[บันทึกที่ 10] ฉันเขียนบันทึกไปทำไม ?


จริง ๆ แล้วบันทึกตอนนี้ควรเป็นตอนแรกของการเขียนบล็อกเลยด้วยซ้ำเพื่อจะได้บอกความตั้งใจให้กับผู้ที่เข้ามาอ่านได้รับทราบได้ทำความเข้าใจไว้ก่อน แต่เนื่องจากตอนนั้นมันมีเรื่องอื่นเข้ามาและทำให้เรารู้สึกคัยไม้คันมืออยากเขียนมาก ๆ บันทึกนี้เลยไม่ได้เขียนลงบล็อกนี้สักที ในช่วงเวลาต่อมาเราเคยทำบล็อกในอีกแฟลตฟอร์มหนึ่งนั่นคือ Blockdit และได้เขียนหัวข้อนี้เอาไว้ (แต่ก็ไม่ใช่บทความแรกเช่นกัน 55555) วันนี้มีเวลาเลยอยากกลับมาเขียนหัวข้อนี้เอาไว้ในบล็อกนี้ด้วย (แต่ไม่ต้องห่วงครับ… เพราะนี้เป็นการเขียนใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่การคัดลอกของเดิมมาแปะไว้อย่างแน่นอน)

ก่อนจะเริ่มเขียนขออนุญาตเท้าความถึงสาเหตุที่มาเขียนบันทึกหัวข้อนี้เอาไว้หน่อยครับ… พอดีเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ มีรุ่นพี่ที่สนิทกันได้ส่งข้อความมาพูดคุยกับผมทาง Facebook

รุ่นพี่ : กลับมาเขียนบล็อกแล้วหรอน้อง
เรา : ครับ… แต่ก็ไม่ได้เขียนจริงจังนะ เขียนเป็นบันทึกมากกว่า
รุ่นพี่ : เดี๋ยวนี้ก็มีบล็อกเยอะแยะเลยนะ ใช้งานก็ง่าย Template ก็สวย แถมถ้าจะทำ SEO ก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ทำไมเขียนบทความลง Gotoknow หละ เท่าที่คนมีแต่คนมีอายุนะที่ใช้เว็บนี้
เรา : ผมรีบแก่ตั้งแต่ตอนนี้ไง อีกหน่อยได้ไม่แก่มากไปกว่านี้แล้ว 55555
รุ่นพี่ : อย่ากวน…
เรา : ไม่มีอะไรเลย... มีอยู่วันหนึ่งเข้าไปอ่านบทความเก่าของพี่สาวคนหนึ่งที่แกเคยเขียนไว้ใน Gotoknow พออ่านแล้วก็คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ ก็เลยคิดว่า... เออ... ถ้ามีสักทีหนึ่งที่จะรวบรวมบันทึกการสะท้อนคิดที่น่าสนใจของตัวเองเก็ยไว้ เอาแบบง่าย ๆ ไม่ต้องอะไรมากมาย ไม่ต้องมา Design ให้คนอยากอ่านอะไรแบบนี้ก็เลยสมัครก็แค่นั้นเอง เขียนไว้แบบอ่านกันเองอะ ไม่ได้เขียนไว้เป็นความรู้อะไร 55555
รุ่นพี่ : อ๋อ... เข้าใจล่ะ

จากการคุยกับรุ่นพี่ในวันนั้นทำให้ผมมานั่งคิด ใคร่ครวญกับตนเองว่า… เออ… จริง ๆ แล้วเขียนบันทึกไปทำไมกันแน่นะ ?

มันอาจจะต้องเริ่มจากช่วงการระบาดของโรคโควิด-2019 และมีการประกาศ Lock Down จากทางรัฐบาล ช่วงนั้นมีเวลาว่างมากเดียวและไม่รู้จะไปไหน ผมเลยได้มีโอกาสในการท่องโลกไปแอพพลิเคชั่นหนึ่งที่ชื่อว่า “Clubhouse” และได้มีโอกาสร่วมเรียนรู้กับครูบาอาจารย์และผู้คนมากมาย สิ่งหนึ่งที่ได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากช่วงสถานการณ์นั้นคือการเรียนรู้เรื่องการสร้างพื้นที่การฟังและการสนทนาที่มีชีวิตชีวาและสร้างการเรียนรู้คู่กันไป (หรือเราอาจจะเรียนว่าการทำ Dialogue หรือสุนทรียสนทนาก็ได้) กับอีกอันหนึ่งคือ การได้มีเวลานั่งครุ่นคิด ทบทวน ใคร่ครวญ และจดบันทึกการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่ได้จากการฟัง พูด หรืออ่านสิ่งต่าง ๆ เพื่อยกระดับความรู้และจิตใจของตนเอง สิ่งนี้เป็นมันเป็นสิ่งมีค่าสำหรับผมมาก ๆ เลย

ก่อนหน้านี้ผมก็ชอบที่จะเขียนบันทึกประจำวัน (อนุทิน หรือ Diary) อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ลองเขียน Reflection ผมได้มองเห็นมุมมองที่เหมือนและต่างกันของทั้งสองอย่างและมันก็สนุกแตกต่างกันไป ผมคงบอกไม่ได้ว่าอันไหนมันดีกว่ากันหรอกนะ เพราะผมชิบทำทั้งคู่ 55555 แต่ผมพบแบบนี้ว่า

• การเขียนบันทึกประจำวัน (อนุทิน หรือ Diary) มันช่วยให้ผมได้เก็บความทรงจำทุก ๆ อย่างเอาไว้ในกระดาษ ได้เก็ยเรื่องราวดี ๆ คนดี ๆ พลังงานดี ๆ ไว้ในรูปแบบของตัวเองอักษรที่ได้ถ่ายทอดออกมาจากหัวใจจริง ๆ ขณะเดียวกันเวลาที่มีเรื่องราวที่ไม่ดี ไม่สบายใจผมก็ได้เขียนมันออกมาอย่างตรงไปตรงมาแบบไม่ต้องเกรงใจใคร หรือไม่ต้องคอยมาตรวจสอบตัวเองว่าจะพูดคำนี้ออกมาดีไหม หรือพูดออกมาได้หรือเปล่า เพราะผมพูดและเขียนในพื้นที่ส่วนตัวของผม และเขียนจากความรู้สึกที่แท้จริงของผม ผมได้ปลดปล่อยด้านปีศาจร้ายภายในตัวเองลงในกระดาษอย่างสบายใจและไม่ทำร้ายใครให้เจ็บช้ำแน่นอน (เว้นเสียแต่เข้าจะบังเอิญมาได้อ่านซึ่งมีโอกาสน้อยมาก ๆ แน่นอน)

• การเขียนบันทึกการสะท้อนคิด (การเขียน Reflection) เป็นการที่ผมได้ค่อย ๆ มีเวลาได้หยุดเพื่อครุ่นคิดและไตร่ตรองถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้มา และค่อย ๆ กับไปสำรวจประสบการณ์พร้อมเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ เข้าหากันทีละเล็กทีน้อย ค่อย ๆ ได้ย่อยและทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นจากมุมมองต่าง ๆ ได้ลองตั้งคำถาม ตั้งสมมติฐาน หรือตั้งข้อสังเกตเอาไว้เพื่อศึกษาและเรียนรู้ต่อไป การเขียนบันทึกการสะท้อนคิดนั้นช่วยให้ผมเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ได้ชัดขึ้น สามารถเชื่อมโยงความรู้ วิธีการ เทคนิค และประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตได้ชัดเจน จนกระทั่งได้เห็นมุมมองหรือเกิดการเรียนรู้ใหม่ ๆ ขึ้นในตนเอง เห็นแบบแผนการฝึกปฏิบัติใหม่ ๆ (Practices) ในการพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งทางสติปัญญาและทางสภาวะจิตใจ

การเขียนการเขียนบันทึกประจำวัน (อนุทิน หรือ Diary) และการเขียนบันทึกการสะท้อนคิด (การเขียน Reflection) ช่วยให้ผมได้มองเห็นตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้น มองเห็นบริบทต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับตัวผมเองได้มากขึ้น และบางครั้งการได้กลับไปอ่านทบทวนสิ่งที่เขียนไว้ทำให้ผมได้เห็นแบบแผนปฏิบัติ (Pattern) บางอย่างของตัวผมเอง มันทำให้ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น ตอบตัวเองได้ชัดขึ้นว่าเราเป็นคนใคร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร และอีกหลายคำถาม และเมื่อเรารู้จักตัวเองได้ดีมากขึ้น เราก็จะสามารถเปิดรับและสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นได้ดีขึ้นตามไปด้วย

อีกอย่าง… การเขียนไม่ว่าจะเป็นการเขียนการเขียนบันทึกประจำวัน (อนุทิน หรือ Diary) หรือการเขียนบันทึกการสะท้อนคิด (การเขียน Reflection) ก็ตามมันช่วยให้ผมมีพื้นที่ได้เล่นสนุกสนานกับเรื่องราวที่ผมชอบ ที่สนใจมาก ๆ เก็บไว้ เพราะหลาย ๆ เรื่องผมไม่สามารถที่หยิบไปพูดคุยหรือบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้ฟังได้ เพราะบางเรื่องมันก็ดูไร้สาระเกิน หรือบางเรื่องมันลึกเกิน หรือบางคนอาจไม่สนใจเรื่องนี้เขาก็ฟัง ก็ไม่อยากฟัง หรือพูดคนละภาษา (ทั้งคนละภาษาที่หมายถึงภาษาไทย ภาษาอังกฤษ จีน แบบนี้ และที่หมายถึงความเข้าใจในเรื่องราวที่สื่อสารต่างกัน) ดังนั้นการเขียนบันทึกจึงกลายเป็นเรื่องสนุกของผมไป การได้มีคนเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็ถึงว่าเป็นกำไรของผมด้วย เพราะทำให้ผมได้คุยลงลึกในเรื่องนั้น ๆ เพิ่มเข้าไปอีก

อีกประการหนึ่งผมเป็นผมขี้เหงา กิจกรรมยามว่างมีน้อยมาก ๆ การเขียนเลยเป็นกิจกรรมยามว่างสุดโปรดอันหนึ่งเพราะมันเป็นเหมือนกันได้คุยกับตัวเอง การได้เคลื่อนไหว และการพักผ่อนไปในตัว มันเป็นอะไรที่สบาย ๆ ดีเหมือนกันนะ

ผมได้รับประโยชน์มากมายจากการสนทนาและเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งในบล็อกนี้และในกระดาษ การได้มีเวลาลงลึกและใคร่ครวญอยู่กับเรื่องราวต่าง ๆ มันช่วยให้ผมได้สนุกกับโลกแห่งการเรียนรู้เพิ่มขึ้น มันยังช่วยกระตุ้นให้ผมอยากไปอ่าน อยากไปทดลอง อยากไปเล่น และเรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้การทำงานของผมเป็นพื้นที่แห่งการเล่นและทดลองอย่างสนุกสนาน ขนาดเดียวกันก็ทำงานอย่างจริงจังและรับผิดชอบต่อสิ่งนั้นอย่างเต็มที่

พอมีเวลาก็มีกิจกรรมที่ได้ขีดเขียน ๆ ได้นั่งนิ่ง ๆ เพื่อพิมพ์หรือบางทีก็กลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนสักพัก เมื่อตกผลึกได้ก็มีเขียนมาพิมพ์เรื่องราวต่าง ๆ ทำให้มีช่วงเวลาที่มีคุณภาพกับตัวเองมากยิ่งขึ้น ได้เรียนรู้ และเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับตัวเองได้เยอะมากเลย ผมว่านี่เป็นสเน่ห์และการค้นพบที่พิเศษมาก ๆ สำหรับผมนะ ส่วนองค์ความรู้ที่ได้มา ผมคงไม่สามารถบอกได้หรอกว่ามันดีที่สุดในโลก หรือสมบูรณ์ที่สุด แต่มันดีสำหรับผม มันสมบูรณ์ ณ ช่วงเวลาที่พบได้เขียนและได้เรียนรู้กับมัน ณ ตอนนั้น และมันยังเป็นบาทฐานสำคัญในการนำผมไปสู่องค์ความใหม่ที่กว้างขึ้น ลึกขึ้น ดีขึ้น และสมบูรณ์มากต่อไปในอนาคตอีกด้วย

หมายเลขบันทึก: 718319เขียนเมื่อ 25 พฤษภาคม 2024 22:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม 2024 11:37 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท