ธัมมเทวปุตตชา
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๓. ธัมมเทวปุตตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๔๕๗)
ว่าด้วยธรรมเทพบุตร
(ธรรมเทพบุตรเชิญอธรรมเทพบุตรมาแล้วกล่าวว่า)
[๒๖] ข้าพเจ้าเป็นผู้สร้างยศ เป็นผู้สร้างบุญ จนเป็นที่ชมเชยของสมณะและพราหมณ์ทั้งหลายทุกเมื่อ อธรรมเทพบุตร ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายธรรม เป็นผู้ที่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาแล้ว จึงเป็นผู้ควรแก่หนทาง ขอท่านจงให้หนทางเถิด
(อธรรมเทพบุตรกล่าวว่า)
[๒๗] ข้าพเจ้าขึ้นยานฝ่ายอธรรมอย่างมั่นคง มิได้หวาดหวั่น เป็นผู้ทรงพลัง เพราะเหตุไร ข้าพเจ้านั้นจะต้องให้หนทาง ที่ไม่เคยให้แก่ท่านในวันนี้เล่า
(ธรรมเทพบุตรกล่าวว่า)
[๒๘] ธรรมแลปรากฏขึ้นก่อน ภายหลังอธรรมจึงเกิดขึ้นในโลก ข้าพเจ้าเป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด และเก่าแก่กว่า เพราะเหตุนั้น จงหลีกทางให้พี่ไปเถิด น้องชาย
(อธรรมเทพบุตรกล่าวว่า)
[๒๙] ข้าพเจ้าก็จะไม่ให้หนทางแก่ท่านเพราะการขอร้อง เพราะการเจรจาได้ถูกต้อง หรือเพราะเป็นผู้ควรแก่หนทาง วันนี้เราทั้ง ๒ จงรบกันเถิด ผู้ใดชนะในการรบ หนทางเป็นของผู้นั้น
(ธรรมเทพบุตรกล่าวว่า)
[๓๐] ข้าพเจ้าเป็นผู้ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วทิศ มีพลังมหาศาล มียศหาประมาณมิได้ ไม่มีผู้เทียมเท่า ประกอบด้วยคุณทั้งปวง เป็นฝ่ายธรรม อธรรมเทพบุตร ท่านจะชนะได้อย่างไร
[๓๑] คนเขาใช้เหล็กเท่านั้นตีทอง หาใช้ทองตีเหล็กไม่ วันนี้ถ้าอธรรมกำจัดธรรมได้ เหล็กก็จะพึงน่าดูเหมือนทองคำ
[๓๒] อธรรมเทพบุตร ถ้าท่านมีกำลังในการรบ ผู้หลักผู้ใหญ่และครูของท่านก็จะไม่มี จะด้วยความพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะยอมให้หนทางแก่ท่าน แม้คำหยาบคายของท่าน ข้าพเจ้าก็ยกโทษให้
(พระผู้มีพระภาคครั้นทรงทราบข้อความนี้จึงได้ตรัสว่า)
[๓๓] ก็อธรรมเทพบุตรครั้นได้สดับคำนี้แล้ว ก็ล้มศีรษะปักลง เท้าชี้ขึ้น รำพึงรำพันอยู่ว่า เราต้องการจะต่อสู้ ยังไม่ทันได้ต่อสู้ อธรรมเทพบุตรได้ถูกกำจัดแล้วด้วยเหตุเพียงเท่านี้
[๓๔] ธรรมเทพบุตรผู้มีขันติเป็นพลังชนะแล้ว ฆ่าอธรรมเทพบุตรผู้มีพลังในการรบได้แล้ว ให้ตกไป ณ ภาคพื้น มีจิตใจปลาบปลื้ม มีพลังกล้าแข็ง มีความบากบั่นอย่างแท้จริง ขึ้นรถขับไปตามทางนั่นแล
[๓๕] ผู้ใดไม่ยกย่องนับถือมารดาบิดา สมณะและพราหมณ์ในเรือนของตน ผู้เช่นนั้นหลังจากตายไป ทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้แล้ว ย่อมตกนรกเหมือนอธรรมเทพบุตรล้มศีรษะปักลงแล้ว
[๓๖] ส่วนผู้ใดยกย่องนับถือมารดาบิดา สมณะและพราหมณ์ในเรือนของตน ผู้เช่นนั้นหลังจากตายไป ทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้แล้ว ย่อมไปสู่สุคติเหมือนธรรมเทพบุตรขึ้นรถขับไป
ธัมมเทวปุตตชาดกที่ ๓ จบ
----------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
ธรรมเทวปุตตชาดก
ว่าด้วย เรื่องธรรมชนะอธรรม
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภถึงการที่แผ่นดินสูบพระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความย่อว่า ในครั้งนั้นพวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตกลับเกรี้ยวกราดกับพระตถาคตเจ้า เลยถูกแผ่นดินสูบเสียแล้ว. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่พระเทวทัตให้การประหารในชินจักรของเรา ถูกแผ่นดินสูบ แม้ในกาลก่อน เธอก็เคยให้ประหารในธรรมจักร ถูกแผ่นดินสูบบ่ายหน้าไปสู่อเวจีมหานรก ดังนี้แล้ว
จึงได้นำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นเทพบุตรนามว่า ธรรม ในกามาวจรเทวโลก ส่วนพระเทวทัตเป็นเทพบุตรชื่อว่า อธรรม.
ในเทวบุตรทั้ง ๒ องค์นั้น ธรรมเทพบุตรประดับด้วยเครื่องอลังการอันเป็นทิพย์ ทรงรถทิพย์อันประเสริฐแวดล้อมไปด้วยหมู่เทวอัปสร เมื่อพวกมนุษย์บริโภคอาหารเย็นแล้ว นั่งสนทนากันอย่างสบาย ที่ประตูเรือนของตนๆ ก็สถิตอยู่ในอากาศ ณ คามนิคม ชนบทและราชธานี ในวันเพ็ญอันเป็นวันอุโบสถ ชวนหมู่ชนให้ถือมั่นซึ่งกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการว่า ท่านทั้งหลายจงงดเว้นจากอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ มีปาณาติบาตเป็นต้น พากันบำเพ็ญธรรม คือการบำรุงมารดาบิดา ทั้งสุจริตธรรม ๓ ประการทั่วกันเถิด เมื่อบำเพ็ญอยู่อย่างนี้ จักมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เสวยยศอันยิ่งใหญ่ ดังนี้ จึงกระทำประทักษิณชมพูทวีป.
ฝ่ายอธรรมเทพบุตร ชักชวนให้ถืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ โดยนัยมีอาทิว่า พวกเธอจงฆ่าสัตว์กันเถิด ดังนี้แล้ว จึงกระทำการเวียนซ้ายชมพูทวีป ลำดับนั้น รถของเทพบุตรเหล่านั้นได้มาพบกันในอากาศ. ต่อมาพวกบริษัทของเทพบุตรเหล่านั้นต่างถามกันว่า พวกท่านเป็นฝ่ายไหน พวกท่านเป็นฝ่ายไหนกัน. ต่างตอบกันว่า พวกเราเป็นฝ่ายธรรมเทพบุตร พวกเราเป็นฝ่ายอธรรมเทพบุตร จึงต่างพากันแยกทางหลีกเป็น ๒ ฝ่าย.
ฝ่ายธรรมเทพบุตร เรียกอธรรมเทพบุตรมากล่าวว่า สหายเอ๋ย เธอเป็นฝ่ายอธรรม ฉันเป็นฝ่ายธรรม หนทางสมควรแก่ฉัน เธอจงขับรถของเธอหลีกไป จงให้ทางแก่ฉันเถิด
แล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า
ดูก่อนอธรรมเทพบุตร ฉันเป็นผู้สร้างยศ เป็นผู้สร้างบุญ สมณะและพราหมณ์พากันสรรเสริญทุกเมื่อ อธรรมเอ๋ย ฉันชื่อว่าเป็นฝ่ายธรรม เป็นผู้สมควรแก่หนทาง เป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์พากันบูชา ท่านจงให้หนทางแก่ฉันเถิด.
ลำดับนั้น อธรรมเทพบุตรกล่าวว่า
ดูก่อนธรรมเทพบุตร เราผู้ชื่อว่าอธรรม ขึ้นสู่ยานแห่งอธรรม อันมั่นคงไม่เคยกลัวใคร มีกำลังเข้มแข็ง ธรรมเอ๋ย เราจะพึงให้ทางที่ไม่เคยให้ใครแก่ท่านในวันนี้ เพราะเหตุอะไรเล่า.
ธรรมแลปรากฏก่อน ภายหลังอธรรมจึงเกิดขึ้นในโลก เราเป็นผู้เจริญกว่า ประเสริฐกว่า ทั้งเก่ากว่า ขอจงให้ทางแก่เราเถิด น้องเอ๋ย.
เราจะไม่ให้หนทางแก่ท่าน เพราะการขอร้อง หรือเพราะความเป็นผู้สมควร ในวันนี้เราทั้งสองจงมารบกัน แล้วหนทางจะเป็นของผู้ชนะในการรบ.
เราผู้ชื่อว่า ธรรม เป็นผู้ลือชาปรากฏไปทั่วทุกทิศ มีกำลังมาก มียศประมาณไม่ได้ ไม่มีผู้เสมอเหมือนประกอบด้วยคุณทั้งปวง อธรรมเอ๋ย ท่านจะชนะได้อย่างไร.
เขาเอาค้อนเหล็กตีทองอย่างเดียว หาได้เอาทองมาตีเหล็กไม่ ถ้าหากว่า เราผู้ชื่อว่าอธรรม ฆ่าท่านผู้ชื่อว่าธรรม ในวันนี้ได้ เหล็กจะน่าดูน่าชมเหมือนทองคำฉะนั้น.
ดูก่อนอธรรมเทพบุตร ถ้าหากว่าท่านเป็นผู้มีกำลังในการรบไซร้ ผู้หลักผู้ใหญ่และครูของท่านมิได้มี เราจะยอมให้หนทางอันเป็นที่รักด้วยอาการอันไม่เป็นที่รักของท่าน ทั้งจะขออดทนถ้อยคำชั่วๆ ของท่าน.
ก็แล ในขณะที่พระโพธิสัตว์ กล่าวคาถานี้จบลงนั่นเอง อธรรมก็ไม่อาจจะดำรงอยู่บนรถได้ หกคะเมนตกลง ณ เบื้องปฐพี ครั้นปฐพีเปิดช่องให้ก็ไปบังเกิดในอเวจีมหานรกนั่นแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
ได้ตรัสคาถาที่เหลือ ดังนี้ว่า
อธรรมเทพบุตรได้ฟังคำนี้แล้วก็เป็นผู้มีศีรษะลงเบื้องต่ำมีเท้าขึ้นเบื้องสูงตกลงจากรถ รำพันเพ้อว่า เราปรารถนาจะรบก็ไม่ได้รบ อธรรมเทพบุตรถูกตัดรอนเสียแล้ว ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
ธรรมเทพบุตร ผู้มีขันติเป็นกำลัง มีจิตเที่ยงตรง มีกำลังมาก มีความบากบั่นอย่างแท้จริง ชำนะกำลังรบได้ฆ่าอธรรมเทพบุตร ฝังเสียในแผ่นดินแล้ว ขึ้นสู่รถของตน ไปโดยหนทางนั่นแล.
มารดาบิดาและสมณพราหมณ์ไม่ได้รับความนับถือในเรือนของชนเหล่าใด ชนเหล่านั้น ครั้นทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้ ตายไปแล้ว ย่อมต้องพากันไปสู่นรก เหมือนอธรรมเทพบุตรมีศีรษะลงในเบื้องต่ำตกไปแล้ว ฉะนั้น.
มารดาบิดาและสมณพราหมณ์ ได้รับความนับถือเป็นอย่างดี ในเรือนของชนเหล่าใด ชนเหล่านั้น ครั้นทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลกนี้ ตายไปแล้ว ย่อมพากันไปสู่สุคติ เหมือนธรรมเทพบุตรขึ้นสู่รถของตนไปสู่เทวโลก ฉะนั้น.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้อย่างเดียวเท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็กราดเกรี้ยวโต้กับเรา ถูกแผ่นดินสูบไปแล้ว
จึงทรงประชุมชาดกว่า
อธรรมเทพบุตรในกาลนั้น ได้เป็น พระเทวทัต
แม้บริษัทของอธรรมเทพบุตรนั้นก็ได้เป็น บริษัทของพระเทวทัต
ส่วนธรรมเทพบุตร ก็คือ เราตถาคต นั่นเอง
ส่วนบริษัทได้มาเป็น พุทธบริษัท นี้นั่นแล.
จบอรรถกถาธรรมเทวปุตตชาดกที่ ๓
-----------------------------------------------------