ผมได้ไปร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "การทบทวนกลยุทธ์และการจัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่การจัดการคุณค่า" ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-15 พ.ย. 2548 การประชุมวันแรกเป็นการทำความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐตามแนวทางของ ก.พ.ร. และวันที่สองเป็น Workshop เพื่อให้ผู้บริหารได้ทบทวนเป้าหมาย กลยุทธ์ และตัวชี้วัดของปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 เพื่อให้เข้ากับหลักการของ ก.พ.ร.
ในตอนแรกที่ได้รับการติดต่อให้บรรยายเรื่อง KM ในการประชุมช่วงบ่ายวันแรก (14 พ.ย.) นั้น ผมได้ปฏิเสธไป เพราะนโยบายของ สคส. นั้น ไม่เน้นการบรรยาย แต่เน้น Learning by Doing คือทำจริงเลย เป็นการทำไปเรียนไป ไม่ต้องมาบรรยายให้เสียเวลา หลังจากปฏิเสธไปได้ไม่กี่วันก็ได้รับโทรศัพท์จากท่านอาจารย์สุวมาลย์ อธิบายรายละเอียดและความสำคัญของการประชุมในวันแรกนี้ว่าเป็นเวทีที่สำคัญมากสำหรับสวนดุสิต เพราะผู้บริหารจะต้องนำสิ่งที่ได้รับฟังไปใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อทบทวนกลยุทธ์ จัดกระบวนการ และวางแผนการบริหาร ให้เป็นไปตามแนวทาง TQA ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องทำนองเดียวกันกับ TQM และ Malcolm Baldrige ที่ผมเคยพูดไว้ที่สวนดุสิตเมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว เมื่อครั้งที่ไปช่วยสวนดุสิตทำ ISO 9000
หลังจากที่ผมได้ทราบรายละเอียดของงานวันแรกว่า ทางสวนดุสิตได้เรียนเชิญท่านศาสตรจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อาวุธ ศรีศุกรี และคุณพรทิทย์ กาญจนนิยต มาบรรยายในช่วงเช้า เรื่อง "หลักเกณฑ์การบริหารจัดการภาครัฐ ตามแนวทางของ Malcolm Baldrige Nation Quality Award" และท่านอธิการบดี ผศ. ศิโรจน์ ผลพันธิน จะมาเปิดงานและบรรยายพิเศษเรื่อง "การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ" ก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจของผมง่ายขึ้น เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่นิยมชมชื่นในวิสัยทัศน์และภาวะผู้นำของท่านอธิการศิโรจน์อยู่แล้ว ..ถือเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้ฟังการบรรยายของท่าน นอกจากนั้นผมก็อยากจะฟังท่านอาจารย์หมออาวุธ เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงท่านมานานแล้ว อีกทั้งคุณพรทิพย์ ก็เป็นกัลยาณมิตรที่ผมนิยมชมชื่นอีกคนหนึ่ง ท่านมักจะมีอะไรดีๆส่งมาทาง e-mail ให้ผมได้เรียนรู้อยู่เสมอ อีกทั้งยังมีผู้กล่าวขานอีกด้วยว่าท่านเป็นผู้บรรยายเรื่องคุณภาพได้ดีที่สุดผู้หนึ่งในเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการศึกษาซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านสนใจและทุ่มเทมาโดยตลอด งานนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่ผมจะได้รับฟังท่านทั้งสามก่อนที่จะถึง Session การบรรยายของผม
ท่านอธิการศิโรจน์ ได้เริ่มด้วยเรื่องวิสัยทัศน์ว่า ".... การมองอนาคตนั้น ไม่ใช่ยืนอยู่ตรงปัจจุบันแล้วมองไปที่อนาคต... จะต้องยืนไปไกลกว่าอนาคต (Beyond Future) แล้วมองย้อนกลับมาจึงจะถูก..... " ในเรื่องกระบวนการ ท่านได้พูดย้ำกับผู้บริหารว่า "สวนดุสิตต้องคิดกระบวนการที่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่น มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจได้เปรียบสวนดุสิต ตรงที่ตัว Input หรือ นักศึกษาที่ได้มานั้นมีความพร้อมมากกว่านักศึกษาของสวนดุสิต สำหรับมหาวิทยาลัยเหล่านั้น กระบวนการธรรมดาๆ ก็อาจจะ O.K. แต่สวนดุสิตต้องคิดเรื่องการจัดกระบวนการมากยิ่งกว่า ต้องคิดด้วยว่าจะทำอย่างไรบัณฑิตของเราจึงจะแตกต่าง ต้องคิดแม้กระทั่งเรื่องบุคคลิกภาพ กระบวนการที่เราทำต้องแตกต่าง จะต้องไม่ผูกติดกับกระบวนการเดิมๆ ต้องถามตัวเองเสมอว่าที่ทำอยู่นี้ จำเป็นหรือไม่ ทำไมเอกสารบางฉบับต้องลงนามตั้งหลายที่ มีความจะเป็นหรือไม่ เปลี่ยนแปลงได้ไหม จะต้องไม่พึงพอใจในสิ่งเดิมๆ เช่น การทำ Video Conference ถึงคนอื่นจะมองว่าสวนดุสิตทำได้ดี แต่เราก็น่าจะคิดอะไรๆ ที่ดียิ่งขึ้น เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้มากขึ้น เช่น ทำเป็นระบบ Video on Demand ...." นอกจากนั้นท่านยังได้กล่าวถึงเรื่องพลังความคิดสร้างสรรค์ พลังจินตนาการ ซึ่งมาจากการพัฒนาสมองฝั่งขวา และกล่าวว่าระบบการศึกษาส่วนใหญ่มักไม่ได้เน้น นักศึกษาใช้สมองเพียงฝั่งเดียว ทำอย่างไรนักศึกษา และอาจารย์ จึงจะสามารถใช้สมองได้ทั้งสองฝั่ง นอกจากนั้นท่านยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ การทำ Brand การสร้างระบบคุณธรรม จริยธรรม .... นับได้ว่าเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มที่อัดแน่นด้วยคุณค่าจริงๆครับ
ใน Session ถัดมา ท่านอาจารย์หมออาวุธได้อธิบายเกณฑ์ของ Malcolm Baldrige โดยเริ่มต้นด้วยการอธิบายหลักการทำ Benchmarking ท่านได้พูดถึง Core Values and Concepts ที่จะนำไปสู่ Performance Excellence ได้พูดถึงเกณฑ์การให้คะแนนในหมวดต่างๆทั้ง 7 หมวด รวมไปถึงแนวทางการทำ Self Analysis หลังจากนั้นคุณพรทิพย์ ก็ได้นำเสนอมุมมองเชิงระบบ เพื่อให้เห็นความสำคัญของการเชื่อมโยงค่านิยมหลัก กับ เกณฑ์ทั้ง 7 หมวด โดยได้ชี้ให้เห็นส่วนประกอบพื้นฐาที่สำคัญ อาทิเช่น โครงร่างองค์กร ระบบปฏิบัติการ และระบบสนับสนุน โดยได้ยกตัวอย่างเพื่อสร้างความเข้าใจในเกณฑ์ทั้ง 7 หมวด คุณพรทิพย์ ได้เกริ่นนำถึงการจัดการความรู้ว่าเชื่อมโยงกับเกณฑ์ในหมวดอื่นๆ อย่างไร ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ฟังพัฒนากระบวนทัศน์ใหม่ในเรื่อง "ความเชื่อมโยง" ได้อย่างดียิ่ง โดยที่คุณพรทิทย์ ได้พยายามเน้นให้เห็นถึงเรื่อง Alignment และยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน
ในช่วงบ่ายหลังจากที่ได้อภิปราย - ซักถามเรื่องหลักเกณฑ์ต่างๆ จนเป็นที่พอใจแล้ว ผมก็ได้เริ่มบรรยายเรื่องการจัดการความรู้ โดยเริ่มท้าวความจากประเด็นเรื่อง "ความเป็นเลิศ" ว่าเท่าที่ฟังกันมา ทุกคนคงจะเห็นชัดแล้วว่าเรากำลังพูดกันถึงเรื่อง Performance Excellence และ Organizational Excellence ซึ่งในการบรรยายวันนี้ ผมได้ลำดับเรื่องที่พูดไว้เป็น 3 หัวข้อ หรือ 3 M's ดังนี้: M ตัวแรก คือ Measurement จะได้ไม่พูดคำว่า Excellence แบบลอยๆ แต่จะมีการวัด เพื่อให้รู้ชัดว่าที่เรียกว่า Excellence นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเมื่อพูดถึงการวัด ก็จะต้องโยงไป M ตัวที่ 2 คือ Model ที่ใช้ ซึ่งก็คือ Model TQA ของ ก.พ.ร. นั่นเอง สำหรับ M ตัวที่สาม ที่ผมจะขอลงรายละเอียดมากหน่อยก็คือ คำว่า Management โดยที่ผมได้อธิบายให้เห็นว่า KM จะทำให้สิ่งที่มุ่งหวังไว้ ซึ่งในที่นี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นเลิศ นี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ผมได้ชี้ให้เห็นถึงขั้นตอนการจัดการความรู้ทั้งส่วนที่เป็น Explicit และ Tacit ตลอดจนยกตัวอย่าง Technology แบบง่ายๆ เช่น การใช้ Blog ว่ามีส่วนช่วยเกื้อหนุน และหมุนความรู้ที่อยู่ในตัวคนได้อย่างไรบ้าง พร้อมทั้งเชิญชวนให้ผู้บริหารทุกท่านเปิด Blog และลองสร้างชุมชน หรือ CoPs ในเรื่องต่างๆขึ้นมา
หลังจากที่ผมบรรยายจบ ก็ได้มีการซักถามและอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง เป็นประเด็นที่ทำให้เห็นว่าคนสวนดุสิตเป็นนักปฏิบัติ และ KM ก็เป็นเรื่องที่เน้นการปฏิบัติ ...ผมคิดเองว่าน่าจะถูกจริตกับคนสวนดุสิต (แต่ผมอาจจะคิดผิดก็ได้) สิ่งที่ทำให้ผมดีใจเป็นอย่างยิ่ง ก็คือตอนสุดท้ายตอนที่ท่านอาจารย์สุวมาลย์ (ซึ่งผมเข้าใจว่าท่านเป็นเจ้าภาพจัดงานในสองวันนี้) กล่าวปิดท้ายว่า การเรียนรู้ที่ได้ในวันนี้ ทำให้ท่าน "ปิ๊งไอเดีย" ว่ารูปแบบของ Workshop ในวันรุ่งขึ้น น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้ Plan ไว้เดิม คือท่านจะให้ผู้บริหารทุกท่านที่เข้าร่วม Workshop เล่นบทบาท "คุณกิจ" และจะนำกระบวนการ KM มาใช้เพื่อให้เกิดการ "Sharing" เพื่อให้ได้มาซึ่ง "หัวปลา" ที่จะนำพามหาวิทยาลัยไปสู่ความเป็นเลิศต่อไป.... ฟังแล้วน่าชื่นใจมากครับ .....ทำแล้วได้ผลเป็นอย่างไร อย่าลืม Share ผ่าน Blog ให้ผมฟังบ้างก็แล้วกัน.... ข้อสำคัญต้องอย่าย่อท้อนะครับ เพราะการทำ KM นั้น "ไม่มีสูตรสำเร็จ" ผมแนะนำได้ ก็แค่แนวทาง และการใช้เครื่องมือบางตัว .... ต้องทำไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ครับ จึงจะแตกฉาน และได้ "KM แบบธรรมชาติ" ตามที่ทางสวนดุสิตต้องการ.... ผมขอเอาใจช่วยครับ