ผันทนชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. ผันทนชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๔๗๕)
ว่าด้วยการผูกเวรของหมีและไม้สะคร้อ
(หมีได้บอกช่างไม้ว่า)
[๑๔] ท่านผู้เดียวถือขวานเข้ามาถึงป่ายืนอยู่ เพื่อน เราถามแล้วท่านจงบอก ท่านต้องการจะตัดไม้หรือ
(ช่างไม้ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า)
[๑๕] เพื่อน เจ้าเป็นหมีเที่ยวไปยังป่าน้อยใหญ่ ทั้งป่าทึบและป่าโปร่ง เราถามแล้ว เจ้าจงบอก ไม้อะไรถึงจะแข็งแกร่งสำหรับกงรถ
(หมีกล่าวว่า)
[๑๖] ต้นรังก็ดี ต้นตะเคียนก็ดี ต้นหูกวางก็ดี ต้นสีเสียดก็ดี ที่ไหนจะแข็งแกร่ง แต่ต้นไม้ที่มีนามว่าสะคร้อนั่นซิ เป็นไม้ที่แข็งแกร่งสำหรับกงรถ
(ช่างไม้ถามว่า)
[๑๗] ก็ต้นสะคร้อนั้น ใบก็ตาม ลำต้นก็ตามเป็นเช่นไร เพื่อน เราถามแล้ว ท่านจงตอบ เราจะรู้จักต้นสะคร้อได้อย่างไร
(หมีบอกว่า)
[๑๘] ต้นไม้ใดที่กิ่งห้อยน้อมลงมาแต่ไม่หัก ข้าพเจ้ายืนอยู่ที่โคนต้นไม้ใด ต้นไม้นั้นมีนามว่าสะคร้อ
[๑๙] ต้นสะคร้อนี้จักเป็นไม้ที่สมควร แก่กิจการของท่านทุกอย่าง คือ ทำกำก็ได้ ล้อก็ได้ ดุมก็ได้ งอนไถก็ได้ กงก็ได้ ตัวรถก็ได้
(พระศาสดาทรงประกาศเรื่องนั้นว่า)
[๒๐] ทันใดนั้น รุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ต้นสะคร้อ ก็ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ถึงข้าพเจ้าก็มีคำที่จะพูด ภารทวาชะ โปรดฟังคำของข้าพเจ้า
[๒๑] ท่านจงถลกหนังจากคอหมี ๔ องคุลีแล้วใช้หุ้มกงรถ เมื่อทำเช่นนี้ กงรถจะพึงมั่นคงยิ่งขึ้น
[๒๒] ถึงรุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ต้นสะคร้อ ได้จองเวรแล้วเพียงนั้น ได้นำความทุกข์มาให้แก่พวกหมี ทั้งที่เกิดแล้วและยังไม่เกิด ด้วยประการฉะนี้
[๒๓] ด้วยประการดังกล่าวมาฉะนี้ ไม้สะคร้อยุให้คนฆ่าหมี ส่วนหมียุให้คนโค่นต้นสะคร้อ เพราะการวิวาทกันและกัน ต่างคนต่างยุให้ฆ่ากันและกัน คือ
[๒๔] พวกมนุษย์เกิดการทะเลาะกันขึ้นที่ใด ที่นั้นมนุษย์ทั้งหลายก็เปิดเผยความลับเหมือนนกยูงรำแพน และเหมือนหมีกับไม้สะคร้อเหล่านั้น
[๒๕] เพราะเหตุนั้น ตถาคตขอถวายพระพรมหาบพิตรทั้งหลาย ขอมหาบพิตรทั้งหลายทรงพระเจริญ ตราบเท่าที่ทรงสมาคมกัน ณ สถานที่นี้ ขอทรงรื่นเริงบันเทิงพระทัย อย่าทรงวิวาทกัน อย่าทรงเป็นเหมือนหมีกับไม้สะคร้อเลย
[๒๖] ขอมหาบพิตรทั้งหลายทรงสำเหนียกถึงความสามัคคีนั้น ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสรรเสริญแล้ว บุคคลผู้ยินดีแล้วในความสามัคคี ดำรงอยู่ในธรรม ย่อมไม่เสื่อมจากนิพพานอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ
ผันทนชาดกที่ ๒ จบ
------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
ผันทนชาดก
ว่าด้วย การผูกเวรของหมีและไม้ตะคร้อ
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำโรหิณี ทรงพระปรารภการทะเลาะแห่งพระญาติ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ก็เนื้อความจักมีแจ้งในกุณาลชาดก.
แต่ในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสเรียกหมู่ญาติมาตรัสว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตรทั้งหลาย.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ กรุงพาราณสี ได้มีบ้านช่างไม้อยู่ภายนอกพระนคร. ในบ้านนั้นมีพราหมณ์ช่างไม้ผู้หนึ่งหาไม้มาจากป่า ทำรถเลี้ยงชีวิต
ครั้งนั้นในหิมวันตประเทศ มีต้นตะคร้อใหญ่ มีหมีตัวหนึ่งเที่ยวหากินแล้วมานอนที่โคนไม้ตะคร้อนั้น ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อลมระดมพัดกิ่งแห้งกิ่งหนึ่งของต้นตะคร้อหักตกถูกคอหมีนั้น มันพอกิ่งไม้ทิ่มคอหน่อยก็สะดุ้งตกใจ ลุกขึ้นวิ่งไปหวนกลับมาใหม่ มองดูทางที่วิ่งมาไม่เห็นอะไร คิดว่าสีหะหรือพยัคฆ์อื่นๆ ที่จะติดตามมามิได้มีเลย ก็แต่เทพยดาที่เกิด ณ ต้นไม้นี้ชะรอยจะไม่ทนดูเราผู้นอน ณ ที่นี้ เอาเถิดคงได้รู้กัน แล้วผูกโกรธในที่มิใช่ฐานะแล้วทุบฉีกต้นไม้ ตะคอกรุกขเทวดาว่า ข้าไม่ได้กินใบต้นไม้ของเจ้าเลยทีเดียว ข้าไม่ได้หักกิ่ง ทีมฤคอื่นๆ พากันนอนที่ตรงนี้ เจ้าทนได้ ทีข้าละก็เจ้าทนไม่ได้ โทษอะไรของข้าเล่า รอสักสองสามวันต่อไปเถิด ข้าจักให้เขาขุดต้นไม้ของเจ้าเสียทั้งรากทั้งโคน แล้วให้ตัดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่จงได้ เที่ยวสอดส่องหาบุรุษผู้หนึ่งเรื่อยไป.
ครั้งนั้น พราหมณ์ช่างไม้ผู้นั้นพามนุษย์ ๒-๓ คนไปถึงประเทศตรงนั้น โดยยานน้อยเพื่อต้องการไม้ทำรถ จอดยานน้อยไว้ ณ ที่แห่งหนึ่ง ถือพร้าและขวานเลือกเฟ้นต้นไม้ ได้เดินไปจนใกล้ไม้ตะคร้อ. หมีพบเข้าแล้วคิดว่า วันนี้น่าที่เราจะได้เห็นหลังปัจจามิตร ได้มายืนอยู่ที่โคนต้น. ฝ่ายนายช่างไม้เล่ามองดูทางโน้นทางนี้ ผ่านไปใกล้ต้นตะคร้อ.
หมีนั้นคิดว่า เราต้องบอกเขาทันทีที่เขายังไม่ผ่านไป ดังนี้แล้ว
จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า
ท่านเป็นบุรุษถือขวานมาสู่ป่ายืนอยู่ ดูก่อนสหาย เราถามท่าน ท่านจงบอกแก่เรา ท่านต้องการจะตัดไม้หรือ.
เขาฟังคำของมันแล้วคิดว่า ผู้เจริญน่าอัศจรรย์จริง มฤคพูดภาษามนุษย์ เราไม่เคยพบมาก่อนจากนี้เลย เจ้านี่คงจะรู้จักไม้ที่เหมาะแก่การทำรถ ต้องถามมันดูก่อน
จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า
เจ้าเป็นหมีเที่ยวอยู่ทั่วไปทั้งป่าทึบและป่าโปร่ง ดูก่อนสหาย เราถามเจ้า ขอเจ้าจงบอกแก่เรา ไม้อะไรที่จะทำกงรถได้มั่นคงดี.
หมีได้ฟังดังนั้นคิดว่า บัดนี้ มโนรถของข้าจักถึงที่สุด ดังนี้แล้ว
จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า
ไม้รังก็ไม่มั่นคง ไม้ตะเคียนก็ไม่มั่นคง ไม้หูกวางจะมั่นคงที่ไหนเล่า แต่ว่าต้นไม้ชื่อว่าต้นตะคร้อนั่นแหละ ทำเป็นกงรถมั่นคงดีนัก.
เขาฟังคำของมันนั้นแล้ว เกิดโสมนัสว่า วันนี้เป็นวันดีจริงเทียวละที่เราเข้าป่า สัตว์ดิรัจฉานบอกไม้อันเหมาะที่จะกระทำรถแก่เรา โอ ดีนัก
เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า
ต้นตะคร้อนั้นใบเป็นอย่างไร อนึ่ง ลำต้นเป็นอย่างไร ดูก่อนสหาย เราถามเจ้า ขอเจ้าจงบอกแก่เรา เราจะรู้จักไม้ตะคร้อได้อย่างไร.
ลำดับนั้น หมีเมื่อจะบอกแก่เขา ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
กิ่งทั้งหลายแห่งต้นไม้ใด ย่อมห้อยลงด้วย ย่อมน้อมลงด้วย แต่ไม่หัก ต้นไม้นั้นชื่อว่าต้นตะคร้อ ที่เรายืนอยู่ใกล้โคนต้นนี่.
ต้นไม้นี้แหละ ชื่อว่าต้นตะคร้อ เป็นต้นไม้ควรแก่การงานของท่านทุกอย่าง คือควรทำล้อ ดุม งอน และกงรถ.
หมีนั้นครั้นบอกอย่างนี้แล้วดีใจ เดินเที่ยวไปเสียข้างหนึ่ง ช่างไม้เล่าก็เตรียมการที่จะตัดต้นไม้. รุกขเทวดาคิดว่า อะไรๆ เราก็มิได้ให้ตกใส่บนตัวหมีนั้น มันผูกอาฆาตในอันมิใช่เหตุเลย กำลังจะทำลายวิมานของเราเสีย และตัวเราก็จักพลอยย่อยยับไปด้วย ต้องล้างผลาญไอ้หมีตัวนี้ด้วยอุบายอย่างหนึ่งให้ได้ จำแลงเป็นคนทำงานในป่ามาสู่สำนักของช่างไม้นั้น แล้วถามว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านได้ต้นไม้ที่เหมาะใจแล้ว ท่านจักตัดต้นไม้นี้ไปทำอะไร.
ตอบว่า จักกระทำกงรถ ด้วยต้นไม้นี้ จักเป็นตัวรถก็ได้.
ถามว่า ใครบอกท่าน.
ตอบว่า หมีตัวหนึ่งบอก.
รุกขเทวดาจึงกล่าวว่า ดีละดีแล้วที่หมีนั้นบอก รถจักงามด้วยไม้นี้ แต่เมื่อท่านลอกหนังคอหมีประมาณ ๔ นิ้วแล้วเอาหนังนั้นหุ้มกงรถ ดุจหุ้มด้วยแผ่นเหล็ก กงรถก็จะแข็งแรง และท่านจักได้ทรัพย์มาก.
ถามว่า ข้าพเจ้าจักได้หนังหมีมาจากไหนเล่า
ตอบว่า ท่านเป็นคนโง่ ต้นไม้นี้ตั้งต้นอยู่ในป่า ไม่หนีหายไปดอกนะ ท่านจงไปสู่สำนักไอ้หมีตัวที่มันบอกต้นไม้นั้น หลอกมันว่า นายเอ๋ย ข้าพเจ้าจะตัดต้นไม้ที่ท่านชี้ให้ตรงไหนเล่า พามันมา ขณะที่มันหมดระแวงกำลังยื่นจะงอยปากบอกอยู่ว่า ตัดตรงนี้และตรงนั้น ท่านจงฟันเสียด้วยขวานใหญ่อันคมให้ถึงสิ้นชีวิต ถลกหนังกินเนื้อที่ดีๆ แล้วค่อยตัดต้นไม้
เป็นอันรุกขเทวดาจองเวรสำเร็จ.
พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นตะคร้อได้กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อนภารทวาชะ แม้ถ้อยคำของเรามีอยู่ เชิญท่านฟังถ้อยคำของเราบ้าง.
ท่านจงลอกหนังประมาณ ๔ นิ้ว จากคอแห่งหมีตัวนี้ แล้วจงเอาหนังนั้นหุ้มกงรถ เมื่อทำได้อย่างนั้น กงรถของท่านก็จะพึงเป็นของมั่นคง.
เทวดาผู้สิงอยู่ต้นตะคร้อจองเวรได้สำเร็จ นำความทุกข์มาให้แก่หมีทั้งหลายที่เกิดแล้ว และยังไม่เกิด ด้วยประการฉะนี้.
ช่างไม้ฟังคำของรุกขเทวดา คิดว่า โอ้โอ วันนี้เป็นวันมงคลของเรา ฆ่าหมี ตัดต้นไม้ แล้วหลีกไป.
พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสคาถาว่า
ไม้ตะคร้อฆ่าหมี และหมีก็ฆ่าไม้ตะคร้อ ต่างก็ฆ่ากันและกันด้วยการวิวาทกัน ด้วยประการฉะนี้.
ในหมู่มนุษย์ ความวิวาทเกิดขึ้น ณ ที่ใด มนุษย์ทั้งหลายในที่นั้น ย่อมฟ้อนรำดังนกยูงรำแพน เหมือนหมีและไม้ตะคร้อ ฉะนั้น.
เพราะเหตุนั้น อาตมภาพขอถวายพระพรแก่บพิตรทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่บพิตรทั้งหลายเท่าที่มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ขอบพิตรทั้งหลายจงร่วมบันเทิงใจ อย่าวิวาทกัน อย่าเป็นดังหมีและไม้ตะคร้อเลย.
ขอบพิตรทั้งหลายจงศึกษาความสามัคคี ความสามัคคีนั้นแหละ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสรรเสริญแล้ว บุคคลผู้ยินดีในสามัคคีธรรมตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ.
พระศาสดาทรงถือเอายอดแห่งเทศนาด้วยพระนิพพาน ด้วยประการฉะนี้.
พระราชาทั้งหลายทรงสดับธรรมกถาของพระองค์แล้ว ต่างก็ทรงสมัครสมานกันได้.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ก็แลเทวดาผู้สิงอยู่ในราวป่านั้น ฟังเรื่องราวนั้นในครั้งนั้น คือ เราตถาคต แล.
จบอรรถกถาผันทนชาดกที่ ๒
-----------------------------------------------------