก็ปฏิบัติตามเช่นนั้น.
               พระมหาสัตว์เอางวงยึดมือเลื่อยไว้แล้วชักขึ้นชักลง ส่วนงาทั้งสองก็ขาด ประดุจตัดตอไม้ฉะนั้น.
               ทีนั้น พญาช้างจึงให้นายพรานนำงาเหล่านั้นมาถือไว้ แล้วกล่าวว่า
               สหายพราน เราให้งาเหล่านี้แก่ท่าน ใช่ว่าเราจะไม่รักของเราก็หามิได้ ทั้งเรามิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ เป็นมาร เป็นพรหมเลย. แต่เพราะงา คือพระสัพพัญญุตญาณนั้น เรารักกว่างาคู่นี้ ตั้งร้อยเท่าพันเท่า. ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยแห่งการได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ. ” ดังนี้
               แล้วมอบงาไป แล้วถามต่อไปว่า สหาย กว่าท่านจะมาถึงที่นี่ เป็นเวลานานเท่าไร? เมื่อนายพรานตอบว่า เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน. จึงกล่าวว่า เชิญไปเถิดด้วยอานุภาพแห่งงาคู่นี้ ท่านจักถึงพระนครพาราณสีภายในเจ็ดวันเท่านั้น ดังนี้แล้วทำการป้องกันแก่นายพรานนั้น ส่งเขาไปโดยตั้งสัตยาธิษฐานว่า
               เราเป็นผู้ถูกลูกศรเสียบแทงแล้ว แม้จะถูกเวทนาครอบงำ ก็ไม่คิดประทุษร้ายในบุคคลผู้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ถ้าข้อนี้เป็นความจริง อันเราผู้เป็นพญาช้างตั้งไว้ ขอพาลมฤคในไพรสณฑ์ อย่าได้มากล้ำกรายนายพรานนี้เลย.
               ก็แล ครั้นพระมหาสัตว์ส่งนายพรานไปแล้ว ก็ทำกาลกิริยาล้มลง ในเมื่อพวกช้างและนางมหาสุภัททายังมาไม่ถึง.
               พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาความว่า
               นายพรานนั้นรีบลุกขึ้นจับเลื่อย เลื่อยงาพญาช้างทั้งคู่ อันงดงามวิลาส หาที่เปรียบมิได้ในพื้นปฐพี แล้วรีบถือหลีกออกจากที่นั้นไป.
               ฝ่ายนางมหาสุภัททาที่มาพร้อมกับช้างเหล่านั้นก็ดี ช้าง ๘,๐๐๐ ทั้งหมดนั้นก็ดี ต่างร่ำไห้คร่ำครวญอยู่ ณ ที่นั้น แล้วพากันไปยังสำนักแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้กุลุปกะของพระมหาสัตว์ บอกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ปัจจยทายกของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ ทำกาละเสียแล้ว นิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลายไปดูซากของปัจจยทายกนั้นในป่าช้าเถิด.
               ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ รูป ก็เหาะมาทางอากาศ ลงตรงที่ลานใหญ่.
               ขณะนั้น ช้างหนุ่ม ๒ เชือก ช่วยกันเอางาเสยยกสรีระร่างของพญาช้างให้จบพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วยกขึ้นสู่จิตกาธานทำฌาปนกิจ.
               พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายกระทำการสาธยายธรรมอยู่ที่ป่าช้า ตลอดคืนยังรุ่ง.
               ช้างทั้ง ๘,๐๐๐ ครั้นดับธาตุเสร็จ สรงสนานแล้ว เชิญนางมหาสุภัททาเป็นหัวหน้า แห่มายังสถานที่อยู่ของตนๆ.
               พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ตรัสพระคาถาความว่า
               ช้างเหล่านั้น พากันคร่ำครวญร่ำไห้อยู่ ณ ที่นั้น ต่างเกลี่ยอังคารขึ้นบนกระพองของตนๆ แล้วยกเอานางสัพพภัททาผู้เป็นมเหสี ให้เป็นหัวหน้า พากันกลับยังที่อยู่ของตนทั้งหมด.
               ฝ่ายนายพรานโสณุดร เอางาทั้งคู่มายังไม่ถึง ๗ วัน ก็ถึงพระนครพาราณสี.
               พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาความว่า
               นายพรานนั้นนำงาทั้งคู่ของพญาคชสาร อันอุดมไพศาล งดงาม ไม่มีงาอื่นในปฐพีจะเปรียบได้ ส่องรัศมีดุจสีทอง สว่างไสวไปทั่วทั้งไพรสณฑ์ มาถึงยังพระนครกาสี แล้วน้อมนำงาทั้งคู่ เข้าไปถวายพระนางสุภัททา กราบทูลว่า พญาช้างล้มแล้ว ขอเชิญพระนางทอดพระเนตรงาทั้งคู่นี้เถิด.
               เมื่อพระนางเทวีกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ ให้ประดับตกแต่งพระนครดุจเทพนครแล้ว ก็เข้าสู่พระนคร ขึ้นไปยังปราสาทน้อมงาทั้งคู่เข้าไป ครั้นน้อมเข้าไปแล้ว ก็กราบทูลว่า ขอเดชะพระแม่เจ้า ได้ทราบว่า พระแม่เจ้าก่อความขุ่นเคืองเหตุเล็กน้อยไว้ในพระทัยต่อพญาช้างใด ข้าพระพุทธเจ้าฆ่าพญาช้างนั้นตายแล้ว โปรดทรงทราบว่า พญาช้างตายแล้ว ขอเชิญพระแม่เจ้าทอดพระเนตร นี้คืองาทั้งสองของพญาช้างนั้น แล้วได้ถวายงาไป.
               พระนางสุภัททาจึงเอางวงตาลทำด้วยแก้วมณี รับคู่งาอันวิจิตรมีรัศมี ๖ ประการของพระมหาสัตว์เจ้ามาวางไว้ที่อุรุประเทศ ทอดพระเนตรดูงาแห่งสามีที่รักของพระองค์ในปุริมภพ พลางระลึกว่า นายพรานโสณุดรฆ่าพญาช้างที่ถึงส่วนแห่งความงามเห็นปานนี้ให้ถึงแก่ชีวิต ตัดเอางาทั้งคู่มา. เมื่อทรงอนุสรณ์ถึงพระมหาสัตว์ ก็ทรงบังเกิดความเศร้าโศกไม่สามารถที่จะอดกลั้นได้ ทันใดนั้น ดวงหทัยของพระนางก็แตกทำลายไป ได้ทำกาลกิริยาในวันนั้นเอง.
               พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ตรัสพระคาถาความว่า
               พระนางสุภัททาผู้เป็นพาล ครั้นทอดพระเนตรเห็นงาทั้งสองของพญาคชสารอันอุดม ซึ่งเป็นปิยภัสดาของตน ในชาติก่อนแล้ว หทัยของพระนางก็แตกทำลาย ณ ที่นั้นเอง ด้วยเหตุนั้นแล พระนางจึงได้สวรรคต.
               ลำดับนั้น เมื่อพระธรรมสังคาหกเถระเจ้าทั้งหลายจะสรรเสริญพระคุณแห่งพระทศพล จึงกล่าวคำเป็นคาถาอย่างนี้ความว่า
               พระบรมศาสดาได้บรรลุสัมโพธิญาณแล้วมีพระอานุภาพมาก ได้ทรงทำการแย้มในท่ามกลางบริษัท ภิกษุทั้งหลายผู้มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว พากันกราบทูลถามว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาได้ทรงทำการแย้มให้ปรากฏ โดยไร้เหตุผลไม่.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลายจงดูกุมารีสาวคนนั้น นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ประพฤติอนาคาริยวัตร นางกุมารีคนนั้นแลเป็นนางสุภัททาในกาลนั้น เราตถาคตเป็นพญาช้างในกาลนั้น นายพรานผู้ถือเอางาทั้งคู่ของพญาคชสารอันอุดม หางาอื่นเปรียบปานมิได้ในปฐพี กลับมายังพระนครกาสีในกาลนั้น เป็นพระเทวทัต.
               พระพุทธเจ้าผู้ปราศจากความกระวนกระวาย ความเศร้าโศก และกิเลสดุจลูกศร ตรัสรู้ยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ได้ตรัสฉัททันตชาดกนี้ อันเป็นของเก่า ไม่รู้จักสิ้นสูญ ซึ่งพระองค์ท่องเที่ยวไปตลอดกาลนาน เป็นบุรพจรรยาทั้งสูงทั้งต่ำว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คราวครั้งนั้น เรายังเป็นพญาช้างฉัททันต์ อยู่ที่สระฉัททันต์นั้น เธอทั้งหลายจงทรงจำชาดกไว้ ด้วยประการฉะนี้แล.
               ก็แล คนเป็นอันมากฟังพระธรรมเทศนานี้แล้วได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันเป็นต้น.
               (ส่วน) นางภิกษุณีนั้นเจริญวิปัสสนาแล้ว ภายหลังได้บรรลุพระอรหัตผลฉะนี้แล.


               จบอรรถกถาฉัททันตชาดกที่ ๔               
               ---------------------------------------             

 

สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆ


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย