การประชุมวิชาการ Engagement Thailand ครั้งที่ ๙ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ ร่วมกับมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ และสมาคมพันธกิจสัมพันธ์มหาวิทยาลัยกับสังคม จัดที่โรงแรมเซนทารา ริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๕ - ๘ มิถุนายน ๒๕๖๗ ผมขอทาง มช. ไปร่วมเรียนรู้ด้วยตลอด ๔ วัน เพื่อเรียนรู้ว่า มหาวิทยาลัยไทยดำเนินการเรื่อง social engagement ก้าวหน้าไปเพียงใด
ผมเขียนบันทึกเรื่อง university – social engagement ไว้มากมาย ที่ (๑)
วันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๗ มีการประชุม Preconference Workshop พร้อมๆ กันทั้งวันรวม ๔ รายการ ผมเลือกไปเข้ารายการที่ ๒ เรื่อง SROI – Social Return on Investment ที่คณะสาธารณสุขศาสตร์ เพื่อเรียนรู้ขั้นต้นเกี่ยวกับหลักการและวิธีการของ Social Return on Investment ซึ่งก็ได้เรียนรู้ตามคาดอย่างเต็มอิ่ม
งานอุดมศึกษาเป็นงานเพื่อสังคม การวัดผลตอบแทนทางสังคมของกิจการมหาวิทยาลัยจึงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยพัฒนาตนเองให้ก่อผลกระทบต่อสังคมให้สูงยิ่งขึ้น SROI จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนามหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาวิทยาลัยที่ต้องการยกระดับพันธกิจสัมพันธ์กับสังคม (social engagement)
ย้ำว่า SROI ไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นเครื่องมือ เป็นเครื่องมือเตือนสติ ที่เมื่อมหาวิทยาลัยนำไปใช้ ก็จะมีสติคำนึงถึงการตอบแทนสังคม
เรียนครบ ๑ วัน ผมสรุปกับตนเองว่า SROI เป็นเครื่องมือวัดสิ่งที่วัดไม่ได้ หรือวัดได้ไม่แม่น ให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น น่าเชื่อถือขึ้นอีกหน่อย คือผลยังขึ้นกับวิจารณญาณและตัวนักวิจัยอยู่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่มีเครื่องมือนี้
กล่าวใหม่ได้ว่า SROI ยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาต่อเนื่อง ที่ผมคิดว่าหากนำวงจรเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Experiential Learning Cycle) ไปใช้ในการดำเนินการวัด SROI เพื่อการเรียนรู้ของผู้เกี่ยวข้อง และร่วมกันพัฒนาวิธีการ SROI จะช่วยให้การพัฒนา SROI ทำได้เร็วยิ่งขึ้น และน่าจะค้นพบมิติใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น
SROI มีวิธีทำให้การวัดแม่นขึ้น มีอคติน้อยลง โดยมีเครื่องมือคือ (๑) การใช้ TOC – Theory of Change มาช่วยกำหนดเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงให้ชัดเจน (๒) การใช้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ที่มาจากฝ่ายต่างๆ อย่างครบถ้วน เป็นผู้ให้ข้อมูลเสริมกับข้อมูลส่วนที่มาจากเอกสาร และจากการวัดโดยตรง ได้ (๓) การมีตัวช่วยลดอคติ โดยตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากกรณีฐาน (base case scenario) นำมาหักออกจากค่าที่คำนวณได้ ได้แก่ (ก) การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากเหตุอื่น ที่เรียกว่า ผลลัพธ์ส่วนเกิน (dead weight) (ข) การเปลี่ยนแปลงมีเหตุอื่นประกอบด้วย เรียกว่า ผลลัพธ์จากปัจจัยอื่น (attribute) และ (๓) เกิดผลดีตามที่เราต้องการ แต่มีผลลบต่อผู้อื่นหรือด้านอื่น ต้องนำผลลบมาหักลบออก เรียกว่า ผลลัพธ์ทดแทน (displacement)
ตอนที่อาจใช้วิธีการแตกต่างกัน และส่งผลให้ค่า SROI ที่คำนวณได้แตกต่างกันได้มากคือ การกำหนดค่าแทนทางการเงิน (financial proxy) ต่อผลได้ทางสังคม ซึ่งทำได้ ๒ แบบคือ อิงราคาตลาด กับอ้างผลงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์
เป็น ๑ วันที่ช่วยให้พอรู้จัก แต่ยังทำไม่เป็น จะทำเป็นต้องเข้าคอร์สฝึก ๓ วัน
วิจารณ์ พานิช
๕ มิ.ย. ๖๗
ห้อง ๑๔๐๕ โรงแรมเซนทาราริเวอร์ไซด์ เชียงใหม่