โกฏสิมพลิชาดก


ว่าด้วย การระวังภัยที่ยังไม่มาถึง

โกฏสิมพลิชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๗. โกฏสิมพลิชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๔๑๒)

ว่าด้วยเทวดาผู้สถิตอยู่ที่ต้นงิ้วใหญ่

             (พญาครุฑกล่าวกับรุกขเทวดาว่า)

             [๑๒๑] ข้าพเจ้าจับพญานาคตัวยาวตั้ง ๑,๐๐๐ วามาไว้ พญานาคและข้าพเจ้านั้นมีร่างกายใหญ่โต ท่านยังรองรับไว้ได้ ไม่สะทกสะท้าน

             [๑๒๒] โกฏสิมพลิเทพบุตร เพราะเหตุไร เมื่อท่านรองรับนางนกน้อยตัวนี้ซึ่งมีเนื้อน้อยกว่าข้าพเจ้า จึงมีความกลัวจนตัวสั่น

             (รุกขเทวดากล่าวกับพญาครุฑว่า)

             [๑๒๓] พญาครุฑ ตัวท่านกินเนื้อเป็นอาหาร ส่วนนกนี้กินผลไม้เป็นอาหาร นกตัวนี้กินเมล็ดไทร เมล็ดดีปลี เมล็ดมะเดื่อ และเมล็ดโพธิ์แล้ว จักถ่ายรดลำต้นข้าพเจ้า

             [๑๒๔] ต้นไม้เหล่านั้นจะเจริญงอกงามอยู่ระหว่างกิ่งของข้าพเจ้า ต้นไม้เหล่านั้นจะรึงรัดปกคลุมข้าพเจ้า จักทำให้ข้าพเจ้าไม่เป็นต้นไม้

             [๑๒๕] แม้ต้นไม้เหล่าอื่นมีรากและลำต้นมั่นคง ที่ถูกนกตัวนี้นำพืชมาทำลายก็มีอยู่

             [๑๒๖] ต้นไม้ทั้งหลายที่งอกขึ้นมา จะเติบโตเกินต้นไม้เจ้าป่าแม้ที่มีลำต้นใหญ่โต พญาครุฑ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าเมื่อเห็นภัยในอนาคต จึงสะทกสะท้าน

             (พญาครุฑกล่าวว่า)

             [๑๒๗] บุคคลพึงระแวงภัยที่ควรระแวง พึงป้องกันภัยที่ยังมาไม่ถึง เพราะภัยที่ยังมาไม่ถึง นักปราชญ์จึงได้พิจารณาเห็นโลกทั้ง ๒

โกฏสิมพลิชาดกที่ ๗ จบ

-------------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

โกฏสิมพลิชาดก

ว่าด้วย การระวังภัยที่ยังไม่มาถึง

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการข่มกิเลสแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้ ดังนี้.
               เรื่องจักมีแจ้งชัดในปัญญาสชาดก.
               แต่ในที่นี้ พระศาสดาทรงเห็นภิกษุทั้งหลายประมาณ ๕๐๐ รูป ถูกกามวิตกครอบงำ ภายในโกฏิสัณฐารกะ จึงทรงประชุมสงฆ์ ตรัสว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ควรระแวง ก็ควรระแวง ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหลาย เมื่อเจริญขึ้นก็ย่อมทำลายเรา เหมือนต้นไทรเป็นต้น เมื่อเติบโตขึ้นก็ทำลายต้นไม้ฉะนั้น
               ด้วยเหตุนั้น ในปางบรรพ์เทวดาผู้เกิดที่โกฎสิมพลิงิ้วใหญ่ เห็นนกตัว ๑ กินลูกนิโครธ ถ่ายอุจจาระรดกิ่งต้นไม้ของตน ได้ประสบความกลัวว่า ต่อแต่นี้ไปวิมานของเราจักมีความพินาศ ดังนี้.
               แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นรุกขเทวดาที่โกฏสิมพลี ภายหลังพญาครุฑตัวหนึ่งเนรมิตอัตภาพ ๑๕๐ โยชน์ ใช้ลมปีกพัดน้ำในทะเลแหวกออกเป็น ๒ ส่วน แล้วเฉี่ยวเอานาคราชตัวหนึ่งยาวพันวาที่หางให้ขยอกเหยื่อที่พญานาคนั้นใช้ปากคาบไว้ทิ้ง บินไปทางยอดป่า มุ่งหมายโกฏสิมพลี.
               นาคราชเมื่อห้อยหัวลง จึงคิดว่า เราจักสลัดตัวให้หลุด จึงสอดขนดเข้าไปที่ต้นนิโครธต้น ๑ พันต้นนิโครธยึดไว้. ต้นนิโครธก็ถอนขึ้น เพราะความแรงของพญาครุฑและพญานาคร่างใหญ่. พญานาคก็ไม่ปล่อยต้นไม้เลย.
               ครุฑจึงเฉี่ยวเอาพญานาค พร้อมกับต้นนิโครธไปถึงโกฏสิมพลี แล้วให้พญานาคนอนบนด้านหลังของลำต้นไม้ ฉีกท้องกินมันข้นของพญานาคแล้วทิ้งซากที่เหลือลงทะเลไป.
               ก็บนต้นนิโครธนั้น มีนกตัวเมียตัวหนึ่ง เมื่อพญานาคทิ้งต้นนิโครธแล้ว มันก็บินไปเกาะอยู่ระหว่างกิ่งของต้นโกฏสิมพลี. รุกขเทวดาเห็นมันแล้วสะดุ้งกลัวตัวสั่นไปโดยคิดว่า นกตัวเมียตัวนี้จักถ่ายอุจจาระรดลำต้นไม้ของเรา ต่อนั้นไปพุ่มไทรหรือพุ่มไม้ป่า ก็จะขึ้นท่วมทับถมต้นไม้ทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นวิมานของเรา ก็จักพินาศ. เมื่อรุกขเทวดาสั่นสะท้านอยู่ โกฏสิมพลีก็สั่นไปถึงโคน.
               พญาครุฑเห็นรุกขเทวดาสั่นสะท้านอยู่ เมื่อจะถามถึงเหตุ จึงได้กล่าวคาถาว่า :-
               เราได้เอาพญานาคยาวตั้งพันวามาแล้ว ท่านทรงพญานาคนั้นและเราอยู่ได้ ไม่สั่นสะท้าน.
               ดูก่อนโกฏสิมพลีเทพบุตร ก็เพราะเหตุอะไร? ท่านเมื่อทรงนกตัวเล็กๆ นี้ ที่มีเนื้อน้อยกว่าเรา จึงกลัวตัวสั่นสะท้านไป.
               พญาครุฑเรียกเทพบุตรตามนามของต้นไม้ว่า โกฏสิมพลี. เพราะว่าต้นสิมพลี คือต้นงิ้วต้นนั้น ได้ชื่อว่าโกฏสิมพลี เพราะมีลำต้นและกิ่งก้านใหญ่ แม้เทพบุตรผู้สิงอยู่บนต้นโกฏสิมพลีนั้น ก็ได้ชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน.
               ลำดับนั้น เทพบุตรเมื่อจะกล่าวถึงเหตุแห่งการสั่นสะท้านนั้น จึงได้กล่าวคาถา ๔ คาถาว่า :-
               ดูก่อนพญาครุฑ ท่านมีเนื้อเป็นภักษาหาร นกตัวนี้มีผลไม้เป็นภักษาหาร นกตัวนี้จักจิกกินลูกนิโครธ ลูกกร่าง ลูกมะเดื่อ และลูกโพธิ์ แล้วมาถ่ายรดลำต้นไม้ของเรา.
               ต้นไม้เหล่านั้นจะเติบโตขึ้น พวกมันเกิดในที่อับลมไม่มีอากาศที่ข้างเรา จักปกคลุมเรา ทำเราไม่ให้เป็นต้นไม้.
               ต้นไม้ต้นอื่นๆ เป็นหมู่ไม้มีรากมีลำต้นที่มีอยู่ ก็จะถูกสกุณชาติตัวนี้ทำลายไป โดยการนำพืชผลมากิน.
               เพราะว่า ต้นไม้ทั้งหลายที่งอกขึ้น จะเจริญเติบโตขึ้นเลยต้นไม้เจ้าป่า ที่มีลำต้นใหญ่ไป ข้าแต่พญาครุฑ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้ามองเห็นภัยที่ยังไม่มาถึง จึงสั่นสะท้านอยู่.
               ครุฑ ครั้นได้ฟังคำของรุกขเทวดาแล้ว จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า :-
               ธีรชนควรระแวงภัยที่ควรระแวง ควรระวังภัยที่ยังไม่มาถึง ธีรชนย่อมพิจารณาเห็นโลกทั้ง ๒ เพราะภัยในอนาคต.
               ก็แล ครุฑครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงให้นกนั้นหนีไปจากต้นไม้นั้นด้วยอานุภาพของตน.
               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า เธอทั้งหลายควรระแวงสิ่งที่ควรระแวงดังนี้ ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดกไว้
               ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปดำรงอยู่แล้วในอรหัตผล.
               พญาครุฑในครั้งนั้น ได้แก่ พระสารีบุตร ในบัดนี้
               ส่วนรุกขเทวดา ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาโกฏสิมพลิชาดกที่ ๗               
               -----------------------------------------------------           

 

หมายเลขบันทึก: 720148เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2024 04:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2024 04:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท