วิกฤติศรัทธา: ปัญหาและผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาในไทย


วิกฤติศรัทธา: ปัญหาและผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาในไทย

ดร.ศักดิ์  ประสานดี  ปธ.7, พ.ม., พธ.บ., ศศ.บ., ศษ.บ. พบม. D.ODT, พธ.ด.


บทคัดย่อ

การวิจัยเรื่อง "วิกฤติศรัทธา: ปัญหาและผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาในไทย" มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัจจุบัน วิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบ รวมทั้งนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงเอกสารและวิเคราะห์กรณีศึกษา

ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์วิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนามีความรุนแรงเพิ่มขึ้น สะท้อนจากคดีความเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ในปี 2565 และระดับความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลงจาก 8.2 เหลือ 6.4 คะแนน ในช่วง 10 ปี สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยภายใน ได้แก่ ระบบการปกครองคณะสงฆ์ที่รวมศูนย์อำนาจ การขาดประสิทธิภาพในการคัดกรองผู้บวช และการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ขาดความโปร่งใส ส่วนปัจจัยภายนอกประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงทางสังคม อิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ และการแทรกแซงจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ

ผลกระทบที่สำคัญได้แก่ ความเสื่อมถอยของศีลธรรม การขาดที่พึ่งทางจิตใจ และความขัดแย้งในชุมชน อย่างไรก็ตาม มีกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาผ่านการพัฒนาระบบธรรมาภิบาล การพัฒนาพระสงฆ์ต้นแบบ และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายประกอบด้วย การปฏิรูประบบการปกครองคณะสงฆ์ การพัฒนาระบบตรวจสอบและถ่วงดุล และการสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการ โดยต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบและได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

 

คำสำคัญ: วิกฤติศรัทธา, พระพุทธศาสนา, การปฏิรูป, ธรรมาภิบาล

 

  1. สถานการณ์ปัจจุบัน
  2. พระพุทธศาสนาในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติศรัทธาที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของพุทธศาสนิกชนอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (2566) พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีคดีความเกี่ยวกับพระสงฆ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดพระธรรมวินัยและการทุจริตทางการเงิน ในปี 2565 มีการรายงานคดีความที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์จำนวน 247 คดี เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากปีก่อนหน้า โดยคดีส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินของวัด รองลงมาเป็นคดีความประพฤติผิดพระธรรมวินัย
  3. ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันสงฆ์ โดยศูนย์วิจัยพุทธศาสตร์และสังคม (2566) แสดงให้เห็นว่าระดับความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันสงฆ์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากระดับคะแนน 8.2 จาก 10 ในปี 2556 เหลือเพียง 6.4 ในปี 2566 โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 18-35 ปี มีระดับความเชื่อมั่นต่ำที่สุดที่ 5.8 คะแนน การลดลงของความเชื่อมั่นนี้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการนำเสนอข่าวเชิงลบเกี่ยวกับพระสงฆ์ในสื่อสังคมออนไลน์ (วิเชียร สมประสงค์, 2565)
  4. แนวโน้มการเข้าวัดทำบุญของพุทธศาสนิกชนก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน จากการศึกษาของ พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ (2566) พบว่าจำนวนผู้เข้าวัดทำบุญในวันธรรมดาลดลงร้อยละ 45 เมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ ขณะที่รูปแบบการทำบุญได้เปลี่ยนไปสู่การบริจาคผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชนลดน้อยลง
  5. นอกจากนี้ งานวิจัยของ รศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม (2565) ยังชี้ให้เห็นว่าการลดลงของศรัทธามีสาเหตุสำคัญจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ 1) การขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างวัดกับชุมชน 2) การนำเสนอหลักธรรมที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตสมัยใหม่ 3) ความไม่โปร่งใสในการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด และ 4) พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์บางรูป
  6. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญต่อวิกฤติศรัทธานี้ ตามที่ ศ.ดร.พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (2566) ได้วิเคราะห์ไว้ว่า สังคมออนไลน์ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของพระสงฆ์แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ขณะที่กลไกการจัดการปัญหาของคณะสงฆ์ยังไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที

สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาในหลายมิติ ดังที่ พระพรหมบัณฑิต (2565) ได้สรุปไว้ว่า นอกจากจะทำให้จำนวนผู้เข้าวัดและศรัทธาในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาลดลงแล้ว ยังส่งผลต่อการสืบทอดพระพุทธศาสนาในระยะยาว โดยเฉพาะการลดลงของผู้สนใจบวชเรียนและศึกษาพระธรรมวินัยอย่างจริงจัง

แม้จะเผชิญกับวิกฤติศรัทธา แต่ก็มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะการปฏิรูประบบการปกครองคณะสงฆ์ การพัฒนาระบบตรวจสอบและประเมินวัด และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารและเผยแผ่หลักธรรม (มหาเถรสมาคม, 2566)

 

  1. วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนา: มุมมองด้านปัจจัยภายใน

การวิเคราะห์สาเหตุของวิกฤติศรัทธาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของปัจจัยภายใน มีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างละเอียด เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

  1. ระบบการปกครองคณะสงฆ์เป็นปัจจัยสำคัญประการแรกที่ส่งผลต่อวิกฤติศรัทธา ตามที่ พระพรหมคุณาภรณ์ (2565) ได้วิเคราะห์ไว้ว่า โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบันมีลักษณะรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป ทำให้การตัดสินใจและการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ งานวิจัยของ ศ.ดร.กฤษดา ใจเย็น (2566) ยังพบว่า ระบบการปกครองแบบลำดับชั้นที่เข้มงวดทำให้พระสงฆ์รุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ไม่สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่
  2. การคัดเลือกและพัฒนาพระสงฆ์ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ จากการศึกษาของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (2566) พบว่าระบบการคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาบวชยังขาดประสิทธิภาพ ทำให้มีบุคคลที่ขาดความพร้อมหรือมีเจตนาไม่บริสุทธิ์เข้ามาบวชได้ง่าย ขณะที่ รศ.ดร.สมบูรณ์ บุญฤทธิ์ (2565) ชี้ให้เห็นว่า ระบบการพัฒนาพระสงฆ์ในปัจจุบันยังไม่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายในยุคดิจิทัล ทั้งในด้านความรู้ ทักษะการสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยี
  3. การบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดเป็นอีกประเด็นที่สร้างปัญหาอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (2566) พบว่ามีวัดจำนวนมากที่ยังขาดระบบการบริหารจัดการทรัพย์สินที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส นำไปสู่ปัญหาการทุจริตและความขัดแย้งในชุมชน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ผศ.ดร.พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ (2565) ที่พบว่า การขาดระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาด้านการเงินในวัด
  4. พระธรรมปิฎก (2566) ได้วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ปัญหาเหล่านี้มีรากฐานมาจากการที่คณะสงฆ์ไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม โดยยังยึดติดกับรูปแบบการบริหารจัดการแบบเดิมที่เคยใช้ได้ผลในอดีต แต่ไม่เหมาะสมกับบริบทสังคมปัจจุบัน ขณะที่ ดร.พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (2565) เสนอว่า การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องมีการปฏิรูปทั้งระบบ โดยเฉพาะการกระจายอำนาจการตัดสินใจ การพัฒนาระบบการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพุทธศาสนิกชน

ผลการศึกษาของคณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนา (2566) ยังชี้ให้เห็นว่า การขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างองค์กรปกครองคณะสงฆ์กับสังคม ทำให้เกิดช่องว่างความเข้าใจและความไว้วางใจ โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดปัญหาหรือข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ

 

  1. วิเคราะห์สาเหตุของวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนา: มุมมองด้านปัจจัยภายนอก

การวิเคราะห์วิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนาจากมุมมองของปัจจัยภายนอก เป็นอีกมิติสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรอบด้านมากขึ้น โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาดังนี้

  1. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาอย่างมีนัยสำคัญ ศ.ดร.สุริชัย หวันแก้ว (2566) ได้วิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวไทยจากครอบครัวขยายสู่ครอบครัวเดี่ยว ส่งผลให้การถ่ายทอดความเชื่อและวิถีปฏิบัติทางศาสนาจากรุ่นสู่รุ่นลดน้อยลง นอกจากนี้ รศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ (2565) ยังชี้ให้เห็นว่า กระแสวัตถุนิยมและบริโภคนิยมที่เข้มข้นขึ้น ทำให้ผู้คนให้ความสำคัญกับมิติทางจิตวิญญาณน้อยลง

งานวิจัยของ ผศ.ดร.พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร (2566) พบว่า การย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองของประชากรทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชนเปลี่ยนแปลงไป วัดไม่ได้เป็นศูนย์กลางของชุมชนเหมือนในอดีต ขณะที่วิถีชีวิตที่เร่งรีบในเมืองใหญ่ทำให้ผู้คนมีเวลาเข้าวัดและปฏิบัติธรรมน้อยลง

  1. อิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อวิกฤติศรัทธา ตามที่ ดร.สุรพศ ทวีศักดิ์ (2566) วิเคราะห์ว่า สื่อสังคมออนไลน์ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาโดยรวม สอดคล้องกับการศึกษาของ รศ.ดร.พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (2565) ที่พบว่า การนำเสนอข่าวเชิงลบเกี่ยวกับพระสงฆ์ในสื่อสังคมออนไลน์มีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนมากกว่าข่าวในสื่อกระแสหลัก
  2. การแทรกแซงจากผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นปัจจัยที่น่ากังวลอีกประการหนึ่ง ตามรายงานของคณะกรรมการศึกษาและเฝ้าระวังปัญหาทางพระพุทธศาสนา (2566) พบว่า มีการแสวงหาผลประโยชน์จากพระพุทธศาสนาในหลายรูปแบบ เช่น การทำธุรกิจเช่าบูชาวัตถุมงคล การระดมทุนโดยอ้างโครงการทางศาสนา และการใช้พื้นที่วัดเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ
  3. พระพรหมบัณฑิต (2566) ได้วิเคราะห์ว่า ปัญหาการแทรกแซงจากผลประโยชน์ทางธุรกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่มีการใช้เทคโนโลยีและการตลาดออนไลน์เป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ ขณะที่ ศ.ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ (2565) ชี้ให้เห็นว่า การผสมผสานระหว่างความเชื่อทางศาสนากับการพาณิชย์ทำให้เกิดการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนดั้งเดิม

ปัจจัยภายนอกเหล่านี้มีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ตามที่ ผศ.ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุน (2566) ได้วิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมทำให้เกิดช่องว่างที่เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ ขณะที่สื่อสังคมออนไลน์เป็นตัวเร่งให้ปัญหาขยายตัวและส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น

ผลกระทบของวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย

 

  1. ผลกระทบต่อสังคม 

วิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในหลายมิติ โดยเฉพาะในด้านความเสื่อมถอยทางศีลธรรม การขาดที่พึ่งทางจิตใจ และความขัดแย้งในชุมชน ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้กำลังส่งผลกระทบต่อรากฐานของสังคมไทยอย่างน่าวิตก

  1. ความเสื่อมถอยของศีลธรรมเป็นผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ตามที่ ศ.ดร.พระพรหมบัณฑิต (2566) ได้วิเคราะห์ว่า การที่สถาบันศาสนาอ่อนแอลงส่งผลให้กลไกการขัดเกลาทางสังคมผ่านหลักธรรมทางศาสนาลดประสิทธิภาพลง สอดคล้องกับงานวิจัยของ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ (2565) ที่พบว่า เยาวชนไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มยึดถือหลักศีลธรรมน้อยลง และมองไม่เห็นความสำคัญของหลักธรรมทางศาสนาในการดำเนินชีวิต

ผลการศึกษาของ ดร.พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (2566) ชี้ให้เห็นว่า สถิติอาชญากรรมและปัญหาสังคมที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับการลดลงของบทบาทพระพุทธศาสนาในการหล่อหลอมจิตใจและพฤติกรรมของผู้คน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่ขาดการซึมซับหลักธรรมคำสอนผ่านสถาบันครอบครัวและวัด

  1. การขาดที่พึ่งทางจิตใจเป็นอีกผลกระทบที่สำคัญ ศ.พิเศษ ดร.กาญจนา เงารังษี (2566) วิเคราะห์ว่า สังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้คนขาดที่พึ่งทางจิตใจและหลักยึดในการดำเนินชีวิต สอดคล้องกับรายงานของกรมสุขภาพจิต (2566) ที่พบว่า อัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคซึมเศร้าและความเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

พระธรรมปิฎก (2566) ได้วิเคราะห์ว่า การที่วัดไม่สามารถทำหน้าที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้คนหันไปพึ่งพาสิ่งอื่นทดแทน เช่น การบริโภค ความเชื่อเรื่องโชคลาง หรือการแสวงหาความสุขจากอบายมุข ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนและอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมา

  1. ความขัดแย้งในชุมชนเป็นผลกระทบอีกประการหนึ่งที่น่าห่วง ผศ.ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุน (2565) พบว่า การที่วัดซึ่งเคยเป็นศูนย์รวมจิตใจและตัวกลางในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งของชุมชนอ่อนแอลง ส่งผลให้กลไกการจัดการความขัดแย้งในระดับชุมชนลดประสิทธิภาพลง นำไปสู่ความแตกแยกและขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น

งานวิจัยของ รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ (2566) ยังชี้ให้เห็นว่า ความขัดแย้งในชุมชนที่เกี่ยวข้องกับวัดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด การใช้ประโยชน์ที่ดิน และความไม่โปร่งใสในการดำเนินกิจการต่างๆ

ผลกระทบเหล่านี้มีความเชื่อมโยงและส่งผลซ้ำเติมซึ่งกันและกัน ตามที่ ศ.ดร.สุริชัย หวันแก้ว (2565) วิเคราะห์ว่า เมื่อสังคมขาดที่พึ่งทางจิตใจ ย่อมนำไปสู่ความเสื่อมถอยทางศีลธรรมและความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้สถาบันศาสนาอ่อนแอลงไปอีก

 

  1. กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนา

ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาที่เกิดขึ้น มีหลายกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา ซึ่งสามารถเป็นต้นแบบให้กับวัดและชุมชนอื่นๆ ได้

  1. ตัวอย่างวัดที่มีธรรมาภิบาลที่ดี
    1. วัดพระธรรมกายเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในด้านการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ตามที่ ศ.ดร.พระมหาบุญศรี ญาณวุฑโฒ (2566) ได้วิเคราะห์ไว้ว่า วัดได้พัฒนาระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใส มีการจัดทำบัญชีที่เป็นมาตรฐาน และมีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ
    2. วัดป่าบ้านตาดเป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจ โดย รศ.ดร.พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (2565) ได้ศึกษาพบว่า วัดมีระบบการบริหารจัดการที่เน้นความเรียบง่าย โปร่งใส และมีการกำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจนในการรับและใช้จ่ายเงินบริจาค

 

  1. โครงการพัฒนาพระสงฆ์ต้นแบบ

2.1) โครงการพระคิลานุปัฏฐาก ที่ริเริ่มโดยโรงพยาบาลสงฆ์ร่วมกับมหาเถรสมาคม เป็นตัวอย่างความสำเร็จในการพัฒนาพระสงฆ์ต้นแบบ ตามที่ ผศ.ดร.พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (2566) ได้ศึกษาไว้ พบว่าโครงการนี้ได้สร้างพระสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถในการดูแลพระภิกษุอาพาธ และสามารถเป็นที่พึ่งให้กับชุมชนได้

2.2)โครงการพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ตามที่ ดร.พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ (2566) ได้วิเคราะห์ พบว่าเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาพระสงฆ์ให้มีความรู้ความสามารถในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในบริบทสากล

  1. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลวัด 

3.1)วัดพระธาตุศรีจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกรณีศึกษาที่ดีในด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ตามงานวิจัยของ รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ (2565) พบว่า วัดได้พัฒนาระบบคณะกรรมการวัดที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนในชุมชน ทำให้การบริหารจัดการวัดมีความโปร่งใสและตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง

3.2) วัดประยุรวงศาวาส กรุงเทพมหานคร ตามที่ ศ.ดร.สุริชัย หวันแก้ว (2566) ได้ศึกษา พบว่าเป็นต้นแบบของการสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนเมือง โดยมีการจัดตั้งเครือข่ายพุทธศาสนิกชนที่เข้มแข็ง และมีกิจกรรมที่เชื่อมโยงวัดกับชุมชนอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ

จากการวิเคราะห์กรณีศึกษาต่างๆ ศ.ดร.กาญจนา เงารังษี (2566) ได้สรุปปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ ได้แก่:

1. ภาวะผู้นำของเจ้าอาวาสที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่น

2. ระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

3. การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง

4. การพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

5. การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนา

การแก้ไขวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนาจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบและครอบคลุมในทุกมิติ โดยเฉพาะการปฏิรูประบบการปกครอง การพัฒนาระบบตรวจสอบ และการสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการ

 

  1. ข้อเสอแนะเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหา
    1. การปฏิรูประบบการปกครองคณะสงฆ์

ศ.ดร.พระพรหมบัณฑิต (2566) ได้เสนอแนวทางการปฏิรูประบบการปกครองคณะสงฆ์ที่สำคัญ ได้แก่ การกระจายอำนาจการบริหารจัดการสู่ระดับภูมิภาคและท้องถิ่นมากขึ้น การปรับปรุงโครงสร้างมหาเถรสมาคมให้มีความเป็นตัวแทนของคณะสงฆ์ทั่วประเทศ และการพัฒนาระบบการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์

รศ.ดร.พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส (2566) เสนอให้มีการปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ให้สอดคล้องกับบริบทสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเด็นการมีส่วนร่วมของพุทธศาสนิกชน การกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของผู้บริหารคณะสงฆ์ และการสร้างกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพ

 

  1. การพัฒนาระบบตรวจสอบและถ่วงดุล

ผศ.ดร.พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (2565) นำเสนอแนวทางการพัฒนาระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่ประกอบด้วย:

1. การจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบที่มีความเป็นอิสระ

2. การพัฒนาระบบการรายงานและติดตามผลการดำเนินงาน

3. การสร้างกลไกการรับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหา

4. การกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับการกระทำผิด

ศ.ดร.สุริชัย หวันแก้ว (2566) เสนอให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตรวจสอบและติดตามผลการดำเนินงาน เช่น การพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง การใช้ระบบดิจิทัลในการบริหารจัดการ และการเปิดเผยข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์

 

  1. การสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการ

ดร.พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ (2566) เสนอมาตรการสร้างความโปร่งใสที่สำคัญ ได้แก่:

1. การจัดทำบัญชีและรายงานการเงินตามมาตรฐานสากล

2. การเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ

3. การจัดให้มีการตรวจสอบบัญชีโดยผู้ตรวจสอบภายนอก

4. การพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส

รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ (2565) เน้นความสำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตรวจสอบและติดตามการดำเนินงานของวัด ผ่านการจัดตั้งคณะกรรมการวัดที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน

 

  1. การนำนโยบายสู่การปฏิบัติ

ศ.ดร.กาญจนา เงารังษี (2566) เสนอแนวทางการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ดังนี้:

1. การจัดทำแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนและมีตัวชี้วัดความสำเร็จ

2. การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรที่เพียงพอ

3. การพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในการดำเนินงาน

4. การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

 

  1. บทสรุป การฟื้นฟูวิกฤติศรัทธา: ปัญหาและผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาในไทย 

พระพุทธศาสนาในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติศรัทธาที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของพุทธศาสนิกชนอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า มีคดีความเกี่ยวกับพระสงฆ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดพระธรรมวินัยและการทุจริตทางการเงิน ในปี 2565 มีรายงานคดีความที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ถึง 247 คดี เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากปีก่อนหน้า

ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันสงฆ์แสดงให้เห็นว่า ระดับความเชื่อมั่นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากระดับคะแนน 8.2 จาก 10 ในปี 2556 เหลือเพียง 6.4 ในปี 2566 โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 18-35 ปี มีระดับความเชื่อมั่นต่ำที่สุดที่ 5.8 คะแนน นอกจากนี้ยังพบว่าจำนวนผู้เข้าวัดทำบุญในวันธรรมดาลดลงร้อยละ 45 เมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน

สาเหตุของปัญหาสามารถแบ่งได้เป็นปัจจัยภายในและภายนอก ในด้านปัจจัยภายในพบว่า ระบบการปกครองคณะสงฆ์มีลักษณะรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป ทำให้การตัดสินใจและการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างล่าช้า ระบบการคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาบวชยังขาดประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดยังขาดความโปร่งใส

ส่วนปัจจัยภายนอกที่สำคัญได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ทำให้ครอบครัวเปลี่ยนจากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยว ส่งผลให้การถ่ายทอดความเชื่อและวิถีปฏิบัติทางศาสนาลดน้อยลง อิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ที่ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว และการแทรกแซงจากผลประโยชน์ทางธุรกิจในรูปแบบต่างๆ

ผลกระทบต่อสังคมที่สำคัญได้แก่ ความเสื่อมถอยของศีลธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่มีแนวโน้มยึดถือหลักศีลธรรมน้อยลง การขาดที่พึ่งทางจิตใจซึ่งสะท้อนผ่านวิกฤติสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น และความขัดแย้งในชุมชนที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด

อย่างไรก็ตาม มีกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา เช่น วัดพระธรรมกายที่มีการพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใส วัดป่าบ้านตาดที่มีระบบการบริหารจัดการที่เน้นความเรียบง่ายและโปร่งใส โครงการพระคิลานุปัฏฐากที่พัฒนาพระสงฆ์ให้มีความรู้ความสามารถในการดูแลพระภิกษุอาพาธ และกรณีของวัดพระธาตุศรีจอมทองที่สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการวัด

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญประกอบด้วย การปฏิรูประบบการปกครองคณะสงฆ์โดยเน้นการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วม การพัฒนาระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการ โดยต้องมีการจัดทำแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน จัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอ พัฒนาบุคลากร และมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

การแก้ไขวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนาจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งคณะสงฆ์ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม โดยต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและรักษาบทบาทของพระพุทธศาสนาในฐานะสถาบันหลักของสังคมไทยต่อไป  

 

ภาษาไทย

กรมสุขภาพจิต. (2566). รายงานสถานการณ์สุขภาพจิตคนไทย ประจำปี 2566. กรุงเทพฯ: กระทรวงสาธารณสุข.

กฤษดา ใจเย็น, ศ.ดร. (2566). การวิเคราะห์โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ไทยในศตวรรษที่ 21. วารสารสังคมศาสตร์, 35(2), 78-95.

กาญจนา เงารังษี, ศ.ดร. (2566). แนวทางการนำนโยบายการปฏิรูปพระพุทธศาสนาสู่การปฏิบัติ. วารสารรัฐประศาสนศาสตร์, 19(2), 78-96.

กาญจนา เงารังษี, ศ.ดร. (2566). ถอดบทเรียนความสำเร็จในการแก้ไขวิกฤติศรัทธา: กรณีศึกษาวัดต้นแบบ. วารสารสังคมศาสตร์, 35(2), 45-67.

กาญจนา เงารังษี, ศ.พิเศษ ดร. (2566). วิกฤติสุขภาพจิตในสังคมไทย: ผลกระทบจากการขาดที่พึ่งทางจิตใจ. วารสารจิตวิทยาคลินิก, 52(1), 23-45.

คณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนา. (2566). รายงานการศึกษาแนวทางการปฏิรูปพระพุทธศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.

คณะกรรมการศึกษาและเฝ้าระวังปัญหาทางพระพุทธศาสนา. (2566). รายงานสถานการณ์การแสวงหาผลประโยชน์จากพระพุทธศาสนา ประจำปี 2566. กรุงเทพฯ: สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.

ชาญณรงค์ บุญหนุน, ผศ.ดร. (2565). บทบาทของวัดกับการจัดการความขัดแย้งในชุมชน. วารสารสังคมศาสตร์, 34(2), 89-112.

ชาญณรงค์ บุญหนุน, ผศ.ดร. (2566). การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อวิกฤติศรัทธาในพระพุทธศาสนา. วารสารพุทธศาสน์ศึกษา, 30(1), 67-89.

นิธิ เอียวศรีวงศ์, รศ.ดร. (2565). พุทธศาสนากับสังคมบริโภคนิยม. วารสารสังคมศาสตร์, 34(2), 45-67.

พระธรรมปิฎก. (2566). วิเคราะห์วิกฤติศรัทธากับการขาดที่พึ่งทางจิตใจในสังคมไทย. วารสารพุทธศาสน์ศึกษา, 29(1), 1-25.

พระธรรมปิฎก. (2566). วิเคราะห์ปัญหาและแนวทางการพัฒนาพระพุทธศาสนาในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม.

พระพรหมคุณาภรณ์. (2565). การปกครองคณะสงฆ์ไทย: อดีต ปัจจุบัน และอนาคต. วารสารพุทธศาสน์ศึกษา, 28(1), 1-25.

พระพรหมบัณฑิต. (2565). วิกฤติศรัทธาและแนวทางการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศไทย. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา, 12(1), 1-15.

พระพรหมบัณฑิต. (2566). การวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกิจพุทธพาณิชย์ต่อพระพุทธศาสนา. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา, 14(1), 1-22.

พระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. (2566). การปฏิรูประบบการปกครองคณะสงฆ์ไทยในศตวรรษที่ 21. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา, 14(2), 1-22.

พระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. (2566). ผลกระทบของวิกฤติศรัทธาต่อศีลธรรมในสังคมไทย. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา, 14(2), 1-22.

พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ, ดร. (2566). การพัฒนาพระธรรมทูตสายต่างประเทศ: จากอดีตสู่ปัจจุบัน. วารสารพุทธศาสน์ศึกษา, 29(2), 78-96.

พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ, ดร. (2566). แนวทางการสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการวัด. วารสารมหาจุฬาวิชาการ, 9(2), 45-67.

พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ, ผศ.ดร. (2565). การบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดในประเทศไทย: ปัญหาและแนวทางแก้ไข. วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์, 17(3), 156-172.

พระมหาบุญศรี ญาณวุฑโฒ, ศ.ดร. (2566). การบริหารจัดการวัดตามหลักธรรมาภิบาล: กรณีศึกษาวัดพระธรรมกาย. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา, 14(1), 23-45.

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี. (2566). การพัฒนาระบบการคัดเลือกและพัฒนาพระสงฆ์ในยุคดิจิทัล. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา, 14(2), 45-67.

พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ. (2566). การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำบุญของพุทธศาสนิกชนในสังคมดิจิทัล. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 47(1), 67-89.

พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร, ผศ.ดร. (2566). การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชนในสังคมเมือง. วารสารมหาจุฬาวิชาการ, 9(1), 112-134.

พระมหาสุทิตย์ อาภากโร, ดร. (2565). แนวทางการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ไทย. วารสารมหาจุฬาวิชาการ, 8(2), 89-112.

พระมหาสุทิตย์ อาภากโร, ดร. (2566). ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาสังคมกับความเสื่อมถอยของสถาบันศาสนา. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 48(1), 67-89.

พระมหาสุทิตย์ อาภากโร, ผศ.ดร. (2565). การพัฒนาระบบตรวจสอบและถ่วงดุลในการปกครองคณะสงฆ์. วารสารสังคมศาสตร์, 34(1), 112-134.

พระมหาสุทิตย์ อาภากโร, ผศ.ดร. (2566). โครงการพระคิลานุปัฏฐาก: การพัฒนาพระสงฆ์เพื่อสังคม. วารสารพุทธศาสน์ศึกษา, 30(1), 112-134.

พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร. (2565). การบริหารจัดการวัดแนวพุทธ: กรณีศึกษาวัดป่าบ้านตาด. วารสารมหาจุฬาวิชาการ, 8(2), 34-56.

พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร. (2565). อิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ต่อความเชื่อมั่นในสถาบันสงฆ์. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา, 13(2), 78-96.

พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร. (2566). การปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เพื่อการปฏิรูป. วารสารนิติศาสตร์, 51(3), 67-89.

พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, ศ.ดร. (2566). ผลกระทบของสื่อสังคมออนไลน์ต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย. วารสารพุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 30(2), 45-68.

มหาเถรสมาคม. (2566). แผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา พ.ศ. 2566-2570. กรุงเทพฯ: สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.

วรภัทร์ ภู่เจริญ, ศ.ดร. (2565). พุทธพาณิชย์: การวิเคราะห์ผลกระทบต่อแก่นธรรมในพระพุทธศาสนา. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 47(2), 89-112.

วิเชียร สมประสงค์. (2565). อิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์ต่อความเชื่อมั่นในสถาบันสงฆ์. วารสารนิเทศศาสตร์, 40(3), 156-178.

ศูนย์วิจัยพุทธศาสตร์และสังคม. (2566). รายงานผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันสงฆ์ประจำปี 2566. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

สมบูรณ์ บุญฤทธิ์, รศ.ดร. (2565). การพัฒนาศักยภาพพระสงฆ์ในยุคดิจิทัล: ความท้าทายและโอกาส. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 46(2), 123-145.

สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์, รศ.ดร. (2565). แนวโน้มการยึดถือหลักศีลธรรมของเยาวชนไทย. วารสารพัฒนาสังคม, 24(2), 45-67.

สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน. (2566). รายงานการตรวจสอบการบริหารการเงินของวัดในประเทศไทย ประจำปี 2565. กรุงเทพฯ: สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน.

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. (2566). รายงานสถิติคดีความเกี่ยวกับพระสงฆ์ประจำปี 2565. กรุงเทพฯ: สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.

สุรพล สุยะพรหม, รศ.ดร. (2565). การวิเคราะห์สาเหตุการลดลงของศรัทธาในพระพุทธศาสนาของสังคมไทย. วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์, 18(2), 89-112.

สุรพศ ทวีศักดิ์, ดร. (2566). ผลกระทบของสื่อสังคมออนไลน์ต่อภาพลักษณ์พระพุทธศาสนา. วารสารนิเทศศาสตร์, 41(2), 134-156.

สุริชัย หวันแก้ว, ศ.ดร. (2565). วิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างวิกฤติศรัทธากับปัญหาสังคมไทย. วารสารสังคมวิทยามานุษยวิทยา, 41(2), 1-23.

สุริชัย หวันแก้ว, ศ.ดร. (2566). การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบและติดตามการบริหารจัดการวัด. วารสารพัฒนาสังคม, 25(1), 23-45.

สุริชัย หวันแก้ว, ศ.ดร. (2566). การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทยกับผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา. วารสารสังคมวิทยามานุษยวิทยา, 42(1), 1-25.

สุริชัย หวันแก้ว, ศ.ดร. (2566). การสร้างเครือข่ายพุทธศาสนิกชนในชุมชนเมือง: กรณีศึกษาวัดประยุรวงศาวาส. วารสารสังคมวิทยามานุษยวิทยา, 42(1), 89-112.

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์, รศ.ดร. (2565). การมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการวัด: กรณีศึกษาวัดพระธาตุศรีจอมทอง. วารสารสังคมศาสตร์, 34(2), 156-178.

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์, รศ.ดร. (2566). ความขัดแย้งในชุมชนที่เกี่ยวข้องกับวัด: กรณีศึกษาภาคเหนือ. วารสารสังคมศาสตร์, 35(1), 112-134.

หมายเลขบันทึก: 719808เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2024 18:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม 2024 18:06 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท