วานรินทชาดก


ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ สัจจะ ธรรม ธิติ และจาคะ มีแก่บุคคลใด บุคคลนั้นย่อมพ้นศัตรูไปได้

วานรินทชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๗. วานรินทชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๕๗)

ว่าด้วยพญาวานรพ้นศัตรู

             (จระเข้กล่าวถึงบุคคลที่ประกอบด้วยคุณธรรม ๔ ประการ จึงปราบศัตรูได้ว่า)

             [๕๗] พญาวานร ผู้ใดมีธรรม ๔ ประการนี้ คือ (๑) สัจจะ (๒) ธรรมะ (๓) ธิติ (๔) จาคะ (สัจจะ หมายถึงวจีสัจจะ (พูดจริง) ธรรมะ หมายถึงปัญญาที่ใช้พิจารณาเหตุผล ธิติ หมายถึงความเพียรไม่ย่อหย่อนไม่ขาดตอน จาคะ หมายถึงสละตน) เช่นกับท่าน ผู้นั้นย่อมครอบงำศัตรูที่ตนพบเห็นได้

วานรินทชาดกที่ ๗ จบ

---------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

เอกกนิบาตชาดก อาสิงสวรรค

๗. วานรินทชาดก ว่าด้วยธรรมของผู้ล่วงพ้นศัตรู

 

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภความตะเกียกตะกายขวนขวายเพื่อการฆ่าของพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงสดับข่าวว่า พระเทวทัตกำลังตะเกียกตะกายเพื่อปลงพระชนม์ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อฆ่าเรา แม้ในกาลก่อน ก็เคยตะเกียกตะกายแล้วเหมือนกัน แต่ไม่อาจกระทำเหตุเพียงความสะดุ้งแก่เราได้เลย.
               แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ 
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระบี่ ครั้นเจริญวัย มีร่างกายเติบโตขนาดลูกม้า สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง เที่ยวไปตามแนวฝั่งน้ำลำพังผู้เดียว. ก็กลางแม่น้ำนั้น มีเกาะแห่งหนึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้อันมีผลนานาชนิด มีมะม่วงและขนุนเป็นต้น. พระโพธิสัตว์มีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง โจนจากฝั่งแม่น้ำข้างนี้แล้ว ก็ไปพักที่หินดาดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอยู่กลางลำน้ำระหว่างฝั่งแห่งเกาะ โจนจากแผ่นหินนั้นแล้วก็ขึ้นเกาะนั้นได้ ขบเคี้ยวผลไม้ต่างๆ บนเกาะนั้น. พอเวลาเย็นก็กระโดดกลับมาด้วยอุบายนั้น กลับที่อยู่ของตน. ครั้นวันรุ่งขึ้นก็กระทำเช่นนั้นอีก พำนักอยู่ในสถานที่นั้นโดยนิยามนี้แล.
               ก็ในครั้งนั้น มีจระเข้ตัวหนึ่งพร้อมกับเมียอาศัยอยู่ในน่านน้ำนั้น. เมียของมันเห็นพระโพธิสัตว์โดดไปโดดมา เกิดแพ้ท้องต้องการกินเนื้อหัวใจของพระโพธิสัตว์ จึงพูดกะจระเข้ผู้ผัวว่า ทูลหัว ฉันเกิดแพ้ท้องต้องการกินเนื้อหัวใจของพานรินท์นี้.
               จระเข้ผู้ผัวกล่าวว่า ได้ซี่เธอจ๋า เธอจะต้องได้. แล้วพูดต่อไปว่า วันนี้พี่จะคอยจ้องจับ เมื่อมันกลับมาจากเกาะในเวลาเย็น. แล้วไปนอนคอยเหนือแผ่นหิน.
               พระโพธิสัตว์เที่ยวไปทั้งวัน ครั้นเวลาเย็น ก็หยุดยืนอยู่ที่ชายเกาะมองดูแผ่นหิน แล้วดำริว่า บัดนี้แผ่นหินนี้สูงกว่าเก่า เป็นเพราะเหตุอะไรหนอ?
               ได้ยินว่า ประมาณของน้ำและประมาณของแผ่นหิน พระโพธิสัตว์กำหนดไว้เป็นอย่างดีทีเดียว ด้วยเหตุนั้น จึงมีวิตกว่าวันนี้ก็ไม่ลงและไม่ขึ้นเลย ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ หินนี้ดูใหญ่โตขึ้น จระเข้มันนอนคอยจับเราอยู่บนแผ่นหินนั้นบ้างกระมัง.
               พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักทดสอบดูก่อน คงยืนอยู่ตรงนั้นแหละทำเป็นพูดกะหิน พลางกล่าวว่า แผ่นหินผู้เจริญ ยังไม่ได้รับคำตอบ ก็กล่าวว่า หินๆ ถึง ๓ ครั้ง หินจักให้คำตอบได้อย่างไร?
               วานรคงพูดกะหินซ้ำอีกว่า แผ่นหินผู้เจริญ เป็นอย่างไรเล่า วันนี้จึงไม่ตอบรับข้าพเจ้า.
               จระเข้ฟังแล้วคิดว่า ในวันอื่นๆ แผ่นหินนี้คงให้คำตอบแก่พานรินทร์แล้วเป็นแน่ บัดนี้เราจะให้คำตอบแก่เขา พลางกล่าวว่า อะไรหรือพานรินทร์ผู้เจริญ.
               พระโพธิสัตว์ถามว่า เจ้าเป็นใคร?
               เราเป็นจระเข้.
               เจ้ามานอนที่นี่ เพื่อต้องการอะไร ?
               เพื่อต้องการเนื้อหัวใจของท่าน.
               พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราไม่มีทางไปทางอื่น วันนี้ต้องลวงจระเข้ตัวนี้. ครั้นคิดแล้ว จึงพูดกะมันอย่างนี้ว่า จระเข้สหายรักเราจะตัดใจสละร่างกายให้ท่าน ท่านจงอ้าปากคอยงับเราในเวลาที่เราถึงตัวท่าน. เพราะหลักธรรมดามีอยู่ว่า เมื่อจระเข้อ้าปากนัยน์ตาทั้งสองข้างก็จะหลับ. จระเข้ไม่ทันกำหนดเหตุ(อันเป็นหลักธรรมดา) นั้นก็อ้าปากคอย. ทีนั้น นัยน์ตาของมันก็ปิด. มันจึงนอนอ้าปากหลับตารอ.
               พระโพธิสัตว์รู้สภาพเช่นนั้น ก็เผ่นไปจากเกาะเหยียบหัวจระเข้ แล้วโดดจากหัวจระเข้ไปยังฝั่งตรงข้ามเร็วเหมือนฟ้าแลบ.
               จระเข้เห็นเหตุอัศจรรย์นั้น คิดว่า พานรินทร์นี้กระทำการน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก พลางพูดว่า พานรินทร์ผู้เจริญ ในโลกนี้บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมครอบงำศัตรูได้ ธรรมเหล่านั้น ชะรอยจะมีภายในของท่านครบทุกอย่าง.
               แล้วกล่าวคาถานี้ ใจความว่า 
               พานรินทร์ ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ สัจจะ ธรรม ธิติ และจาคะ มีแก่บุคคลใด เหมือนมีแก่ท่าน บุคคลนั้นย่อมพ้นศัตรูไปได้ ดังนี้.

               จระเข้สรรเสริญพระโพธิสัตว์อย่างนี้แล้ว ก็ไปที่อยู่ของตน.
               แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัต มิใช่เพื่อจะตะเกียกตะกายจะฆ่าเรา ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ตะเกียกตะกายเหมือนกัน ดังนี้.
               แล้วทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา สืบอนุสนธิ ประชุมชาดก ว่า
               จระเข้ในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเทวทัต ในครั้งนี้
               เมียของจระเข้ได้มาเป็น นางจิญจมาณวิกา
               ส่วนพานรินทร์ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               -----------------------------------------------------

 

หมายเลขบันทึก: 716496เขียนเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2023 05:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2023 05:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท