IHPP จัดการประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ศ. 2567 “การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P): กุญแจสู่ความสำเร็จของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” 11- 12 ธันวาคม 2567 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพ ผมโชคดี ได้รับเชิญเข้าร่วมเรียนรู้ด้วย
อ่านจากเอกสารกำหนดการประชุม ผมรู้สึกว่า ยังไม่เน้นความสำคัญเรื่องสุขภาพจิตอย่างเพียงพอ และผมมีความเชื่อว่า เรื่องสุขภาพจิตต้องวางรากฐานตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก วางรากฐาน EF และต่อมาเข้าโรงเรียนก็วางรากฐานด้วย VbE - ค่านิยมศึกษา
หนังสือ เมื่อกระแสธารมาบรรจบ ระบบประกันสุขภาพถ้านหน้าจึงบังเกิด เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ระบบสุขภาพไทยระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๕๔๕ รวม ๑๓๕ ปี บอกว่า แนวคิดสร้างโรงพยาบาลหรือสถานบริการสุขภาพกระจายทั่วประเทศเริ่มราวๆ ปี ๒๔๗๘ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง และดำเนินการต่อเนื่องเรื่อยมา สะท้อนความคิดดูแลสุขภาพของประชาชนโดยภาครัฐอย่างเป็นระบบ
ขบวนการนี้ได้รับการช่วยเหลือจากสถานการณ์ต่อสู้แย่งชิงประชาชนกับคอมมูนิสต์ ทำให้ได้รับงบประมาณก่อสร้างโรงพยาบาลในพื้นที่ห่างไกล และต่อมาระหว่างปี ๒๕๒๕ - ๒๕๓๒ นโยบายให้งบประมาณแก่ระบบสุขภาพระดับอำเภอลงไป ช่วยให้ระบบสุขภาพกระจายตัวดีขึ้นมาก
ผมเข้าใจว่า ขบวนการสาธารณสุขมูลฐาน (Primary Health Care) และสุขภาพถ้วนหน้า (Health for All) ที่องค์การอนามัยโลกริเริ่มในปี ๒๕๒๑ น่าจะมีส่วนเป็นพลังผลักดัน การพัฒนาโครงสร้างของระบบบริการสุขภาพ ซึ่งดำเนินการเรื่อยมาจนยุคปัจจุบัน เป็นระบบบริการที่กระจายไปครอบคลุมทุกพื้นที่ มีการยกระดับ หรือปฏิรูป การจัดการเป็นระยะๆ ดังการกระจายอำนาจ ให้ รพสต. ไปสังกัดองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ในยุคปัจุบัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีอุปสรรค ความท้าทาย หรือแรงต้านเสมอ แต่เราก็ก้าวข้ามมาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
พร้อมๆ และคู่ขนานมากับการพัฒนาโครงสร้างทางกายภาพ ระบบสุขภาพไทยมีการพัฒนากำลังคนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านคุณภาพ ด้านจำนวน และด้านการกระจาย ด้านการกระจายเกิดระบบบังคับให้แพทย์จบใหม่ต้องออกไปใช้ทุนในชนบท ๓ ปี เริ่มจากรุ่นที่เรียนจบปี ๒๕๑๔ และต่อมาวิชาชีพสุขภาพอื่นๆ ก็มีระบบใช้ทุนด้วย
เรื่องที่ยากที่สุดด้านกำลังคนคือเรื่องการกระจาย มีการดำเนินการแก้ปัญหาโดยมีโครงการรับนักศึกษาที่เป็นคนท้องถิ่นเข้าเรียน เพื่อกลับไปทำงานในภูมิลำเนา ได้ผลบ้าง แต่ความนิยมเป็นแพทย์เฉพาะทาง ชักจูงให้หลังฝึกแพทย์เฉพาะทางจบก็ย้ายเข้าเมืองใหญ่
กำลังคนด้านสุขภาพสำคัญที่กำเนิดในปี ๒๕๒๐ และก่อผลดีต่อการคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าเป็นอย่างยิ่ง และประจักษ์ชัดตอนสู้โควิด ๑๙ คือ อสม.
พลังสำคัญอย่างหนึ่งของกำลังคนด้านสุขภาพ ที่ช่วยผลักดันให้ออกไปทำงานในชนบทคือ อุดมการณ์ เน้นอุดมการณ์เพื่อปวงชน เป็นเรื่องเบ่งบานมากช่วง พ.ศ. ๒๕๑๖ - ๒๕๑๙ น่าเสียดายที่ค่อยๆ จางลงหลังปี ๒๕๑๙ แต่จำนวนแพทย์และวิชาชีพอื่น ที่ผลิตได้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ช่วยการกระจายได้ดีพอสมควร รวมทั้งการทำงานรวมพลังสังคมสมานุภาพ ร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นพลังสำคัญตลอดมา
หลักการสำคัญของการพัฒนาระบบสุขภาพคือ ต้องพัฒนาสังคมไปพร้อมๆ กัน ผู้นำด้านความคิดนี้คือ ศ. นพ. ประเวศ วะสี ผมตีความว่า ต้องใช้การพัฒนาระบบสุขภาพ กับการพัฒนาสังคมภาพรวม ให้เกิดการเสริมพลังกัน
วิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข และสังคมศาสตร์การแพทย์ มีส่วนช่วยหนุนการพัฒนาระบบสุขภาพของไทยเป็นอย่างมาก ช่วยการมองเชิงระบบ ยิ่งต่อมา มีการก่อตั้ง สวรส. (สถาบันวิขัยระบบสาธารณสุข) ยิ่งช่วยให้วิชาการเชิงระบบ หนุนการพัฒนาระบบสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น นำสู่การก่อตั้งองค์กรตระกูล ส ที่เป็นโครงสร้างเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
ระบบประกันสังคมเกิดในปี ๒๕๓๓ โดยใช้การเงินแบบเหมาจ่ายรายหัว เป็นต้นแบบของการคิดระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าในโอกาสต่อมาในปี ๒๕๔๔
ระบบบัญชียาหลักแห่งชาติ ที่เริ่มปี ๒๕๒๔ เป็นอีกระบบหนึ่งที่ช่วยให้ระบบคุ้มครองสุขภาพถ้วนหน้าดำเนินการได้โดยไม่เป็นภาระด้านการเงินมากเกินไป ช่วยสร้างสังคมที่ใช้ยา (และเทคโนโลยีทางการแพทย์) ตามความจำเป็น
วิกฤติเป็นโอกาสเสมอ วิกฤติเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ นำสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี ๒๕๔๐ และการจับทุจริตยาปี ๒๕๔๑ ที่ช่วยให้องค์กรตะกูล ส ที่มีการก่อตั้งในภายหลังมีกรรมการจากภาคประชาสังคมเข้าอยู่ในโครงสร้างของคณะกรรมการนโยบายหรืออำนวยการ ช่วยสร้างความเป็นสังคมสมานุภาพที่เข้มแข็งจากปัจจัยเชิงระบบ
ผมขอเชิญชวนให้อ่านเอกสาร เมื่อกระแสธารมาบรรจบ ระบบประกันสุขภาพถ้านหน้าจึงบังเกิด เล่มนี้ อย่างน้อยก็ในบทสุดท้าย หน้า ๑๑๕ - ๑๒๑ เพื่อให้ได้แนวคิดว่า ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้ายังจะต้องมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้ง และการประชุมในวันที่ ๑๑ - ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๗ เป็นกลไกหนึ่งเพื่อการนี้
วิจารณ์ พานิช
๑๓ ธ.ค. ๖๗