การปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง


การขับเคลื่อน Thailand 4.0

     ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.กระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ข้อคิดในการรองรับการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวไว้ดีมาก  มีการแชร์เผยแพร่ ตั้งแต่ปี  2559 ก่อนเกิด โรคอุบัติใหม่ (covid-19)อ่านแล้วตรงกับข้อเท็จจริงมากที่สุด 

       “เมื่อโลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ เพราะ โลกจะเกิดรูปแบบใหม่ 4 ชุด ดังนี้

1. ชุดโอกาสแบบใหม่

2. ชุดภัยคุกคามแบบใหม่

3. ชุดข้อจำกัดแบบใหม่

4. ชุดขีดความสามารถแบบใหม่

ซึ่งทั้งรูปแบบใหม่ ทั้ง 4 ชุดนี้ จะเกิดบนความสัมพันธ์ 2 ประการ

ความสัมพันธ์ที่ 1

การเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์ของคนและเครื่อง

จากศตวรรษที่ 20 มาสู่ศตวรรษที่ 21 จากเดิม คน สร้างเครื่อง มาสูยุคปัจจุบัน เป็นเครื่องจะกำหนดการกระทำของคน

ความสัมพันธ์ที่ 2

Revolution of Brain เกิดจากการที่ พัฒนาการของเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น(Human Technology Civilization) ทำให้ มนุษย์มีการแบ่งบันข้อมูลและความรู้กันพลังสูงสุดคือ Power of Share Knowledge โดยในยุคศตวรรษที่ 21 การได้มาซึ่งความรู้ (Produce Knowledge) นั้นไม่เพียงพอ เพราะความรู้สามารถกระจายได้เร็วสิ่งที่สำคัญคือ การแปลความหมายของข้อมูลนั้น (Produce Meaning)

Age of Disruption

ยุคที่ 1 เปลี่ยนจากเกษตรเป็นอุตสาหกรรม

ยุคที่ 2 เปลี่ยนจากอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยี มีมีเทคโนโลยีมากขึ้น

ยุคที่ 3 ยุคดิจิตอล

ยุคที่ 4 ธุรกิจและนวัตกรรม ซึ่ง มาจากการผสาน 3 Domain หลัก ดังนี้

1. Bio Domain เช่น Bioprint, genetics

2. Physical Domain เช่น Autonomous vehicle (รถที่คนขับเองได้), 3D Printer, 4D Printer

3. Digital เช่น Internet of Thing (IoT), ผู้ผลิตและผู้ซื้อสามารถติดต่อกันโดยตรง

จากนี้ไป โลกจะมีฐานบน 3 Domain นี้ ซึ่งในปัจจุบันหากมีเครือข่าย และความสัมพันธ์ระหว่างกัน (Network and Connection) มาก จะเกิดการเติบโตแบบ Exponential ไม่รู้จบ

The Age of Disruption = The Age of Discovery

เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแนวลึก  Artificial Intelligence (AI) จะมาแทนKnowledge Worker ถ้าเราทันมัน เราจะทำงานร่วมกันได้ แต่ถ้าเราไม่ทันมัน AI จะทำงานแทนเรา

When pattern are broken, the happen of new world

องค์ความรู้และการประยุกต์ใช้เปลี่ยนแปลงไปสิ้นเชิง ตอนนี้เราเหมือนอยู่มนระยะดักแด้                        (Metamorphosis) เราอาจจะรู้สึกอึดอัดกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกใหม่ เราจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อเรากลายเป็นผีเสื้อ

โลกใหม่จะทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลง 4 แบบ

1. New Cultur of Living

a. Digital Humanity

เข้าใจ  เข้าถึง พัฒนา

b. Digitalization

รูปแบบการทำการค้าเดิม คือ Market Place หมายถึง มีที่ขายเป็นหลักแหล่ง ขายได้บางคน (Someone) ขายได้เฉพาะ บางพื้นที่ (Somewhere) และ มีเวลาทำการ(Sometime)

รูปแบบการค้าแบบใหม่ คือ Market Space หมายถึง ใครก็สมารถขายได้ (Anyone) ขายได้ทุกที่ไม่ต้องมีหน้าร้าน (Anywhere) และ ขายได้ทุกเวลา

การใช้ชีวิตสมัยก่อน มนุษย์เรามี 4 กล่องคือ ทำงาน พักผ่อน ซื้อของ และ ไปเที่ยว  เราจะใช้เวลาเป็นกล่องๆ เป็นส่วนๆ แต่ปัจจุบันนี้ เราทำงานได้แม้กระทั่งไปเที่ยว หรือ เราเที่ยวได้แม้กระทั่งเราทำงาน ทุกอย่างถูกผนวกเข้าด้วยกันหมด

2. New Culture of Doing Business

ในอดีตการทำธุรกิจ  ยึดหลักการ Economy of Scale คือ ยิ่งผลิตมากเท่าไหร่ ต้นทุนถูกลงเท่านั้น ซื้อมากเท่าไหร่ได้ราคาถูกมากเท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นการเปิดโอกาส ให้บริษัทเล็กได้มีโอกาสมากขึ้น จาก ปัจจัย ดังต่อไปนี้

• Open Innovation Economy

N : Nobody Own ไม่มีเจ้าของที่แท้จริง

E: Everyone Can Use ทุกคนเข้าถึงได้

A: Anybody Improve it ใครๆก็สามารถพัฒนาได้

โลกของความพอเพียง คือ รู้จักพอตามความถนัดและความสามารถของตน

• Sharing Economy

เช่น UBER, Airbnb

• DIY

Maker และ Buyer ถูกกั้นกันบางๆ จึงมีคำว่า Prosumer มาจาก Producer + Consumer ซึ่งเป็นคำที่ P.Kotler ได้นิยามไว้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว

• Sharing Knowledge

ดังนั้น ในศตวรรษที่ 21 การสร้างคุณค่า ให้กับธุรกิจ ไม่ใช่แค่ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น แต่ยังต้องมองว่าจะคืนกลับสู่สังคมอย่างไร

3. New Culture of Working

• Networking การเชื่อมโยงต่อกันจะมีมากขึ้น

• Open Platform ระดับโลกจะมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันมากขึ้น ดังนั้น เราควรเปิดใจให้กว้าง, ร่วมมือกัน (Collaborating) และ แบ่งปันกันให้มากขึ้น (Sharing)

4. New Culture of Learning

• Unlearn ไม่ยึดติดกับสิ่งที่เรียนรู้มา ต้องไหวตัวให้ทันตลอด

• Relearn สิ่งที่เรารู้มามันเปลี่ยนไปในบริบทใหม่ไหม

ศตวรรษที่ 20 เรามองเห็นข้อเสียในสิ่งที่ดี (Negative side of the good)

ศตวรรษที่ 21 เรามองเห็นข้อดีในสิ่งที่ไม่ดี (Positive side of the bad)

เช่น

- ผลข้างเคียงจากยา เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ก็สามารถพัฒนามาเป็นยาใหม่ๆได้

- อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ ในศตวรรษนี้อาจพิมพ์หนังสือน้อยลง แต่ การทำ Packaing โตขึ้น

ทุกอย่างในโลกมีสองด้านเสมอ

• Learn

- การศึกษา 1.0 คือ เรียนจากอาจารย์ (ท่องจำ)

- การศึกษา 2.0 คือ เรียนได้ด้วยตนเอง (เข้าใจ)

- การศึกษา 3.0 คือ สามารถสร้างองค์ความรู้ (ประยุกต์ใช้และวิเคราะห์)

- การศึกษา 4.0 คือ สามารถสร้างนวัตกรรม (รังสรรค์)

Learning Ecosystem for Rx 4.0

1. Purposeful learning

คือ การเรียนรู้แล้วเกิดความหมาย ต้องทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีทางเลือก ทุกคนมีศักยภาพ ไม่ได้มีแค่เบ้าหลอมแบบเดียวเท่านั้น และที่สำคัญคือ ต้องเรียนด้วย passion ซึ่งจะทำให้เกิด innovation ที่แท้จริง

การศึกษาตามมาตรฐาน (Standardized) จะถูกเปลี่ยนเป็น การศึกษาเฉพาะบุคคล(Personalized)

การศึกษาเพราะทำตามหน้าที่ (Duty Driven) จะถูกเปลี่ยนเป็น การศึกษาที่เกิดจากความอยากรู้จริงๆ(Passion Driven)

2. Mindful Learning

คือ มีการเรียนรู้ร่วมกัน ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน

จากความคิดสร้างสรรค์ของคนคนเดียว (Individual Creating) เป็น ความคิดสร้างสรรค์ ร่วมกัน (Common Creating)

จากการแข่งขันเพื่อให้ได้ผลตอบแทน (Competing Incentive) เป็น การการทำงานด้วยกัน ได้ผลตอบแทนร่วมกัน (Sharing Incentive)

3. Generative Learning

การเรียนจากข้อเท็จจริง (Fact Based) เปลี่ยนเป็นการเรียนที่เริ่มจากความคิด (Idea Based)

การเรียนแบบรอผู้สอน (Passive Learning)  เป็น การเรียนด้วยตนเอง (Active Learning)

การเรียนแบบถ่ายทอด (Transmitted) เป็น การชี้แนะ ให้คำปรึกษา (Mentoring)

4. Result Base Learning

ทุกคนควรมีความเป้าหมายของตัวเอง ตั้งแต่เริ่มเรียนเพราะ

จากเดิม เรียนทฤษฎี (Theory) เปลี่ยนเป็น การนำทฤษฎีมาปฏิบัติ (Theory in Practise)

จากการเรียนแบบฟังบรรยาย (Lecture) เปลี่ยนเป็น การทำโครงงานต่างๆ (Project/ Assignment/ Workshop)

จากเรียนให้จบครบตามหน่วยกิต (Completion Credit)  เปลี่ยนเป็น การเรียนเพื่อประสบความสำเร็จ (Achievement Credit)


 

เมื่อโลกเปลี่ยนแบบ Irreversible เราควรปรับตัวอย่างไร

1. เปลี่ยน Mindset

2. 21st Century Skill ที่สำคัญมี Critical Thinking skill, Collaborative, Communication, Creativity

ถ้าเรามีแต่ Physical Skill อาจตกงานได้ เพราะ AI ทำแทนเรา

เภสัชจะถูกกระทบด้วย 3D

1. Demonopolized Knowledge ไม่มีการผูกขาดความรู้ เพราะมีความรู้ใหม่ๆเสมอ

2. Demonopolized Information ไม่มีการผูกขาดข้อมูล คนไข้สร้าง community ในการพูดคุยกันเอง

3. Disruption Technology  เทคโนโลยีมามีบทบาทการรักษาโรคมากขึ้น

แต่ในทางกลับกันมีความท้าทายที่ต้องพัฒนาต่อไป คือ Reskill, Upskill และ Multi-skill ต้องสร้างคนที่เป็น Imagineering คือ สานฝันบนสิ่งที่ dynamic สามารถจินตนาการและ ถ่ายทอดออกมาได้

Innovate or die…………….ถ้าเราไม่เปลี่ยน โลกจะเปลี่ยนเรา

หมายเลขบันทึก: 717594เขียนเมื่อ 13 มีนาคม 2024 05:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มีนาคม 2024 05:59 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท