รุกขธัมมชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๔. รุกขธัมมชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๗๔)
ว่าด้วยธรรมสำหรับต้นไม้
(พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่เหล่าเทวดาว่า)
[๗๔] ญาติยิ่งมีมากยิ่งดี แม้ต้นไม้ที่เกิดในป่ายิ่งมีมากก็ยิ่งดี ต้นไม้ที่ยืนต้นอยู่โดดเดี่ยว ถึงจะใหญ่โต ลมย่อมพัดให้หักโค่นได้
รุกขธัมมชาดกที่ ๔ จบ
----------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
เอกกนิบาตชาดก วรุณวรรค
๔. รุกขธรรมชาดก ว่าด้วยต้นไม้โดดเดี่ยวย่อมแพ้ลม
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงทราบความพินาศใหญ่กำลังจะเกิดแก่พระญาติทั้งหลายของพระองค์ เพราะทะเลาะกันเรื่องน้ำ ก็เสด็จเหาะไปในอากาศ ประทับนั่งโดยบัลลังก์ เบื้องบนแม่น้ำโรหิณี ทรงเปล่งรัศมีสีขาบให้พระญาติทั้งหลายสลดพระทัย แล้วเสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่ง ณ ฝั่งแม่น้ำ ทรงปรารภการทะเลาะนั้น ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ในชาดกที่ยกมานี้เป็นสังเขปนัย ส่วนวิตถานัยจักปรากฏแจ้งใน กุณาลชาดก
ก็และในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสเรียกพระญาติทั้งหลายมาตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้นามว่าเป็นญาติกัน ควรจะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกัน เพราะว่าเมื่อพระญาติทั้งหลายยังสามัคคีกันอยู่ หมู่ปัจจามิตรย่อมไม่ได้โอกาส อย่าว่าแต่หมู่มนุษย์เลย แม้ต้นไม้ทั้งหลายอันหาเจตนามิได้ ยังควรจะได้ความสามัคคีกัน เพราะในอดีตกาลที่หิมวันตประเทศ มหาวาตภัยรุกรานป่ารัง แต่เพราะป่ารังนั้นเกี่ยวประสานกันและกันแน่นขนัดไปด้วยลำต้น กอพุ่มและลดาวัลย์ ไม่อาจจะให้ต้นไม้แม้ต้นเดียวโค่นลงได้ พัดผ่านไปตามยอดๆ เท่านั้น แต่ได้พัดเอาไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่บนเนิน แม้จะสมบูรณ์ด้วยกิ่งก้านค่าคบไม้ล้มลงที่พื้นดิน ถอนรากถอนโคนขึ้น เพราะไม่เกี่ยวประสานกันกับต้นไม้อื่นๆ ด้วยเหตุนี้ จึงควรที่พวกท่านทั้งหลายจะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกัน
อันพระญาติเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ท้าวเวสวรรณมหาราชที่ทรงอุบัติพระองค์แรกจุติ ท้าวสักกะทรงตั้งท้าวเวสสวรรณองค์ใหม่ ในคราวเปลี่ยนแปลงท้าวเวสสวรรณนี้ ท้าวเวสสวรรณองค์หลัง ส่งข่าวไปแก่หมู่เทพยดาว่า จงจับจองต้นไม้ กอไผ่ พุ่มไม้ และลดาวัลย์ เป็นวิมานในสถานที่อันพอใจแห่งตนๆ เถิด.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดา ณ ป่ารังแห่งหนึ่ง ในหิมวันตประเทศ ทรงประกาศบอกเทพที่เป็นหมู่ญาติว่า เมื่อท่านทั้งหลายจะจับจองวิมาน จงอย่าจับจองที่ต้นไม้อันตั้งอยู่บนเนิน แต่จงจับจองวิมานที่ต้นไม้ตั้งล้อมรอบวิมานที่เราจับจองแล้วในป่ารังนี้เถิด. บรรดาเทวดาเหล่านั้น พวกที่เป็นบัณฑิตก็กระทำตามคำของพระโพธิสัตว์ จับจองวิมานต้นไม้ที่ตั้งล้อมวิมานของพระโพธิสัตว์ ฝ่ายพวกที่มิใช่บัณฑิตต่างพูดกันว่า พวกเราจะต้องการอะไรด้วยวิมานในป่า จงพากันจับจองวิมานที่ประตูบ้าน นิคมและราชธานี ในถิ่นมนุษย์กันเถิด ด้วยว่าพวกเทวดาที่อยู่อาศัยบ้านเป็นต้น ย่อมประสบลาภอันเลิศ และยศอันเลิศ แล้วพากันจับจองวิมานที่ต้นไม้ใหญ่ๆ อันเกิด ณ ที่อันเป็นเนินในถิ่นมนุษย์.
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เกิดลมฝนใหญ่แม้ถึงต้นไม้ที่ใหญ่ๆ ในป่า มีรากมั่นคง ต่างมีกิ่งก้าน ค่าคบ หักล้มระเนระนาดทั้งรากทั้งโคน เพราะโต้ลมเกินไป. แต่พอถึงป่ารัง ซึ่งตั้งอยู่ชิดติดต่อกัน ถึงจะพัดกระหน่ำ ทุกๆ ด้านไม่สร่างซา ก็ไม่อาจทำให้ต้นไม้ล้มได้สักต้นเดียว. หมู่เทวดาที่มีวิมานหักต่างก็ไม่มีที่พำนัก พากันจูงมือเด็กๆ ไปป่าหิมพานต์ แจ้งเรื่องราวของตนแก่เทวดาผู้อยู่ในป่ารัง เทวดาเหล่านั้นก็พากันบอกเรื่องที่พวกเหล่านั้นพากันกระเซอะกระเซิงมาแด่พระโพธิสัตว์.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า ผู้ที่ไม่เชื่อถือถ้อยคำของหมู่บัณฑิต แล้วพากันไปสู่สถานที่อันหาปัจจัยมิได้ ย่อมเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เมื่อจะแสดงธรรม จึงกล่าวคาถาความว่า :-
"หมู่ญาติยิ่งมีมากได้ยิ่งดี แม้ถึงไม้เกิดในป่า เป็นหมวดหมู่ได้เป็นดี (เพราะ) ต้นไม้ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว แม้จะใหญ่โตเป็นเจ้าป่า ย่อมถูกลมแรงโค่นได้" ดังนี้
พระโพธิสัตว์บอกกล่าวเหตุนี้ เมื่อสิ้นอายุ ก็ไปตามยถากรรม.
แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย หมู่ญาติควรจะต้องได้ความสามัคคีกันก่อนอย่างนี้ทีเดียว เพราะเหตุนั้น ท่านทั้งหลายจงสมัครสมานปรองดองกัน อยู่กันด้วยความรักใคร่กลมเกลียวกันเถิด
ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ฝูงเทพในครั้งนั้นได้มาเป็นพุทธบริษัท
ส่วนเทวดาผู้เป็นบัณฑิตได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถารุกขธัมมชาดกที่ ๔
-----------------------------------------------------
ไม่มีความเห็น