ชีวิตที่พอเพียง 4672. ฉันกำลังตาย


 

กิจกรรมในคอร์ส Living and Dying with Dignity ตามที่เล่าแล้ว ที่ (๑)  ()     มีกิจกรรมสำคัญอย่างหนึ่งคือเขียนเรียงความ    เรื่อง “ฉันกำลังตาย” เพื่อทำความเข้าใจรายละเอียดของประสบการณ์ของผู้ใกล้ตาย   ตอนตาย และหลังตาย (ยาวที่สุด ๔๙ วัน)   เรียงความของผมมีดังต่อไปนี้ 

ฉันกำลังตาย

วิจารณ์ พานิช

...........

ผมกำลังตาย จากโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดร้ายแรงมาก กระจายไปทั่วตัว    ผมอยากตายที่บ้านอย่างที่พ่อกับแม่เคยตายอย่างอบอุ่นที่บ้านในจังหวัดชุมพรท่ามกลางลูกๆ หลานๆ  และญาติมิตร     แต่บ้านของผมที่ปากเกร็ดเล็ก ไม่สะดวกหากจะมีญาติมิตรมาเยี่ยม   ผมจึงขอไปตายที่โรงพยาบาล ที่ยินดีให้บริการผม    เพราะในช่วงเวลากว่า ๒๐ ปีที่ผ่านมาผมทำงานให้โรงพยาบาลนี้มาก    ผู้บริหารโรงพยาบาลคุ้นเคยสนิทสนมกันดีมาก 

ผมอยู่บนเตียงในห้อง ๑๖๑๔ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช   สวมชุดสีฟ้าสำหรับผู้ป่วย    ลูกๆ ทั้ง ๔ คน มากันพร้อมหน้าที่ห้องพัก    ใต้ซึ่งบ้านอยู่ที่สิงคโปร์มาหลายวันแล้ว    ก่อนหน้านั้นน้องๆ หมอวิชัย อยู่ที่จังหวัดเชียงราย   หมอวิโรจน์อยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี   น้องวิชิต วิเชียร และวิจัย อยู่ที่จังหวัดชุมพร   หมุนเวียนกันมาเยี่ยม แต่ตอนนี้น้องๆ กลับบ้านกันไปหมดแล้ว    ลูกๆ สวมเสื้อผ้าชุดลำลองตามปกติของแต่ละคน      

ร่างกายของผมเริ่มไม่มีกำลัง หมดเรี่ยวแรง ไม่สามารถลุกขึ้นยืนตรง ถือของก็ไม่ได้  ไม่สามารถตั้งศีรษะได้   รู้สึกคล้ายกำลังตกลงมา จมลงใต้ดิน หรือถูกกดทับด้วยน้ำหนักมหาศาล   รู้สึกหนักอึ้งและไม่สบายไม่ว่าจะนอนท่าไหน   ผมขอให้พยาบาลประคองตัวผมขึ้น เอาหมอนหนุนศีรษะและคอ              

“แต้ว ต้อง ใต้ และตั้ม    พ่อคงจะตายในสองสามชั่วโมงนี้แล้ว   อาการที่พ่อรู้สึกช่างตรงกันที่พ่อเรียนมาจากอาจารย์ Victoria Subirana  ในคอร์ส Living and Dying with Dignity เสียเหลือเกิน    แค่พูดยาวๆ พ่อก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว    แค่ลืมตาก็ทำได้ยาก   ตอนนี้ตาเริ่มฝ้ามัวและเห็นไอแดดระยิบระยับที่เรียกว่า mirage”   

“พ่อ” ต้องพูดขึ้น “พ่ออยากกินอะไรบอกไว้ตอนนี้ได้   จะทำบุญส่งไปให้   หรือจะมาเข้าฝันบอกทีหลังก็ได้”

ตั้มเอ่ยขึ้นว่า “ผมทำพิธีส่งคนตายมาหลายคน   มาเจอพ่อของตัวเองรู้สึกงง   เพราะไม่เห็นว่าพ่อจะต้องการความช่วยเหลืออะไร    สงสัยได้ครูดี ตอนไปเข้า คอร์ส Living and Dying with Dignity   เมื่อปลายปี ๒๕๖๖”    

“พ่อภูมิใจในตัวลูกๆ ทุกคน  ที่เติบโตเป็นคนดีทำประโยชน์แก่สังคมมากมาย    เป็นที่ภูมิใจของพ่อและแม่ และวงศ์ตระกูล    และพ่อเชื่อว่าลูกๆ จะดูแลแม่ที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม ช่วยตัวเองไม่ได้   โดยดูแลดีไม่น้อยกว่าที่พ่อทำมาเกือบสิบปี”

ที่ดินของพ่อที่โคราช ๓ งาน ยังไม่ได้มอบให้ลูก    พ่อยกให้ตั้ม    โฉนดอยู่ในตู้เหล็กในห้องนอนชั้นบนของบ้าน (อารมณ์ที่ผูกพันกับสิ่งของ)  

  สีผิวของผมซีดเผือด แก้มตอบ  การลืมตาและหลับตาทำได้ยากขึ้น   รู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า   รู้สึกหงุดหงิดและมึนงง   ต่อมารู้สึกง่วง    ตอนนี้ผมหลับตา และบอกลูกๆ ว่า “พ่อเห็นไอแดดระยิบระยับ” (shimmering mirage) (ปราณเกี่ยวกับธาตุดินสลาย เข้าสู่ธาตุน้ำ)   

“ลูกช่วยเช็ดน้ำมูกและขึ้ตาให้พ่อหน่อย”  (running nose, didcharge feom the eyes)   ผมพูดด้วยความยากลำบาก เพราะลิ้นแข็ง    ผมรู้สึกแห้งในเบ้าตา    incontinent  ริมฝีปากแห้งแตกและขาดเลือด (lips drawn & bloodless)  ปากและลำคอรู้สึกเหนียวและมีสิ่งอุดตัน (sticky & clogged)    ช่องจมูกแคบลง (nostrils cave in)   เริ่มกระหายน้ำ (very thirsty) สั่นและกระตุก (tremble & twich)   กลิ่นแห่งความตายเริ่มอบอวลเหนือตัวผม (smell of death hangs overme)    “ขอน้ำดื่มหน่อย” ผมบอกลูกๆ    แต่เมื่อแต้วเอาแก้วน้ำยื่นให้ที่ปาก ผมก็ดื่มได้นิดเดียว    “กินอีกนิดซีพ่อ” ใต้พูด    แต่ผมส่ายหน้า   มีความรู้สึกสลับไปมาระหว่างเจ็บปวดกับสบาย  ร้อนกับหนาว   จิตใจเริ่มเลอะเลือน คับข้องใจ  หงุดหงิด  และตื่นตระหนก    ผมรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสได้ทำงานร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้แก่ประเทศได้อีกต่อไป (emotional body)    รู้สึกเหมือนถูกกระแสน้ำในมหาสมุทรพัดพา    ผมเริ่มเห็นภาพหมอกและควันพวยพุ่ง (haze with swirling wisps of smoke) (ธาตุน้ำกำลังแตกสลาย ธาตุไฟเข้าแทนที่)    

 ปากและจมูกของผมแห้งผาก    ร่างกายเย็นลง เริ่มจากปลายแขนและปลายเท้า   ลามเข้าสู่ลำตัวและหัวใจ  รู้สึกว่าลมหายใจที่ผ่านจมูกเย็นลง   ผมจำไม่ได้แล้วว่าคนที่นั่งล้อมรอบและจับมือจับขาผมเป็นใคร    มีบางคนกำลังพูดกับผม แต่เสียงและภาพสับสนปนเป   โดยที่ความสับสนและชัดเจนสลับกันไป    หวนไปคิดถึงการเป็นมะเร็ง ความทรมานที่ถ่ายปัสสาวะไม่ออกที่โคเปนฮาเกน  ความทรมานจากการถ่ายปัสสาวะไม่ออกหลายครั้งตอนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชตอนต้นปี ๒๕๖๖ (ความคิดเกี่ยวกับอวัยวะภายใน)    

แม้ว่าร่างกายของผมจะเย็นลง แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่บนกองเพลิง    มีเสียงแตกของไฟดังลั่น   ทั้งๆ ที่หลับตา ผมเห็นรูปประกายไฟสีแดงเต้นอยู่เหนือไฟในในที่โล่งคล้ายหิ่งห้อย (red sparks dancing like firefires) (ธาตุไฟกำลังแตกสลายกลายเป็นอากาศหรือลม)            

การหายใจของผมทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ    อากาศดูเหมือนจะเล็ดลอดผ่านลำคอ    ผมเริ่มรู้สึกระคายเคืองและหอบ    ลมหายใจเข้าเริ่มสั้นและติดขัด   ลมหายใจออกยาวขึ้น   ตาเกลือกขึ้นและขยับเขยื้อนไม่ได้    จิตใจเริ่มงุนงง  ไม่รู้เรื่องโลกภายนอก     ทุกอย่างเริ่มพร่าเลือน    จิตของผมหวนไปคิดถึงการติดบุหรี่ ตอนไปเรียนต่อที่อเมริกา   เมื่อกลับมาก็ยังสูบ   แต่เมื่อแต่งงานภรรยาบอกว่าเหม็นขอให้หยุด ผมก็หยุด (ความรู้สึกเกี่ยวกับการเสพติด)  ความรู้สึกสุดท้ายที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมภายนอกเลือนหายไป    

ทันใดนั้นผมเห็นพ่อมาทักทาย ต่อมาก็แม่    ผมดีใจมากเพราะไม่ได้พบพ่อมา ๒๐ ปี  ไม่ได้พบแม่มา ๑๐ ปี    พ่อบอกว่า “อ๊อต มาอยู่ด้วยกันนะ เตี่ยอยู่ทางนี้สบายดีมาก”  แม่บอกว่า “ตอนนี้แม่เจริญอาหารดีแล้ว” (แม่ของผมตายเพราะไม่ยอมกินอาหาร)   ปู่นั่งยิ้มอยู่บนพื้นกระดานหน้าบ้านเมือนอย่างที่ผมคุ้นเคยสมัยอายุ ๑๐ ขวบ    “ไอ้อ๊อต มานั่งคุยกัน    ถึงมึงจะขัดคอกู   กูก็จะไม่ฟ้องเตี่ยมึงอีกแล้ว”  ภาพเหล่านี้เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว   

ภาพหลอนอย่างอื่นเป็นเรื่องที่ผมทำงานวิจัยหามรุ่งหามค่ำสมัยอายุ ๒๗ - ๕๐ ปี   และหมออมราภรรยาโทรศัพท์ไปตามว่าตีสองแล้ว กลับบ้านได้แล้ว     ต่อมารู้สึกคล้ายมีลมพายุพัดโถมใส่ตัวผมจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง    และรู้สึกว่ามีดวงไฟสีแดงเกิดขึ้น (flaming torch with red glow)    ลมหายใจเฮือกสุดท้าย (last breath) ตามด้วยการหายใจออกสามเฮือก (3 long final outbreath) แล้วหยุดนิ่ง    ในที่สุดสัญญาณชีวิตของผมก็สูญหายไป (all vital signs are gone)  (ธาตุลมแตกสลาย)   

ผมรู้สึกว่า ตนเองออกมาลอยอยู่ข้างๆ ร่างของผม และกลุ่มลูกและหลาน    สักครู่ก็มีหมอมาตรวจ “ศพ” และยืนยันว่าผมตายแล้ว     แปลกมาก ที่ผมไม่รู้สึกผูกพันกับ “ร่าง” หรือ “ศพ” ของผมเลย    รู้สึกขอบคุณร่างกายที่ช่วยให้ผมดำรงชีวิตอุดมได้ถึง ๘๕ ปี    ที่เสียดายนิดๆ คืออายุของผมสั้นกว่าพ่อ ทั้งๆ ที่ตอนอายุ ๕๒ พ่อเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายและหัวใจวาย    แต่ด้วยความเป็นคนมีวินัยในตนเอง   พ่อปฏิบัติตัวดีมากจนอยู่ต่อมายาวนานและเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองเมื่ออายุ ๘๘ ย่าง ๘๙ ปี   ด้านแม่ไม่ต้องพูดถึง แม้แม่จะลาตายเมื่ออายุ ๕๐ เพราะเป็นเบาหวาน   แม่ก็อายุยืนยาว เสียชีวิตเพราะไม่ยอมกินอาหารเมื่ออายุ ๙๔ ย่าง ๙๕ ปี   ผมภูมิใจที่เป็นคนวางพื้นฐานการดูแลรักษาและปฏิบัติตัวให้แก่พ่อแม่    โดยให้ท่านไปตรวจร่างกายและรับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์สมัยที่ผมทำงานอยู่ที่นั่น   

รู้สึกว่ามีดวงไฟสีขาวเย็นเป็นประกายเคลื่อนจากกระหม่อมของร่าง มาที่หัวใจ    รู้สึกว่าฟ้าใสกระจ่างเหมือนคืนพระจันทร์เต็มดวง    ตัวเบาสบาย ไร้โทสะ   ความโกรธเกลียดที่เคยมีมาก่อน หายไปหมดสิ้น (๓๓)   รู้สึกว่ามองเห็นสัจธรรมของการดำรงชีวิต ๘๕ ปี อย่างทะลุปรุโปร่ง (Appearance)    ต่อมามีดวงไฟสีแดงจ้าและอุ่น เหมือนดวงอาทิตย์สาดส่องกลางฟ้าใส    จากใต้สะดือขึ้นมาที่หัวใจ    รู้สึกว่าตัวเบาสบาย ไร้โลภะ (๔๐) โดยสิ้นเชิง    ไม่รู้สึกอยากได้สิ่งใดๆ เลย (Increase)    ดวงสีขาวกับดวงสีแดงมาบรรจบกันที่หัวใจ    ผมอยู่ในความมืดสนิท  แต่ใจโปร่งโล่งสบาย ปราศจากความหลง (๗) (Full Attainment)

ตามมาด้วยฟ้าใสกระจ่างไร้เมฆหมอก   ผมไม่มีตัวตนอีกต่อไป    โลภะ โทสะ โมหะ หายไปหมดสิ้น   ทุกสิ่งที่คลุมเครือถูกปัดเป่าไปหมด     เพราะได้ไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ “พุทธะ”     ผมตั้งความหวังว่า ผมจะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป     

งานศพของผมจัดง่ายๆ ตามที่ผมสั่งไว้    ไม่มีการขอรับพระราชทานโกศหรือน้ำหลวงอาบศพอย่างได้ผู้ได้รับสายสะพายชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกเขาทำกัน    สวดเพียง ๓ คืนแล้วเผา     จัดงานสวดที่วัดชลประทานฯ ใกล้บ้าน    มีคนมางานแน่นห้อง ล้นออกมานอกห้อง    เรางดรับพวงหรีด แต่ก็มีคนเอาพัดลมทำเป็นพวงหรีดมาเคารพศพหลายชิ้น   ที่ลูกๆ จัดการถวายวัดไป         

ผมเชื่อว่า ผู้คนจะจดจำความเป็นคนง่ายๆ   ซื่อสัตย์สุจริต   รักการเรียนรู้   และมุ่งทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของผม

........................

 

หมายเลขบันทึก: 717470เขียนเมื่อ 3 มีนาคม 2024 18:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 มีนาคม 2024 18:09 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

There is not a ‘more accurate’ (than just ‘like’) category that I can ‘tick’ (in Gotoknow). My tick on ‘like’ is for ‘positive appreciation’ in ‘imaging’ on death (that most people would find distasteful). Acceptance of death as inevitable in a matter-of-fact (dhammic) manner is very difficult to clarify. [For me, I want to know more and close-up, but I do not want to get so near and experience it now. To me ‘death’ is still ‘a mythical barrier’. I can go pass it anytime, but I cannot see the other side. Can I see back? Can I return? –All the mysteries of death.]

I had a vague idea that ‘life’ like heat, light and sound (all ‘low grade’ energy) once ‘out of containment’ (in dhammic word ‘attachment’) disperses in all directions and continues on in the universe (of continuum). Light energy can now be captured and converted to other forms of energy. Can (some parts of) life be captured and constrained in a body again? –Pure speculation.

เห็นภาพกระบวนการและผลลัพธ์ของการตาย ที่อาจารย์ได้อธิบาย เป็นสิ่งที่เคยอย่ากรู้ว่า คนที่กำลังจะจากไปเป็นอย่างไร

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท