ชุณหชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๒. ชุณหชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๔๕๖)
ว่าด้วยพระเจ้าชุณหะ
(พราหมณ์เมื่อจะสนทนาจึงกล่าวกราบทูลว่า)
[๑๓] ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นจอมชน ขอพระองค์ทรงสดับวาจาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์มาถึงที่นี้เพราะความประสงค์อย่างหนึ่งในพระเจ้าชุณหะ ขอเดชะพระองค์ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายไม่พูดกับพราหมณ์ ผู้เดินทางมายืนคอยขออยู่ว่า พึงไปข้างหน้าเถิด
(พระราชาทรงสดับคำของพราหมณ์จึงตรัสว่า)
[๑๔] พราหมณ์ เราฟังอยู่ เราคอยอยู่ เชิญพูดเถิด ท่านมาถึงที่นี้เพราะประสงค์อะไร หรือท่านประสงค์ประโยชน์อะไรในเราจึงมาถึงที่นี้ เชิญพูดมาเถิดพราหมณ์
(พราหมณ์และพระราชากล่าวโต้ตอบกันว่า)
[๑๕] ขอพระองค์ทรงพระราชทานบ้านส่วย ๕ ตำบล สาวใช้ ๑๐๐ คน โค ๗๐๐ ตัว ทองคำเกิน ๑,๐๐๐ แท่ง ภรรยา ๒ คนที่มีชาติสกุลเหมาะสมแก่ข้าพระองค์
[๑๖] พราหมณ์ ตบะอันน่าสะพรึงกลัวของท่านมีอยู่หรือ มนต์อันวิจิตรของท่านมีอยู่หรือ ยักษ์บางพวกที่เชื่อฟังท่านมีอยู่หรือ อีกอย่างหนึ่ง ประโยชน์ที่เราได้ทำไว้แล้วท่านรู้ชัดหรือ
[๑๗] ตบะของข้าพระองค์ก็ไม่มี แม้มนต์ก็ไม่มี แม้พวกยักษ์บางเหล่าที่เชื่อฟังข้าพระองค์ก็ไม่มี ถึงประโยชน์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้แล้วข้าพระองค์ก็ไม่ทราบชัด เพียงแต่ข้าพระองค์ได้พบกับฝ่าพระบาทมาก่อนเท่านั้น
[๑๘] เรารู้ว่า ครั้งนี้เป็นการพบครั้งแรก ก่อนหน้านี้เราไม่รู้จักท่าน เราถามแล้ว ท่านจงบอกความข้อนี้แก่เราว่า เราได้พบกันเมื่อไรหรือที่ไหน
[๑๙] ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ เราทั้งหลายได้พักอยู่ที่ตักกศิลา ในเมืองของพระเจ้าคันธารราชอันน่ารื่นรมย์ ณ สถานที่นั้น ในเวลากลางคืนที่มืดมิดเราได้กระทบไหล่กัน
[๒๐] ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นจอมชน เราทั้ง ๒ นั้นยืนอยู่ตรงนั้น ได้สนทนาชวนให้ระลึกถึงกัน ณ ที่นั้น อันนั้นเป็นการพบกันของเราเท่านั้นเอง ต่อจากนั้น ไม่ว่าภายหลังหรือเมื่อก่อน ไม่มีการเจอะเจอกันเลย
[๒๑] พราหมณ์ การสมาคมกับคนดี ย่อมมีในมนุษย์ทั้งหลายเป็นบางครั้ง ในกาลบางคราวบัณฑิตทั้งหลายไม่ทำการสมาคมหรือสันถวไมตรี หรือแม้คุณความดีที่เขาทำไว้ในกาลก่อนให้เสื่อมสูญไป
[๒๒] ส่วนคนพาลทั้งหลายย่อมทำการสมาคมหรือสันถวไมตรี หรือคุณความดีที่ทำไว้ในกาลก่อนให้เสื่อมสูญไปบ้าง คุณเป็นอันมากที่ทำไว้ในคนพาลทั้งหลายก็เสื่อมสูญไปเองบ้าง เป็นความจริง คนพาลทั้งหลายเป็นคนอกตัญญู
[๒๓] ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลายไม่ทำการสมาคมหรือสันถวไมตรี หรือแม้คุณความดีที่ทำไว้ในกาลก่อนให้เสื่อมสูญไป คุณความดีที่ทำไว้ในนักปราชญ์ทั้งหลายแม้เล็กน้อย ก็ไม่เสื่อมสลายไป เป็นความจริง นักปราชญ์ทั้งหลายเป็นคนมีความกตัญญูด้วยดี
[๒๔] เราจะให้บ้านส่วยแก่ท่าน ๕ หมู่บ้าน สาวใช้ ๑๐๐ คน โค ๗๐๐ ตัว ทองคำเกิน ๑,๐๐๐ แท่ง ภรรยา ๒ คนที่มีชาติสกุลเหมาะสมแก่ท่าน
[๒๕] ขอเดชะพระมหาราช การสมาคมของสัตบุรุษเป็นอย่างนี้ ขอเดชะ พระองค์ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกาสี ข้าพระองค์เป็นเสมือนดวงจันทร์ที่รายล้อมด้วยหมู่ดาว เพราะข้าพระองค์ได้สมาคมกับพระองค์ในวันนี้
ชุณหชาดกที่ ๒ จบ
-------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
ชุณหชาดก
ว่าด้วย การคบบัณฑิตและคบคนพาล
พระศาสดา เมื่อทรงประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภพรที่พระอานนทเถระได้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ มี ดังนี้.
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร ในปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้มีอุปัฏฐากประจำ ตลอด ๒๐ ปี บางคราวพระนาคสมาลเถระก็อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า
บางคราวพระนาคิตะ บางคราวพระอุปวาณะ บางคราวพระสุนักขัตตะ บางคราวพระจุนทะ บางคราวพระสาคตะ บางคราวพระเมฆิยะ.
ภายหลังวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเป็นผู้แก่แล้ว ภิกษุบางพวก เมื่อเรากล่าวว่าจะไปทางนี้แล้วพากันไปเสียทางอื่น บางพวกทิ้งบาตรและจีวรของเราไว้ที่พื้นดิน พวกเธอจงรู้ภิกษุรูปหนึ่งผู้จะเป็นอุปัฏฐากประจำตัวเรา
ทรงห้ามพระสารีบุตรเถระเป็นต้น ที่พากันลุกขึ้นกระทำอัญชลีด้วยเศียรเกล้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอุปัฏฐาก ข้าพระองค์จักอุปัฏฐาก ดังนี้
ด้วยพระดำรัสว่า ความปรารถนาของพวกเธอ ถึงที่สุดแล้วพอละ.
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงกล่าวกะท่านพระอานนทเถระว่า
อาวุโส ท่านจงวิงวอนการอุปัฏฐากเถิด.
พระเถระขอพร ๘ ประการ คือ ปฏิเสธ ๔ และข้อวิงวอน ๔ เหล่านี้คือ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักไม่ประทานจีวร ที่พระองค์ได้แล้วแก่ข้าพระองค์
จักไม่ให้บิณฑบาต
จักไม่ให้อยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกัน
จักไม่พาข้าพระองค์ไปยังที่ที่นิมนต์
ก็ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักไปยังที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้
ถ้าข้าพระองค์จักได้เพื่อให้บริษัทที่มาจากนอกแว่นแคว้น นอกชนบท เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอให้ได้เข้าเฝ้าในขณะที่มาแล้วทีเดียว
ขอให้ข้าพระองค์จักได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ในขณะที่ข้าพระองค์เกิดความสงสัย
ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอันใด ในที่ลับหลังข้าพระองค์กลับมาแล้ว ขอได้แสดงธรรมนั้นแก่ข้าพระองค์อีก
ด้วยอาการอย่างนี้ ข้าพระองค์จึงจักอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น.
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ประทานแก่เธอแล้ว.
ตั้งแต่นั้นมา พระอานนทเถระก็ได้เป็นอุปัฏฐากประจำเป็นเวลา ๒๕ ปี. พระเถระได้รับสถาปนาในเอตทัคคะในฐานะ ๕ ประกอบด้วยสัมปทา ๗ เหล่านี้ คือ อาคมสัมปทา อธิคมสัมปทา ปุพพเหตุสัมปทา อัตถัตถปริปุจฉาสัมปทา ติฏฐวาสสัมปทา โยนิโสมนสิการสัมปทา และพุทธุปนิสสยสัมปทา ได้รับมรดก คือพร ๘ ประการ ในสำนักของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ปรากฏชัดในพระพุทธศาสนา ได้ปรากฏเหมือนพระจันทร์ลอยเด่นในท้องฟ้า.
ภายหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโส พระตถาคตได้ให้พระอานนทเถระอิ่มหนำด้วยการประทานพร.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ. เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ
จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้อย่างเดียวเท่านั้น แม้ในกาลก่อน เราก็ให้พระอานนท์อิ่มหนำด้วยพรแล้ว ในกาลก่อนนั่นเอง เราก็ได้ให้สิ่งที่เธอขอร้องเหมือนกัน ดังนี้แล้ว
จึงนำอดีตนิทานมาตรัสว่า
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชโอรสของท้าวเธอ ทรงพระนามว่าชุณหกุมาร ทรงศึกษาศิลปะในกรุงตักกสิลา ให้การประกอบเนืองๆ แก่อาจารย์ ในเวลามืดค่ำตอนกลางคืน ออกจากเรือนของอาจารย์ รีบไปที่อยู่ของตน เมื่อไม่เห็นพราหมณ์คนใดคนหนึ่งผู้เที่ยวภิกษาจารไปยังที่อยู่ของตน จึงตีตุ่มภัตรของพราหมณ์นั้นแตกไป. พราหมณ์ล้มลงร้องไห้.
กุมารกลับได้ความกรุณา จึงจับมือพราหมณ์นั้นให้ลุกขึ้น. พราหมณ์กล่าวว่า เธอมาทำลายภาชนะภิกษาของเราทำไม จงให้ค่าภัตตาหารแก่เรา.
กุมารกล่าวว่า พราหมณ์ บัดนี้ เราไม่อาจจะให้ค่าภัตตาหารนั้นแก่ท่านได้ ก็เราแลเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี มีนามว่าชุณหกุมาร เมื่อเราดำรงอยู่ในรัชสมบัติ ท่านพึงมาขอทรัพย์เรา. ได้จบการศึกษาแล้ว ไหว้อาจารย์แล้วไปยังกรุงพาราณสี แสดงศิลปะแก่พระบิดา.
พระบิดาทรงคิดว่า เราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้เห็นบุตรแล้ว เราจักเห็นบุตรนั้นได้เป็นพระราชา ดังนี้ แล้วจึงอภิเษกไว้ในรัชสมบัติ. พระองค์เป็นพระราชามีพระนามว่าชุณหะ ครองราชสมบัติโดยธรรม, พราหมณ์ทราบเรื่องนั้นแล้ว จึงคิดว่า บัดนี้เราจักให้พระราชานำค่าภัตตาหารมาแก่เรา จึงไปยังกรุงพาราณสี มองเห็นพระราชากำลังทำประทักษิณพระนครที่ตบแต่งไว้นั่นแล จึงยืนอยู่ในที่สูงแห่งหนึ่งแล้ว เหยียดมือออกไปให้ชัยชนะ. พระราชาเสด็จเลยไปโดยไม่เหลียวดูเลย.
พราหมณ์รู้ว่าท้าวเธอมิได้เห็น เมื่อจะยกเรื่องขึ้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน ขอพระองค์จงทรงสดับคำของข้าพระองค์ ข้าพระองค์มาถึงในที่นี้ด้วยประโยชน์ในพระเจ้าชุณหะ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้าทั้งหลาย เมื่อพราหมณ์เดินทางไกลยืนอยู่ บัณฑิตทั้งหลายไม่ควรพูดว่า พระราชาควรเสด็จเลยไป.
พระราชาทรงสดับคำของเธอแล้วจึงเอาขอเพชรข่มช้าง ได้ตรัสคาถาที่ ๒ ว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้ากำลังรอฟังอยู่ ท่านมาถึงในที่นี้ด้วยประโยชน์อันใด จงบอกประโยชน์อันนั้น หรือว่าท่านปรารถนาประโยชน์อะไรในข้าพเจ้าจึงมาในที่นี้ เชิญท่านพราหมณ์บอกมาเถิด.
ต่อแต่นั้น จึงได้กล่าวคาถาที่เหลือด้วยอำนาจคำโต้ตอบ ของพราหมณ์กับพระราชาว่า
ขอพระองค์โปรดพระราชทานบ้านส่วย ๕ ตำบลแก่ข้าพระองค์ ทาสี ๑๐๐ คน โค ๗๐๐ ตัว ทองเนื้อดี ๑,๐๐๐ แท่ง ขอได้ทรงโปรดประทานภรรยาผู้พริ้มเพราแก่ข้าพระองค์ ๒ คน.
ดูก่อนพราหมณ์ ตบะอันมีกำลังกล้าของท่านมีอยู่หรือ หรือว่ามนต์ขลังของท่านมีอยู่ หรือว่ายักษ์บางพวกผู้เชื่อฟังถ้อยคำของท่านมีอยู่ หรือว่าท่านยังจำได้ถึงประโยชน์ที่ท่านทำแล้วแก่เรา.
ตบะของข้าพระองค์มิได้มี แม้มนต์ของข้าพระองค์มิได้มี ยักษ์บางพวกผู้เชื่อฟังถ้อยคำของข้าพระองค์ก็ไม่มี อนึ่ง ข้าพระองค์ก็จำไม่ได้ถึงประโยชน์ที่ข้าพระองค์ทำแล้วแก่พระองค์ ก็แต่ว่าเมื่อก่อนได้มีการพบปะกันเท่านั้นเอง.
ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่า การเห็นนี้เป็นการเห็นครั้งแรก นอกจากนี้ ข้าพเจ้าจำไม่ได้ถึงการพบกันในครั้งใดเลย ข้าพเจ้าถามถึงเรื่องนั้น ขอท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้าว่า เราได้เคยพบกันเมื่อไรหรือที่ไหน.
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์และข้าพระองค์ได้อยู่กันมาแล้วในเมืองตักกสิลา อันเป็นเมืองที่รื่นรมย์ของพระเจ้าคันธารราช พระองค์กับข้าพระองค์ได้กระทบไหล่กัน ในความมืด มีหมอกทึบในนครนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์และข้าพระองค์ยืนกันอยู่ในที่ตรงนั้น เจรจาปราศรัยด้วยคำอันให้ระลึกถึงกัน ที่ตรงนั้นแลเป็นการพบกันแห่งพระองค์และข้าพระองค์ ภายหลังจากนั้นมิได้มี ก่อนแต่นั้นก็ไม่มี.
ดูก่อนพราหมณ์ การสมาคมกับสัปบุรุษย่อมมีในหมู่มนุษย์บางครั้งบางคราว บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ทำการพบปะกัน ความสนิทสนม หรือคุณที่กระทำไว้แล้วในกาลก่อนให้เสื่อมสูญไป.
ส่วนคนพาลทั้งหลายย่อมทำการพบปะกัน ความสนิทสนม หรือคุณที่เขาทำไว้ในกาลก่อน ให้เสื่อมสูญไป คุณที่ทำไว้ในคนพาลทั้งหลาย ถึงจะมากมายก็ย่อมเสื่อมไปหมด เพราะว่าคนพาลทั้งหลาย เป็นคนอกตัญญู.
ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลายย่อมไม่ทำการพบปะกัน ความสนิทสนม หรือคุณที่เขาทำไว้ในกาลก่อนให้เสื่อมสูญไป คุณที่ทำไว้ในนักปราชญ์ทั้งหลาย ถึงจะน้อยก็ย่อมไม่เสื่อมหายไป เพราะว่านักปราชญ์ทั้งหลายเป็นผู้มีความกตัญญูดี ข้าพเจ้าจะให้บ้านส่วย ๕ ตำบลแก่ท่าน ทาสี ๑๐๐ คน โค ๗๐๐ ตัว ทองเนื้อดี ๑,๐๐๐ แท่ง และภรรยาผู้พริ้มเพรา ๒ คนมีชาติและตระกูลเสมอกัน แก่ท่าน.
ข้าแต่พระราชา การสมาคมกับสัตบุรุษย่อมเป็นอย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ไนกาลิกรัฐ ข้าพระองค์บริบูรณ์ไปด้วยสมบัติ มีบ้านส่วยเป็นต้น เหมือนพระจันทร์ตั้งอยู่ท่ามกลางแห่งหมู่ดาวทั้งหลาย ฉะนั้น การสังคมกับพระองค์นั่นแล เป็นอันว่าข้าพระองค์ได้แล้วในวันนี้เอง.
พระโพธิสัตว์ได้ประทานยศใหญ่แก่พราหมณ์นั้น.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน เราก็เคยให้พระอานนท์อิ่มเอิบด้วยพรเหมือนกัน ดังนี้แล้ว.
จึงประชุมชาดกว่า
พราหมณ์ในกาลนั้น ได้เป็น พระอานนท์
ส่วนพระราชาได้มาเป็น เราตถาคต แล.
จบอรรถกถาชุณหชาดกชาดกที่ ๒
-----------------------------------------------------