สมัยนี้สังคมต้องการคนขี้สงสัย ที่เรียกว่ามี inquisitive mind (จิตใจใคร่รู้) สมัยผมเป็นเด็กผู้ใหญ่ไม่ชอบ รำคาญเด็กที่ช่างซัก และบางครั้งไม่พอใจ ว่าไม่เคารพเชื่อฟัง เพราะบางครั้งก็ซักแบบเถียงไปในตัว ครูก็ไม่ชอบ ชอบเด็กที่เชื่อฟังครู ครูบอกอะไรก็เชื่อหมดและจำไว้ เอาไว้ตอบข้อสอบ
จึงเกิดคำถาม ว่านโยบายของประเทศไทย ต้องการส่งเสริมให้คนไทยเป็นขี้สงสัย ไม่เชื่อง่ายหรือไม่ ผมตอบตัวเองว่า มองจากพฤติกรรมของนักการเมืองที่ครองอำนาจอยู่ น่าจะไม่ เขาน่าจะต้องการพลเมืองที่เชื่อการโฆษณาชวนเชื่อของเขามากกว่า แต่หากไปถามเขาตรงๆ เขาน่าจะตอบว่าใช่
ดังนั้น การศึกษาไทยต้องมีนโยบายและมาตรการพัฒนาครูและพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมทั้งชุมชน ให้มีทักษะหนุนนำให้เด็กพัฒนาความช่างสงสัยช่างซักถาม รวมทั้งช่วยกันสร้างระบบนิเวศที่หนุนให้ด็กพัฒนาคุณลักษณะดังกล่าว โดยผมเชื่อว่า คุณสมบัตินี้มีอยู่แล้วในความเป็นมนุษย์ แต่วัฒนธรรมของเราไปปิดกั้นโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้ตัว
ผมจึงถาม Generative AI หลายสำนักด้วยคำถาม กรุณาให้คำแนะนำว่า สังคมไทย การศึกษาไทย ควรดำเนินการอย่างไรบ้างเพื่อสร้าง inquisitive mind ขึ้นในเด็กไทย เพื่อให้พลเมืองไทยเป็นคนช่างสงสัย มีความริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นนักค้นคว้า
ได้รับคำตอบจาก Gemini ดังนี้
สร้าง "จิตวิญญาณแห่งการตั้งคำถาม" ในเด็กไทย: ก้าวสำคัญสู่สังคมแห่งการเรียนรู้
การปลูกฝังให้เด็กไทยมีความอยากรู้อยากเห็น หรือ inquisitive mind เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นรากฐานของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น สังคมไทยและระบบการศึกษาไทยจึงควรมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาในหลายด้าน ดังนี้
1. ปรับเปลี่ยนทัศนคติและบทบาทของครู
-
จากผู้ถ่ายทอดความรู้ สู่ผู้กระตุ้นการคิด: ครูควรเป็นผู้ที่คอยถามคำถาม กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ และค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ที่ถ่ายทอดความรู้
-
สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง: สร้างห้องเรียนที่ปลอดภัยสำหรับเด็กที่จะกล้าถาม กล้าแสดงความคิดเห็น และไม่กลัวที่จะผิดพลาด
-
พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง: ครูควรหมั่นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อนำมาปรับใช้ในการสอน และพัฒนาทักษะในการถามคำถามที่กระตุ้นการคิด
2. ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา
-
เน้นกระบวนการมากกว่าเนื้อหา: หลักสูตรควรเน้นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การสื่อสาร และการทำงานร่วมกัน มากกว่าการท่องจำเนื้อหา
-
บูรณาการศาสตร์ต่างๆ: เชื่อมโยงความรู้ในแต่ละวิชากับชีวิตจริง เพื่อให้เด็กเห็นประโยชน์ของการเรียนรู้
-
ส่งเสริมการเรียนรู้แบบ Active Learning: จัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง เช่น การทดลอง การอภิปราย และการนำเสนอผลงาน
3. สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
-
จัดหาสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย: สื่อการเรียนรู้ควรมีความทันสมัย น่าสนใจ และกระตุ้นให้เด็กอยากเรียนรู้
-
ส่งเสริมการอ่าน: สร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมให้เด็กชอบอ่านหนังสือ และมีห้องสมุดที่จัดการได้ดี
-
สนับสนุนกิจกรรมนอกห้องเรียน: จัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) เพื่อกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
4. ส่งเสริมบทบาทของผู้ปกครอง
-
เป็นแบบอย่างที่ดี: ผู้ปกครองควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการอ่านหนังสือ การตั้งคำถาม และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
-
สนับสนุนการเรียนรู้ของลูก: สร้างบรรยากาศในบ้านที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และให้กำลังใจลูกเสมอ
-
ทำงานร่วมกับโรงเรียน: ร่วมมือกับโรงเรียนในการส่งเสริมการเรียนรู้ของลูก
5. สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้
-
ส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้: สร้างสังคมที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต และให้เกียรติผู้ที่ใฝ่หาความรู้
-
สนับสนุนการวิจัย: สร้างเครือข่ายนักวิจัย และสนับสนุนการวิจัยในทุกระดับ
-
เผยแพร่ความรู้: สร้างสื่อที่น่าสนใจเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นตั้งแต่เด็กเล็ก การปลูกฝังให้เด็กตั้งคำถามตั้งแต่ยังเล็ก จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างกิจกรรมที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ในเด็ก:
-
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ง่ายๆ: เช่น การปลูกต้นไม้ การสังเกตแมลง การผสมสี
-
เกมกระดานที่ต้องใช้ตรรกะ: เช่น เกมหมากรุก เกมต่อภาพ
-
การอ่านหนังสือและการอภิปราย: เลือกหนังสือที่น่าสนใจและกระตุ้นให้เด็กอยากรู้
-
การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ วิทยาศาสตร์ หรือสวนสัตว์: เพื่อเปิดโลกทัศน์และกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
การสร้าง "จิตวิญญาณแห่งการตั้งคำถาม" ในเด็กไทย เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นครู ผู้ปกครอง สังคม และรัฐบาล หากเราทุกคนร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมแห่งการเรียนรู้ เราก็จะสามารถพัฒนาเด็กไทยให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปได้
ส่วน perplexity ให้คำตอบดังนี้
เพื่อสร้าง inquisitive mind หรือจิตใจใคร่รู้ในเด็กไทยและส่งเสริมให้พลเมืองไทยเป็นคนช่างสงสัย มีความริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นนักค้นคว้า สังคมไทยและระบบการศึกษาควรดำเนินการตามแนวทางต่อไปนี้:
แนวทางในการสร้าง inquisitive mind
1. เปลี่ยนแปลงวิธีการสอน
-
การเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง: สอนให้เด็กมีส่วนร่วมในการตั้งคำถามและค้นหาคำตอบด้วยตนเอง แทนที่จะเป็นการบรรยายจากครูเพียงอย่างเดียว
-
การใช้กิจกรรมที่กระตุ้นความสนใจ: ใช้โครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เช่น การทำโครงการวิจัยเล็กๆ หรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์
2. ส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์
-
ฝึกฝนการตั้งคำถาม: สอนเด็กให้สามารถตั้งคำถามที่มีความหมายและสำคัญ เช่น การตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรู้ในห้องเรียน และการอภิปรายร่วมกันกับเพื่อน
-
การสะท้อนความคิด: ให้โอกาสเด็กได้สะท้อนความคิดและความคิดเห็นของตนเองผ่านการพูดคุยหรือเขียนบันทึก เพื่อพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์และวิจารณ์
3. สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต
-
เปิดโอกาสในการเรียนรู้จากแหล่งต่างๆ: ส่งเสริมให้เด็กค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น หนังสือ อินเทอร์เน็ต หรือกิจกรรมในชุมชน เพื่อขยายขอบเขตความรู้
-
สร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้: สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เด็กมีความสนใจในการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
4. สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์
-
ส่งเสริมกิจกรรมศิลปะและวรรณกรรม: ให้เด็กได้มีโอกาสแสดงออกทางศิลปะ เช่น การวาดภาพ ดนตรี หรือเขียนเรื่องราว ซึ่งช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
-
การแข่งขันและโครงการสร้างสรรค์: จัดการแข่งขันหรือโครงการที่กระตุ้นให้เด็กคิดค้นสิ่งใหม่ๆ เช่น การแข่งขันวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี
5. การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน
-
สร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง: ผู้ปกครองควรมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กที่บ้าน โดยช่วยกระตุ้นความสนใจในเรื่องต่างๆ
-
เชื่อมโยงกับชุมชน: โรงเรียนควรเชื่อมโยงกับชุมชนเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวัน เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนหรือการทำงานอาสาสมัคร
สรุป
การสร้าง inquisitive mind ในเด็กไทยต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทั้งในระบบการศึกษา วิธีการสอน และการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน การส่งเสริมให้เด็กมีจิตใจใคร่รู้จะช่วยให้พวกเขาเติบโตเป็นพลเมืองที่มีความริเริ่มสร้างสรรค์ และสามารถตอบสนองต่อความท้าทายของโลกในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Generative AI ตัวอื่นๆ ก็ให้คำตอบใกล้เคียงกัน
สรุปได้ว่า สังคมไทยต้องเปลี่ยนแปลงมาก และจริงจัง ตามแนวทางดังกล่าว จึงจะสร้างพลเมืองคุณภาพสูงยุคใหม่ได้
วิจารณ์ พานิช
๒๔ พ.ย. ๖๗
ห้อง ๑๐๐๑ โรงแรมแชงกรีลา เชียงใหม่