การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๑๐ เวสสันตรจริยา


เรากับบรรดาพระญาติของเราออกจากป่าใหญ่ เข้าสู่กรุงเชตุดร แก้ว ๗ ประการตกลงมา มหาเมฆทำฝนให้ตก แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหวแล้ว แม้แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจ ไม่รู้สุขและทุกข์ ก็ไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะกำลังแห่งทานของเรา

การบำเพ็ญบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตอนที่ ๑๐ เวสสันตรจริยา

พลตรี มารวย  ส่งทานินทร์

๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖

เกริ่นนำ

            เรากับบรรดาพระญาติของเราออกจากป่าใหญ่ เข้าสู่กรุงเชตุดร ซึ่งเป็นนครที่น่ารื่นรมย์ แก้ว ๗ ประการตกลงมา มหาเมฆทำฝนให้ตก แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหวแล้ว แม้แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจ ไม่รู้สุขและทุกข์ ก็ไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะกำลังแห่งทานของเรา ฉะนี้แล

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก

 

๙. เวสสันตรจริยา

ว่าด้วยพระจริยาของพระเวสสันดร

 

             [๖๗]   นางกษัตริย์พระนามว่าผุสดีพระชนนีของเรา เป็นพระมเหสีที่รักของท้าวสักกะ ในอดีตชาติ

             [๖๘]   ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบว่าพระนางจะสิ้นอายุ จึงตรัสดังนี้ว่า ‘นางผู้เจริญ เราจะให้พร ๑๐ ประการ (พร ๑๐ ประการ คือ (๑) ขอให้ได้เป็นพระมเหสีของพระองค์ทุกชาติ (๒) ขอให้มีพระเนตรสีเขียว (๓) ขอให้มีพระโขนงสีเขียว (๔) ขอให้มีนามว่าผุสดี (๕) ขอให้ได้บุตรที่ประกอบด้วยคุณ (๖) ตั้งครรภ์มีอุทรไม่นูนขึ้น (๗) มีถันไม่ยาน (๘) ผมไม่หงอก (๙) มีผิวละเอียด (๑๐) ไม่เป็นหมัน) ที่เธอปรารถนาแก่เธอ’

             [๖๙]   พอท้าวสักกะตรัสอย่างนั้นแล้ว พระเทวีนั้นได้ทูลท้าวสักกะดังนี้ว่า หม่อมฉันมีความผิดอะไรหนอ หม่อมฉันเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับพระองค์หรือหนอ พระองค์จึงจะให้หม่อมฉันเคลื่อนจากสถานอันน่ารื่นรมย์ เหมือนลมพัดต้นไม้ให้หวั่นไหว

             [๗๐]   ท้าวสักกะนั้นเมื่อพระนางผุสดีตรัสอย่างนี้ ก็ได้ตรัสกะพระนางดังนี้อีกว่า ‘เธอไม่ได้ทำความชั่วเลย และเธอจะไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่

             [๗๑]   แต่อายุของเธอมีประมาณเท่านี้เอง เวลานี้จักเป็นเวลาที่เธอต้องจุติ เธอจงรับพร ๑๐ ประการอันประเสริฐสุดที่เราจะให้’

             [๗๒]   พระนางผุสดีนั้น รับพรที่ท้าวสักกะประทานแล้ว ร่าเริงยินดีปราโมทย์เลือกพร ๑๐ ประการ รวมเราไว้ด้วย

             [๗๓]   พระนางผุสดีนั้น จุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นแล้ว มาบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ ได้สมาคมกับพระเจ้ากรุงสญชัย(เป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัย) ในกรุงเชตุดร

             [๗๔]   ในกาลที่เราลงสู่พระครรภ์ของพระนางผุสดีพระมารดาที่รัก ด้วยเดชของเรา พระมารดาของเราเป็นผู้ยินดีในทานทุกเมื่อ

             [๗๕]   คนไม่มีทรัพย์ คนป่วยไข้(กระสับกระส่าย) คนแก่ ยาจก คนเดินทาง สมณะ พราหมณ์ คนสิ้นเนื้อประดาตัว คนไม่มีอะไรเลย พระนางก็ให้ทาน

             [๗๖]   พระนางผุสดีทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน เมื่อพระเจ้าสัญชัยทรงทำประทักษิณพระนคร พระนางก็ประสูติเราที่ท่ามกลางถนนของคนค้าขาย

             [๗๗]    ชื่อของเราจึงไม่เนื่องข้างฝ่ายพระมารดา และไม่เนื่องข้างฝ่ายพระบิดา เพราะเราเกิดที่ถนนของคนค้าขายนี้ เพราะฉะนั้น เราจึงมีนามว่าพระเวสสันดร

             [๗๘]    ในกาลที่เราเป็นทารกอายุได้ ๘ ขวบแต่กำเนิด นั่งอยู่ในปราสาทคิดจะให้ทานว่า

             [๗๙]    เราพึงประกาศให้หัวใจ นัยน์ตา แม้กระทั่งเนื้อและเลือด พึงให้ทั้งกาย ถ้าใครจะพึงขอกับเรา

             [๘๐]    เมื่อเราคิดถึงความเป็นจริง จิตของเราก็ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ในขณะนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหว

             [๘๑]    ในเดือนเต็มวันอุโบสถที่ ๑๕ ทุกกึ่งเดือน เราขึ้นคอมงคลหัตถีปัจจัยนาค เข้าไปยังศาลาเพื่อจะให้ทาน

             [๘๒]    พราหมณ์ทั้งหลายชาวแคว้นกาลิงคะได้เข้ามาหาเรา ได้ขอพญาคชสารซึ่งประกอบด้วยธัญลักษณะ สมบูรณ์ด้วยมงคลกับเราว่า

             [๘๓]    “ชนบทฝนไม่ตกเลย เกิดทุพภิกขภัยอดอยากมาก ขอพระองค์โปรดพระราชทานพญาคชสาร ตัวประเสริฐเผือกผ่อง ซึ่งเป็นช้างอุดมมงคลด้วยเถิด”

             [๘๔]     พราหมณ์ทั้งหลายขอสิ่งใดกับเรา เราจะให้สิ่งนั้นไม่หวั่นไหวเลย เราไม่ซ่อนเร้นของที่มีอยู่ ใจของเรายินดีในทาน

             [๘๕]   เมื่อยาจกมาถึงแล้ว การห้าม(การไม่ให้) ไม่สมควรแก่เรา กุศลสมาทานของเราอย่าได้เสียหายเลย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ

             [๘๖]    เราได้จับงวงพญาคชสารวางบนมือพราหมณ์แล้ว จึงหลั่งน้ำในเต้าทองลงบนมือ ได้ให้พญาคชสารแก่พวกพราหมณ์

             [๘๗]    อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเราให้พญาคชสารที่อุดมเผือกผ่อง แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหวอีก

             [๘๘]    เพราะเราให้พญาคชสารนั้น ชาวกรุงสีพีจึงพากันโกรธเคือง มาประชุมกันแล้ว ขับไล่เราจากแว่นแคว้นของตนว่า จงไปยังภูเขาวงกต

             [๘๙]    เมื่อชาวนครเหล่านั้นกลับไป จิตของเราตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เราได้ขอพรอย่างหนึ่งเพื่อจะบำเพ็ญมหาทาน

             [๙๐]    เราขอแล้ว ชาวกรุงสีพีทั้งหมดได้ให้พรอย่างหนึ่งแก่เรา เราจึงให้นำกลองคู่หนึ่งไปตีประกาศว่า เราจะบริจาคมหาทาน

             [๙๑]    เสียงดังกึกก้องอึงมี่น่าหวาดกลัวย่อมเป็นไปในโรงทานนั้นว่า ชาวกรุงสีพีขับไล่พระเวสสันดรนี้เพราะทาน เรายังจะให้ทานอีกหรือ

             [๙๒]     เราได้ให้ช้าง ม้า รถ ทาสี ทาสา แม่โค ทรัพย์ ครั้นให้มหาทานแล้ว ก็ออกจากนครไปในกาลนั้น

             [๙๓]    เมื่อเราครั้นออกจากนครแล้ว เหลียวกลับมาดู แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหวแล้ว

             [๙๔]     เราให้ม้าสินธพ ๔ ตัวและรถแล้วยืนอยู่ที่ทางใหญ่ ๔ แยกผู้เดียวไม่มีเพื่อน ได้กล่าวกับพระนางมัทรีเทวีดังนี้ว่า

             [๙๕]     “แม่มัทรี เธอจงอุ้มกัณหากุมารีเถิด เพราะเธอเป็นน้องคงเบากว่า พี่จะอุ้มพ่อชา เพราะเขาเป็นพี่คงจะหนัก

             [๙๖]     พระนางมัทรีทรงอุ้มแม่กัณหาผู้อ่อนนุ่มดังดอกปทุมและบัวขาว เราได้อุ้มพ่อชาลีหน่อกษัตริย์ เปรียบดังแท่งทองคำ

             [๙๗]    ชนทั้ง ๔ เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ ผู้อภิชาตบุตร ได้เสด็จดำเนินไปตามทางที่ขรุขระและราบเรียบไปยังภูเขาวงกต

             [๙๘]    มนุษย์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เดินตามมาในหนทางก็ดี สวนทางก็ดี เราทั้งหลายได้ไต่ถามเขาถึงหนทางว่า เขาวงกตอยู่ที่ไหน

             [๙๙]    เขาเห็นเราทั้งหลาย ณ ที่นั้นแล้ว ได้เปล่งเสียงอันประกอบด้วยกรุณา กษัตริย์เหล่านี้คงจะต้องเสวยทุกข์อย่างยิ่ง เพราะภูเขาวงกตไกล

             [๑๐๐]    ถ้าพระกุมารและกุมารีเห็นต้นไม้ที่มีผลในป่าใหญ่ พระกุมารกุมารีก็จะทรงกันแสง เพราะเหตุแห่งผลไม้เหล่านั้น

             [๑๐๑]     ต้นไม้ทั้งหลายอันสูงใหญ่ไพศาล เห็นพระกุมารและกุมารีทรงกันแสง ก็จะโน้มยอดลงมาหาพระกุมารและกุมารีเอง

             [๑๐๒]    พระนางมัทรีผู้ทรงความงามทั่วสรรพางค์กาย ทรงเห็นความอัศจรรย์นี้ซึ่งไม่เคยมีมา น่าขนพองสยองเกล้า จึงให้สาธุการเป็นไปว่า

             [๑๐๓]     ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในโลก บังเกิดขนชูชันหนอ หมู่ไม้น้อมยอดลงมาเองด้วยเดชแห่งพระเวสสันดร

             [๑๐๔]    ยักษ์(เทวดา)ทั้งหลายได้ย่นทางให้ ด้วยความเอ็นดูพระกุมารและกุมารี ในวันที่เสด็จออกจากกรุงสีพีนั้นเอง เราทั้ง ๔ ได้ไปถึงเจตราษฎร์

             [๑๐๕]    ครั้งนั้น พวกเจ้า ๑๖,๐๐๐ องค์อยู่ในกรุงมาตุละ ทั้งหมดก็ประนมมือร้องไห้มาหา

             [๑๐๖]     เราเจรจาปราศรัยกับโอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านี้อยู่ ณ ที่นั้น ให้พระโอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านั้นกลับที่ประตูนั้นแล้ว ได้ไปยังภูเขาวงกต

             [๑๐๗]    ท้าวสักกะจอมเทพ ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก แล้วรับสั่งให้เนรมิตบรรณศาลาอย่างสวยงาม น่ารื่นรมย์สำหรับเป็นอาศรมอย่างดี

             [๑๐๘]     วิสสุกรรมเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก รับพระบัญชาของท้าวสักกะแล้ว เนรมิตบรรณศาลาอย่างสวยงาม น่ารื่นรมย์สำหรับเป็นอาศรมอย่างดี

             [๑๐๙]    เราทั้ง ๔ คน มาถึงป่าใหญ่อันสงัดเงียบไม่พลุกพล่าน อยู่ในบรรณศาลานั้น ณ ระหว่างภูเขา

             [๑๑๐]    ครั้งนั้น เรา พระนางมัทรีเทวี และโอรสทั้ง ๒ คือ ชาลีและกัณหาชินา บรรเทาความเศร้าโศกของกันและกันอยู่ในอาศรม

             [๑๑๑]    เรารักษาสองกุมารเป็นผู้ไม่ว่างอยู่ในอาศรม พระนางมัทรีนำผลไม้มาเลี้ยงคนทั้ง ๓

             [๑๑๒]    เมื่อเราอยู่ในป่าใหญ่ พราหมณ์ (ชูชก) ผู้มีความต้องการ เดินเข้ามาหาเรา ได้ขอพระโอรสทั้ง ๒ ของเรา คือ ชาลีและกัณหาชินา

             [๑๑๓]   เพราะได้เห็นผู้ขอเข้ามาหา ความร่าเริงจึงเกิดขึ้นแก่เรา ครั้งนั้น เราได้พาบุตรและธิดาทั้ง ๒ มาให้พราหมณ์

             [๑๑๔]    เมื่อเราสละบุตรและธิดาทั้ง ๒ ของตน ให้พราหมณ์ชูชกไป ในกาลใด แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหวแล้ว

             [๑๑๕]    ท้าวสักกะทรงแปลงร่างเป็นพราหมณ์เสด็จลงจากเทวโลก มาขอพระนางมัทรีเทวีผู้มีศีลจริยาวัตรงดงามกับเราอีก

             [๑๑๖]    เรามีความดำริแห่งใจผ่องใส จับพระหัตถ์พระนางมัทรีแล้วมอบให้ด้วยการหลั่งน้ำ(ทักขิโณทก) ได้ให้พระนางมัทรีแก่พราหมณ์นั้น

             [๑๑๗]    เมื่อเราให้พระนางมัทรี หมู่เทวดาในท้องฟ้าพากันเบิกบาน(พลอยยินดี) แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหวแล้ว

             [๑๑๘]   เราสละพ่อชาลีและแม่กัณหาชินาผู้เป็นบุตรธิดา และพระนางมัทรีเทวี ผู้มีจริยาวัตรงดงาม ไม่คิดถึงเลยเพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณนั่นเอง

             [๑๑๙]     บุตรทั้ง ๒ จะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเราก็หาไม่ พระเทวีมัทรีเป็นที่น่ารังเกียจก็หาไม่ แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงให้บุตรธิดาและภรรยาผู้เป็นที่รัก

             [๑๒๐]    อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อพระมารดาและพระบิดาเสด็จมาพร้อมกัน ณ ป่าใหญ่ ทรงกันแสงสะอึกสะอื้นน่าเวทนา ตรัสถามถึงสุขทุกข์กันอยู่

             [๑๒๑]    เราได้เข้าเฝ้าพระมารดาและพระบิดาทั้ง ๒ ด้วยหิริและโอตตัปปะด้วยความเคารพ แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็หวั่นไหว

             [๑๒๒]    อีกเรื่องหนึ่ง เรากับบรรดาพระญาติของเราออกจากป่าใหญ่ เข้าสู่กรุงเชตุดร ซึ่งเป็นนครที่น่ารื่นรมย์

             [๑๒๓]    แก้ว ๗ ประการตกลงมา มหาเมฆทำฝนให้ตก แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราช และราวป่าก็ไหวแล้ว

             [๑๒๔]    แม้แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจ ไม่รู้สุขและทุกข์ ก็ไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะกำลังแห่งทานของเรา ฉะนี้แล

เวสสันตรจริยาที่ ๙ จบ

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญทานบารมี

๙. เวสสันตรจริยา

               อรรถกถาเวสสันตรจริยาที่ ๙               

 

               ในกัป ๙๑ จากกัปนี้พระศาสดาพระนามว่าวิปัสสี ทรงอุบัติขึ้นในโลก.
               เมื่อพระศาสดาพระนามว่าวิปัสสี ประทับอาศัยพันธุมดีนคร ประทับอยู่ ณ มฤคทายวันชื่อเขมะ พระเจ้าพันธุมราชได้พระราชทานแก่นจันทน์มีค่ามากซึ่งพระราชาองค์หนึ่งส่งไปถวาย แก่พระธิดาองค์ใหญ่ของพระองค์.
               พระธิดาได้เอาแก่นจันทน์นั้นบดเป็นผงละเอียดบรรจุลงพระอบ เสด็จไปวิหารบูชาพระสรีระของพระศาสดาซึ่งมีผิวดุจทองคำแล้ว เกลี่ยผงที่เหลือลงในพระคันธกุฎี ทรงตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้หม่อมฉันพึงเป็นมารดาของพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์ในอนาคตเถิด.
               ครั้นพระนางจุติจากมนุษยโลกด้วยผลแห่งการบูชาผงจันทน์นั้น มีพระสรีระดุจอบด้วยจันทน์แดง ทรงท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้ทรงเกิดเป็นอัครมเหสีของท้าวสักกเทวราชในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์. ครั้นพระนางจะสิ้นพระชนม์ได้เกิดบุรพนิมิต ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่าพระนางจะสิ้นอายุ เพื่ออนุเคราะห์พระนาง จึงตรัสว่า แม่นางผุสดีผู้เจริญ เราจะให้พร ๑๐ ประการแก่เจ้า เจ้าจงรับพรเถิด.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               ท้าวสักกะจอมเทพทรงทราบว่า พระนางจะสิ้นอายุ จึงตรัสดังนี้ว่า เราจะให้พร ๑๐ ประการแก่เจ้า นางผู้เจริญจะปรารถนาพรอันใด.
               พระนางไม่รู้ว่าตนจะต้องจุติจึงได้ทูลว่า หม่อมฉันมีความผิดอะไรหรือ? เพราะนางเป็นผู้ประมาทไม่รู้ว่าตนจะสิ้นอายุ เมื่อท้าวสักกะตรัสว่าเจ้าจงรับพร จึงคิดว่า ท้าวสักกะทรงปรารถนาจะให้เราเกิดในที่ไหน จึงกล่าวอย่างนี้.
               ท้าวสักกะได้ตรัสกะพระนางดังนี้อีก. เจ้าไม่ได้ทำความชั่วเลย คือความชั่วไรๆ เจ้ามิได้ทำไว้ ความผิดของเจ้าก็ไม่มี. เจ้ามิได้เป็นที่รักของเราก็หามิได้. อธิบายว่า เป็นที่เกลียดชัง ไม่เป็นที่รักก็หามิได้. อายุของเจ้ามีประมาณเท่านี้เอง เวลานี้เป็นเวลาที่เจ้าจักต้องจุติ เมื่อจะทรงให้พระนางรับพรจึงตรัสว่า เจ้าจงรับพร ๑๐ ประการอันประเสริฐสุดที่เราให้เถิด.
               พระนางทรงทราบว่า พระนางจะสิ้นอายุ ท้าวสักกะให้โอกาสเพื่อประทานพร จึงทรงตรวจดูทั่วพื้นชมพูทวีป ทรงเห็นพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสีพีสมควรแก่ตน จึงทรงรับพร ๑๐ ประการเหล่านี้คือ
                         ๑. ขอให้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงสีพีในแคว้นสีพีนั้น
                         ๒. ขอให้มีดวงตาดำ
                         ๓. ขอให้มีขนคิ้วดำ
                         ๔. ขอให้มีชื่อว่าผุสดี
                         ๕. ขอให้ได้โอรสประกอบด้วยคุณวิเศษ
                         ๖. ขออย่าให้ครรภ์นูนโต
                         ๗. ขออย่าให้ถันหย่อนยาน
                         ๘. ขออย่าให้ผมหงอก
                         ๙. ขอให้ผิวละเอียด
                         ๑๐. ขอให้ปล่อยนักโทษที่ต้องประหารชีวิต.
               ครั้นพระนางได้รับพร ๑๐ ประการแล้วก็จุติจากเทวโลกมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้ามัททราช.
               อนึ่ง เมื่อพระนางประสูติมีพระสรีระดุจอบด้วยผงจันทน์. ด้วยเหตุนั้น ในวันขนานพระนามจึงให้ชื่อว่าผุสดี. พระนางผุสดีมีบริวารมาก เมื่อพระชนม์ได้ ๑๖ พระพรรษามีพระรูปพระโฉมงดงามยิ่งนัก.
               ลำดับนั้น พระเจ้าสีพีมหาราชทรงนำพระนางมาเพื่ออภิเษกสมรสกับพระสญชัยกุมารผู้เป็นพระโอรส รับสั่งให้ยกเศวตฉัตรทรงตั้งพระนางผุสดีไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี ให้เป็นใหญ่กว่าสตรี ๑๖,๐๐๐ คน.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               พระนางผุสดีจุติจากดาวดึงส์นั้น แล้วมาบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชัยในกรุงเชตุดร.
               พระนางผุสดีนั้นเป็นที่รักเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ากรุงสญชัย.
               ลำดับนั้น ท้าวสักกะทรงรำพึงเห็นว่า พรที่เราให้แก่พระนางผุสดีไปสำเร็จไปแล้ว ๙ ประการ ทรงดำริว่าพรเกี่ยวกับพระโอรสยังไม่สำเร็จ เราจักให้พรนั้นสำเร็จแก่นาง. ทรงเห็นว่า พระโพธิสัตว์จะสิ้นอายุในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ในครั้งนั้นแล้วจึงเสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ตรัสว่า ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านสมควรถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงสญชัยแคว้นสีพีในมนุษยโลก ทรงรับปฏิญญาของพระโพธิสัตว์และเทพบุตร ๖๐,๐๐๐ เหล่าอื่นที่ปฏิบัติตามเทวบัญชา เสร็จแล้วเสด็จกลับวิมานของพระองค์.
               แม้พระมหาสัตว์ครั้นจุติจากชั้นดาวดึงส์นั้น แล้วก็ทรงบังเกิดในแคว้นสีพีนั้น.
               แม้เทพบุตรที่เหลือก็ไปบังเกิดในเรือนของเหล่าอำมาตย์ ๖๐,๐๐๐. เมื่อพระมหาสัตว์ประสูติจากพระครรภ์ พระนางผุสดีเทวีรับสั่งให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ ที่ประตูพระนิเวศน์ ๑ แห่ง ทรงสละทรัพย์ ๖๐๐,๐๐๐ ทุกๆ วัน ได้ทรงแพ้พระครรภ์เมื่อทรงให้ทาน.
               พระราชาทรงสดับว่า พระนางทรงแพ้พระครรภ์ จึงรับสั่งเรียกพราหมณ์ผู้ทำนายโชคชะตามาตรัสถาม ทรงสดับคำกราบทูลว่า ขอเดชะข้าแต่มหาราชเจ้า สัตว์มีบุญมาก ยินดีในทานจะอุบัติในพระครรภ์ของพระเทวี. สัตว์นั้นจักไม่อิ่มด้วยทาน พระเจ้าข้า. ทรงมีพระทัยยินดี ทรงให้ตั้งทานดังได้กล่าวแล้ว. ทรงให้สมณพราหมณ์ คนแก่ คนเดือดร้อน คนยากจน คนเดินทาง วณิพกและยาจกทั้งหลายอิ่มหนำสำราญ.
               ตั้งแต่พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิ คือความเจริญของพระราชา หาประมาณมิได้. ด้วยบุญญานุภาพของพระโพธิสัตว์นั้น พระราชาทั่วชมพูทวีปต่างส่งเครื่องบรรณาการไปถวาย.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               ในกาลเมื่อเราลงสู่พระครรภ์ของพระนางผุสดีพระมารดาที่รัก ด้วยเดชของเรา พระมารดาเป็นผู้ยินดีในทานทุกเมื่อ ทรงให้ทานแก่คนยากจน คนป่วยไข้ คนแก่ ยาจก คนเดินทาง สมณพราหมณ์ คนสิ้นเนื้อประดาตัว คนไม่มีอะไรเลย.
               พระเทวีทรงได้รับการบริหารพระครรภ์เป็นอย่างมาก เมื่อครบ ๑๐ เดือน มีพระประสงค์จะทอดพระเนตรพระนคร จึงกราบทูลพระราชสวามี.
               พระราชารับสั่งให้ตกแต่งพระนครดุจเทพนคร อัญเชิญพระเทวีขึ้นรถอันประเสริฐแล้วให้ทำประทักษิณพระนคร. เมื่อพระนางเสด็จถึงท่ามกลางถนนของพวกทำการค้า ลมกรรมชวาต (ลมเบ่ง) ได้ปั่นป่วนขึ้นแล้ว.
               พวกอำมาตย์กราบทูลแด่พระราชา.
               พระราชารับสั่งให้สร้างเรือนประสูติแก่พระนางที่ถนนของพวกทำการค้านั่นเองแล้วทรงให้จัดตั้งอารักขา.
               พระนางประสูติพระโอรส ณ ที่นั้นเอง.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               พระนางผุสดีทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน เมื่อพระเจ้าสญชัยทรงทำประทักษิณพระนคร พระนางก็ประสูติเรา ณ ท่ามกลางถนนของพวกคนทำการค้า นามของเราจึงไม่เนื่องข้างฝ่ายพระมารดา และไม่เกิดเนื่องข้างฝ่ายพระบิดา เพราะเราเกิดที่ถนนของคนค้าขาย ฉะนั้น เราจึงมีชื่อว่าเวสสันดร.
               พระมหาสัตว์ทรงประสูติจากพระครรภ์พระมารดา ทรงเฉลียวฉลาด ทรงลืมพระเนตรประสูติ. พอทรงประสูตินั่นเองทรงเหยียดพระหัตถ์ให้พระมารดาตรัสว่า แม่จ๋า ลูกจักให้ทาน มีอะไรบ้าง.
               มารดาของพระมหาสัตว์ทรงมอบถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ที่อยู่ใกล้พระหัตถ์ด้วยพระดำรัสว่า ลูกรักจงให้ทานตามอัธยาศัยเถิด.
               จริงอยู่ พระโพธิสัตว์พอประสูติก็ทรงพูดได้ในที่ ๓ แห่ง คือในอุมมังคชาดก ๑ ในชาดกนี้ ๑ ในอัตภาพสุดท้าย ๑.
               พระราชาทรงให้แม่นม ๖๐ คนมีน้ำนมหวาน เว้นจากโทษมีสูงเกินไปเป็นต้น ดูแลพระมหาสัตว์. พระราชทานแม่นมแก่ทารก ๖๐,๐๐๐ ซึ่งเกิดพร้อมกับพระโพธิสัตว์นั้น. พระโพธิสัตว์ทรงเจริญด้วยบริวารมากพร้อมกับทารก ๖๐,๐๐๐ คน.
               พระราชารับสั่งให้ช่างทำเครื่องประดับพระกุมารมีค่า ๑๐๐,๐๐๐ พระราชทานแก่พระกุมารนั้น. พระกุมารเมื่อมีพระชันษา ๔-๕ ขวบ ทรงเปลื้องเครื่องประดับนั้นให้แก่พวกแม่นม พวกแม่นมถวายคืนอีกก็ไม่ทรงรับ.
               พระราชาทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า เครื่องประดับที่โอรสของเราให้เป็นอันให้ดีแล้ว แล้วทรงให้ช่างทำเครื่องประดับอย่างอื่นอีก. พระกุมารก็ทรงให้อีก. เมื่อเป็นทารกนั่นเองได้ทรงให้เครื่องประดับแก่พวกแม่นมถึง ๙ ครั้ง.
               เมื่อพระชนม์ได้ ๘ พระพรรษา บรรทมเหนือพระยี่ภู่ทรงดำริว่า เราให้ทานภายนอก ทานนั้นก็ไม่พอใจเรา. เราประสงค์จะให้ทานภายใน หากว่าใครๆ พึงขอหทัยกะเรา เราจะนำหทัยออกให้. หากพึงขอจักษุกะเรา.เราก็จักควักจักษุให้. หากพึงขอเนื้อหรือเลือดในร่างกายทั้งสิ้นของเรา เราก็จะเชือดเนื้อจากร่างกายทั้งสิ้น เอาดาบเจาะเลือดให้. แม้ใครๆ จะพึงกล่าวว่า ขอท่านจงเป็นทาสของเราเถิด เราก็จะประกาศแล้วให้ตนแก่เขา.
               เมื่อพระกุมารทรงดำริตามความจริงพร้อมด้วยสมบัติอันสำคัญอย่างนี้ มหาปฐพีนี้หนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์หวั่นไหวจนถึงที่สุดของน้ำ. ภูเขาสิเนรุโน้มแล้วตั้งตรงไปยังพระนครเชตุดร.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               ในกาลเมื่อเราเป็นทารกอายุ ๘ ปี แต่กำเนิด ในกาลนั้น เรานั่งอยู่ในปราสาท คิดเพื่อจะให้ทานว่าเราพึงให้หทัย จักษุ แม้เนื้อและเลือดเราพึงให้ทานทั้งกาย ถ้าใครได้ยินแล้วพึงขอกะเรา เมื่อเราคิดถึงความเป็นจริง จิตของเราไม่หวั่นไหว ไม่หดหู่ ในขณะนั้นแผ่นดิน ภูเขาสิเนรุได้หวั่นไหว.
               อนึ่ง เมื่อแผ่นดินไหวเป็นไปอยู่อย่างนี้ ท้องฟ้ากระหึ่มยังฝนชั่วคราวให้ตก สายฟ้าแลบ ระลอกซัดในมหาสมุทร. ท้าวสักกเทวราชปรบพระหัตถ์ มหาพรหมซ้องสาธุการ. ความเอิกเกริกโกลาหลได้มีขึ้นจนถึงพรหมโลก
               พระมหาสัตว์ เมื่อมีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษาก็ทรงสำเร็จศิลปะทุกแขนง.
               พระบิดาของพระองค์มีพระประสงค์จะทรงมอบราชสมบัติให้ จึงทรงปรึกษากับพระชนนี นำพระราชกัญญาพระนามว่ามัทรี ผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้าลุง จากตระกูลมัททราชแล้วทรงแต่งตั้งให้เป็นพระอัครมเหสี เป็นหัวหน้าของสตรี ๑๖,๐๐๐ นาง แล้วอภิเษกพระมหาสัตว์ให้ครองราชสมบัติ.
               พระมหาสัตว์ตั้งแต่ทรงครองราชสมบัติ ทรงสละพระราชทรัพย์วันละ ๖๐๐,๐๐๐ ทุกวัน ทรงบริจาคมหาทาน เสด็จทรงตรวจตราทานทุกกึ่งเดือน.
               ครั้นต่อมา พระนางมัทรีประสูติพระโอรส. พวกอำมาตย์รับพระองค์ด้วยข่ายทอง เพราะเหตุนั้นจึงขนานพระนามว่าชาลีกุมาร. เมื่อพระชาลีกุมารทรงดำเนินได้ พระนางมัทรีได้ประสูติพระธิดาอีกองค์หนึ่ง. พวกอำมาตย์รับพระธิดานั้นไว้ด้วยหนังหมีดำ เพราะเหตุนั้นจึงขนานพระนามว่ากัณหาชินา.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               ในวันอุโบสถเดือนเต็ม ๑๕ ค่ำ ทุกกึ่งเดือน เราขึ้นคอมงคลหัตถีปัจจัยนาค เข้าไปยังศาลาเพื่อจะให้ทาน.
               อนึ่ง ในกาลใด เมื่อเราเข้าไปอย่างนี้ได้เข้าไปเพื่อให้ทานในวันอุโบสถเดือนเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ครั้งหนึ่ง. ในกาลนั้น พราหมณ์ชาวแคว้นกาลิงคะได้เข้าไปหาเรา.
               เพราะในวันที่พระโพธิสัตว์ประสูติ แม้ช้างเที่ยวไปในอากาศเชือกหนึ่งนำลูกช้างเผือกตลอดตัว เป็นช้างที่เขาถือว่าเป็นมงคลยิ่งมาปล่อยไว้ในที่ของมงคลหัตถีแล้วก็กลับไป. เพราะช้างนั้นได้มาเพราะ พระมหาสัตว์เป็นปัจจัย จึงตั้งชื่อว่าปัจจัยนาค.
               เราขึ้นช้างมงคลนั้นที่ชื่อว่าปัจจัยนาค เข้าไปยังโรงทานเพื่อให้ทาน.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               พราหมณ์ทั้งหลายชาวกาลิงครัฐได้มาหาเรา ได้มาขอพระยาคชสารทรงอันประกอบด้วยมงคลหัตถีกะเราว่า ชนบทฝนไม่ตกเกิดทุพภิกขภัยอดอยากมากมาย ขอพระองค์โปรดพระราชทานพระยาคชสารตัวประเสริฐ เผือกผ่องอันเป็นช้างมงคลอุดม.
               พระโพธิสัตว์นั้นทรงขึ้นคอพระยาคชสาร เมื่อจะทรงประกาศความยินดีอย่างยิ่งในทานของพระองค์ว่า 
               พราหมณ์ทั้งหลายขอสิ่งใดกะเรา เราย่อมให้สิ่งนั้นไม่หวั่นไหวเลย เราไม่ซ่อนเร้นของที่มีอยู่ ใจของเรายินดีในทาน.
               ทรงปฏิญาณว่า 
               เมื่อยาจกมาถึงแล้ว การห้ามไม่สมควรแก่เรา กุสลสมาทานของเราอย่าทำลายเสีย เราจักให้คชสารตัวประเสริฐ.
               แล้วเสด็จลงจากคอคชสาร ทรงพิจารณาเพื่อตรวจดูสถานที่ที่มิได้ตกแต่ง มิได้ทรงเห็นสถานที่ที่มิได้ตกแต่ง จึงทรงจับพระเต้าทองเต็มไปด้วยน้ำหอมเจือดอกไม้ ตรัสว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายจงมาข้างนี้ แล้วทรงจับงวงคชสารเช่นกับพวงเงินที่ตกแต่งแล้ววางไว้บนมือของพวกพราหมณ์ ทรงหลั่งน้ำแล้วพระราชทานพระยาคชสารที่ตกแต่งไว้เป็นอย่างดีแก่พวกพราหมณ์.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า 
               เราได้จับงวงพระยาคชสารวางลงบนมือพราหมณ์ แล้วจึงหลั่งน้ำในเต้าทองลงบนมือ ได้ให้พระยาคชสารแก่พราหมณ์ทั้งหลาย.
               เครื่องประดับที่เท้าทั้ง ๔ ของคชสารนั้นมีค่า ๔๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับที่ข้างทั้งสองมีค่า ๒๐๐,๐๐๐. ผ้ากัมพลที่ใต้ท้องมีค่า ๑๐๐,๐๐๐. ข่ายบนหลัง ๓ ข่ายคือข่ายแก้วมุกดา ข่ายแก้วมณี ข่ายทองคำ มีค่า ๓๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับหูทั้งสองข้าง มีค่า ๒๐๐,๐๐๐. ผ้ากัมพลที่ลาดบนหลังมีค่า ๑๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับกระพองมีค่า ๑๐๐,๐๐๐. พวงมาลัย ๓ พวงมีค่า ๓๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับปลายหูมีค่า ๑๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับงาทั้งสองข้างมีค่า ๒๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับตาบทาบทีงวงมีค่า ๑๐๐,๐๐๐. เครื่องประดับหางมีค่า ๑๐๐,๐๐๐. บันไดพาด มีค่า ๑๐๐,๐๐๐. ภาชนะใส่อาหารมีค่า ๑๐๐,๐๐๐.
               ของประมาณเท่านี้ มีค่าสองล้านสี่แสนนอกจากของที่หาค่ามิได้.
               ของหาค่ามิได้ ๖ อย่างเหล่านี้คือ แก้วมณีที่พุ่มฉัตร ๑ จุฬามณี ๑ แก้วมุกดาหาร ๑ แก้วมณีที่ขอ ๑ แก้วมุกดาหารที่สวมคอคชสาร ๑ แก้วมณีที่กระพอง ๑ แม้ช้างก็หาค่ามิได้เหมือนกัน รวมของหาค่ามิได้ ๗ อย่างกับช้าง.
               พระโพธิสัตว์ได้พระราชทานของทั้งหมดเหล่านั้นแก่พราหมณ์ทั้งหลาย.
               อนึ่ง ได้พระราชทานตระกูลบำรุงช้าง ๕๐๐ ตระกูลพร้อมด้วยควาญช้างและคนเลี้ยงช้าง.
               อนึ่ง พร้อมกับพระราชทานได้เกิดอัศจรรย์มีแผ่นดินไหวเป็นต้น โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               เมื่อเราได้ให้พระยาคชสารอันอุดมเผือกผ่องอีก แม้ในกาลนั้นแผ่นดิน เขาสิเนรุราช และป่าก็ได้หวั่นไหว.
                ในเมื่อเราให้คชสารอันประเสริฐ ความน่ากลัว ความสยดสยองพองขนได้เกิดขึ้น แผ่นดินก็หวั่นไหว.
               สีพีราชกุมารทั้งหลายและชาวแคว้นสีพี. เพราะเหล่าอำมาตย์ ชุมชน พราหมณ์ คหบดี ชาวนิคม ชาวชนบท ชาวเมือง ชาวแคว้นทั้งสิ้นทั้งหมด ยกเว้นพระสญชัยมหาราช พระนางผุสดี และพระนางมัทรี พากันโกรธเคือง คือโกรธเคืองพระโพธิสัตว์ด้วยเทวดาดลใจ. 
               นัยว่า พราหมณ์เหล่านั้น ครั้นได้คชสารแล้วก็ขึ้นคชสารนั้นเข้าไปทางประตูใหญ่พากันดื่มถวายพระพร ณ ท่ามกลางพระนคร.
               อนึ่ง เมื่อมหาชนพูดกันว่า พราหมณ์ผู้เจริญท่านขี่ช้างของเรามาจากไหน. พราหมณ์ทั้งหลายบอกว่า พระเวสสันดรมหาราชพระราชทานแก่พวกเรา พวกท่านเป็นใคร แล้วโบกมือไล่ พากันเดินทางต่อไป.
               ลำดับนั้น มหาชนมีพวกอำมาตย์เป็นต้นพากันมาประชุมที่ประตูพระราชวังกล่าวโทษว่า
               พระราชาควรพระราชทานทรัพย์ ข้าวเปลือก นา ไร่สวน หรือทาสหญิงชายและนางกำนัลแก่พวกพราหมณ์. พระเวสสันดรมหาราชพระราชทานมงคลหัตถีอันเป็นช้างพระที่นั่งนี้ไปได้อย่างไร. บัดนี้ พวกเราจักไม่ให้ราชสมบัติต้องพินาศไปอย่างนี้.
               จึงกราบทูลความนั้นแต่พระเจ้ากรุงสญชัยมหาราช.
               พระเจ้ากรุงสญชัยมหาราชทรงเห็นด้วยตามคำแนะนำ รับจะทำตาม แล้วก็พากันกลับไป.
               แต่พวกพราหมณ์ยังได้กราบทูลว่า 
                พระองค์อย่าฆ่าพระเวสสันดรนั้น ด้วยท่อนไม้ หรือศัสตราเลย พระเวสสันดรนั้นไม่ควรแก่เครื่องพันธนาการเลย แต่ขอพระองค์จงขับไล่พระเวสสันดรออกจากแว่นแคว้นไปอยู่ ณ เขาวงกตเถิด พระเจ้าข้า.
               แม้พระราชาก็ทรงดำริว่า นี้เป็นปฏิปักษ์ใหญ่หลวงนัก เอาเถิด โอรสของเราจงอยู่ภายนอกราชสมบัติสักเล็กน้อยก่อน แล้วตรัสว่า 
                หากชาวเมืองสีพีมีความพอใจเช่นนั้น เราก็ไม่ขัดความพอใจ แต่ขอให้โอรสของเราอยู่บริโภคกามทั้งหลายตลอดคืนนี้ก่อน จากนั้น เมื่อสิ้นราตรีพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาวเมืองสีพีจงพร้อมใจกันขับไล่ เธอจงออกจากแว่นแคว้นเถิด.
               แล้วส่งนักการไปยังสำนักของพระโอรสด้วยพระดำรัสว่า เจ้าจงบอกข่าวนี้แก่โอรสของเรา.
               แม้พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามถึงเหตุผลว่า 
               ดูก่อนนักการชาวกรุงสีพี พากันโกรธเราในเพราะเรื่องอะไร เรายังไม่เห็นความชั่วของเรา ท่านจงบอกความชั่วนั้นแก่เรา เพราะเหตุไรจึงพากันขับไล่เรา.
               เมื่อนักการกราบทูลว่า เพราะพระองค์พระราชทานคชสาร พระเจ้าข้า.
               พระเวสสันดรทรงมีความโสมนัสยิ่งนัก ตรัสว่า 
               เราจะให้หทัย ให้จักษุ เงินทอง แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ และแก้วมณี เป็นเพียงทรัพย์ภายนอกของเรา จะเป็นอะไร.
               เมื่อยาจกมา ถึงแล้วเห็นยาจกแล้ว จะให้แขนขวา ซ้าย เราไม่หวั่นไหว เพราะใจของเรายินดีในทาน.
               ชาวกรุงสีพีทั้งปวง จงขับไล่ หรือจงฆ่าเราก็ตาม หรือจงตัดเราเป็น ๗ ท่อนก็ตามเถิด เราจักงดการให้ทานเสียมิได้เลย.
               แล้วมีพระดำรัสต่อไปว่า
               ชาวเมืองทั้งหลายจงให้โอกาสแก่เรา เพื่อให้ทานสักวันหนึ่งเถิด พรุ่งนี้เราให้ทานแล้วในวันที่ ๓ จักไป แล้วทรงส่งนักการไปยังสำนักของพวกพราหมณ์ รับสั่งกะอำมาตย์ผู้ดูแลราชกิจทั้งปวงว่า
               พรุ่งนี้เราจักให้สัตตสดกมหาทาน (การให้ทานครั้งใหญ่อย่างละ ๗๐๐) คือช้าง ๗๐๐ ม้า ๗๐๐ รถ ๗๐๐ หญิง ๗๐๐ โคนม ๗๐๐ ทาสชาย ๗๐๐ ทาสหญิง ๗๐๐. ท่านจงเตรียมไว้ จงจัดตั้งข้าวและน้ำเป็นต้น หลายๆ อย่างอันเป็นของควรให้ทั้งหมด.
               แล้วพระองค์องค์เดียวเท่านั้น เสด็จไปยังที่ประทับของพระนางมัทรี แล้วตรัสว่า ดูก่อนแม่มัทรีน้อง เมื่อจะฝังทรัพย์อันจะติดตามไป พึงให้ในผู้มีศีลทั้งหลาย แล้วทรงชักชวนพระนางมัทรีในการบริจาคทาน ทรงแจ้งถึงเหตุที่พระองค์จะเสด็จไปให้พระนางทรงทราบ.
               แล้วตรัสว่า พี่จักไปอยู่ป่า ขอให้น้องจงอยู่ในพระนครนี้เถิด อย่าติดตามไปเลย.
               พระนางมัทรีทูลว่า ข้าแต่พระราชสวามี หม่อมฉันเว้นพระองค์เสียแล้วจักขออยู่แม้วันเดียว.
               ในวันที่สอง พระเวสสันดรทรงบริจาคสัตตสดกมหาทาน. เมื่อพระเวสสันดรทรงบริจาคสัตตสดกมหาทานนั่นเองก็ถึงเวลาเย็น. พระองค์เสด็จโดยรถที่ตกแต่งแล้วไปเฝ้าพระมารดาพระบิดา ทูลลาพระมารดาพระบิดาว่า พรุ่งนี้ลูกจักไป.
               เมื่อพระมารดาพระบิดาไม่ทรงประสงค์ ทรงพระกันแสงมีน้ำพระเนตรนองพระพักตร์ พระเวสสันดรถวายบังคมแล้วกระทำประทักษิณ เสด็จออกจากที่นั้น.
               ในวันนั้น พระองค์ประทับอยู่ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์ วันรุ่งขึ้นทรงดำริว่าเราจักไปละ จึงเสด็จลงจากปราสาท.
               พระนางมัทรีแม้พระสัสสุ (แม่ผัว) พระสัสสุระ (พ่อผัว) ขอร้องโดยนัยต่างๆ ให้กลับก็มิได้ทรงเชื่อฟังพระดำรัสของพระสัสสุและพระสัสสุระ ถวายบังคมแล้วทรงกระทำประทักษิณ ทรงอำลาบรรดาสตรีที่เหลือ พาพระโอรสและธิดาทั้งสองเสด็จไปหาพระเวสสันดรก่อนประทับยืนอยู่บนรถ.
               พระมหาบุรุษเสด็จขึ้นรถประทับยืนบนรถทรงอำลามหาชน ทรงประทานโอวาทแก่มหาชนว่า พวกท่านจงอย่าประมาทกระทำบุญมีทานเป็นต้น แล้วเสด็จออกจากพระนคร.
               พระมารดาของพระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า โอรสของเราปลาบปลื้มอยู่กับการให้ทาน จงให้ทานเถิด จึงทรงส่งเกวียนเต็มไปด้วยรตนะ ๗ ประการพร้อมด้วยเครื่องอาภรณ์ไปทั้งสองข้าง.
               พระมหาบุรุษพระราชทานเครื่องประดับที่ติดไปกับพระวรกายของพระองค์ แก่ยาจกที่เข้าไปขอถึง ๑๘ ครั้ง ได้พระราชทานสิ่งที่เหลือจนหมด.
               พระองค์เสด็จออกจากพระนคร ได้มีพระประสงค์จะเหลียวทอดพระเนตรพระนคร. ทันใดนั้น ด้วยบุญญานุภาพของพระองค์ มหาปฐพีในที่ชั่วคันรถได้แยกหมุนกลับทำรถให้บ่ายหน้าไปยังพระนคร. พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรที่ประทับของพระชนกชนนี. ด้วยพระมหากรุณานั้นมหาปฐพีก็ได้ไหว.
               จริงอยู่ พระมหาสัตว์ เมื่อเสด็จออกจากพระนครอย่างนั้น ทรงให้อำมาตย์ ๖๐,๐๐๐ และชนที่เหลือซึ่งมีหน้านองด้วยน้ำตา ติดตามไปกลับ ทรงขับรถไปด้วยพระองค์เอง ตรัสกะพระนางมัทรีว่า นี่แน่ะน้อง หากมียาจกตามมาข้างหลัง. น้องคอยดูด้วย. พระนางมัทรีประทับนั่งดูอยู่.
               ลำดับนั้น พราหมณ์ ๔ คนไม่อาจมาทันรับสัตตสดกมหาทานของพระองค์ และทานที่พระองค์ทรงบริจาคในขณะเสด็จได้จึงพากันเดินทางมาถามว่า พระเวสสันดรประทับอยู่ที่ไหน เมื่อเขาตอบว่า พระองค์ทรงให้ทานเสด็จโดยรถกลับไปแล้ว จึงคิดว่าเราจักขอม้า จึงติดตามไป.
               พระนางมัทรีทรงเห็นพราหมณ์เหล่านั้นเดินมา จึงกราบทูลว่า ยาจกมาแล้วพระเจ้าพี่. พระมหาสัตว์ทรงจอดรถ. พวกพราหมณ์เหล่านั้นจึงกราบทูลขอม้า. พระมหาสัตว์ทรงให้ม้า. พวกพราหมณ์รับม้าแล้วก็พากันกลับ.
               ก็เมื่อพระราชทานม้าแล้ว แอกรถก็ตั้งอยู่บนอากาศนั่นเอง.
               ลำดับนั้น เทพบุตร ๔ องค์มาด้วยเพศของละมั่งรับแอกรถไว้แล้วลากไป.
               พระมหาสัตว์ทรงทราบว่าละมั่งนั้นเป็นเทพบุตร จึงตรัสกะพระนางมัทรีว่า
               ดูก่อนแม่มัทรี เชิญดูเถิด เนื้อละมั่งปรากฏ รูปร่างงดงาม เหมือนม้าที่ชำนาญพาเราไป.
               ครั้งนั้น พราหมณ์อีกคนหนึ่งมาทูลขอรถที่กำลังแล่นอยู่นั้น. พระมหาสัตว์ทรงให้โอรสและมเหสีลง พระราชทานรถ. เมื่อพระราชทานรถแล้ว เทพบุตรก็หายไป. ตั้งแต่นั้นกษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ก็ทรงดำเนินด้วยพระบาท.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนแม่มัทรี น้องอุ้มกัณหา พี่จะอุ้มพ่อชาลี. ทั้งสองพระองค์ก็เอาพระกุมารกุมารีทั้งสองเข้าเอวไป ทรงสนทนาปราศรัยเป็นที่รักซึ่งกันและกัน. ตรัสถามทางที่จะไปเขาวงกตกะพวกมนุษย์ที่เดินสวนทางมา. เมื่อต้นไม้ผลโน้มลงมาเอง ก็เก็บผลไม้ให้พระโอรสและธิดา.
               เพราะเทวดาผู้ใคร่ประโยชน์ย่อทางให้ จึงบรรลุถึงเจตรัฐในวันนั้นนั่นเอง.
               เพราะภูเขาชื่อว่าสุวรรณคิริตาละจากกรุงเชตุดร ๕ โยชน์. แม่น้ำชื่อว่าโกนติมาราจากภูเขานั้น ๕ โยชน์. ภูเขาชื่อว่ามารัญชนาคีรีจากแม่น้ำนั้น ๕ โยชน์. บ้านทัณฑพราหมณคามจากภูเขานั้น ๕ โยชน์. มาตุลนครจากบ้านทัณฑพราหมณคามนั้น ๑๐ โยชน์. รวม ๓๐ โยชน์จากกรุงเชตุดรถึงแคว้นนั้น.
               ทวยเทพอันบุญเดชของพระโพธิสัตว์กระตุ้นจึงย่นทางให้. กษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์จึงล่วงพ้นที่ทั้งหมดนั้นเพียงวันเดียวเท่านั้น.
               พระมหาสัตว์เสด็จถึงมาตุลนคร แคว้นเจตรัฐในตอนเย็น ประทับนั่งในศาลาใกล้ประตูพระนครนั้น.
               ลำดับนั้น พระนางมัทรีทรงเช็ดธุลีที่พระบาทของพระมหาสัตว์แล้วทรงนวดพระบาท ทรงดำริว่า เราจักให้ชนทั้งหลายรู้ว่า พระเวสสันดรเสด็จมาจึงเสด็จออกจากศาลา ประทับยืนที่ประตูศาลา พอที่พระเวสสันดรจะทรงเห็น.
               บรรดาสตรีที่เข้าออกพระนครเห็นพระนางมัทรี จึงพากันแวดล้อม.
               มหาชนเห็นพระนางมัทรีพระเวสสันดรและพระโอรสเสด็จมาอย่างนั้นจึงไปกราบทูลพระราชา. พระราชา ๖๐,๐๐๐ ทรงกันแสงร่ำไร พากันไปเฝ้าพระเวสสันดร บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง แล้วจึงทูลถามถึงเหตุที่เสด็จมาอย่างนั้น.
               พระมหาสัตว์ตรัสเล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งต้นแต่พระราชทานคชสาร.
               พระราชาเหล่านั้นได้สดับดังนั้นแล้ว จึงปรึกษากันมอบราชสมบัติแก่พระองค์.
               พระมหาบุรุษตรัสว่า การที่เราจะรับราชสมบัติของพวกท่านยกไว้ก่อนเถิด พระราชาขับไล่เราออกจากแว่นแคว้น เพราะฉะนั้น เราจักไปเขาวงกต.
               แม้พระราชาเหล่านั้นทูลวิงวอนให้ประทับอยู่ ณ เจตรัฐนั้นมีประการต่างๆ ก็มิได้ทรงพอพระทัยจะรับ ทรงขอร้องให้พระราชาเหล่านั้นจัดอารักขา ประทับอยู่ ณ ศาลานั้น ตลอดราตรี รุ่งขึ้นแต่เช้าตรู่ เสวยพระกระยาหารมีรสเลิศต่างๆ แล้ว แวดล้อมด้วยพระราชาเหล่านั้น เสด็จออกไปสิ้นทาง ๑๕ โยชน์ ประทับ ณ ประตูป่า รับสั่งให้พระราชาเหล่านั้นกลับ ได้เสด็จไปตามทางที่พระราชาเหล่านั้นทูล สิ้นหนทาง ๑๕ โยชน์ข้างหน้า.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               ในกาลนั้น พระราชา ๖๐,๐๐๐ องค์ อยู่ในมาตุลนคร ต่างก็ประนมกรพากันร้องไห้มาหาเราเจรจาปราศรัยกับโอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านี้ อยู่ ณ ที่นั้น ให้โอรสของพระเจ้าเจตราชเหล่านั้น กลับที่ประตูนั้นแล้ว ได้ไปยังเขาวงกต.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เสด็จไปตามทางที่พระเจตราชทูล เสด็จถึงภูเขาคันธมาทน์ ทรงเห็นภูเขานั้น ประทับอยู่ ณ ที่นั้น.
               จากนั้นทรงมุ่งพระพักตร์ตรงไปยังทิศอุดร เสด็จไปถึงเชิงเขาเวปุลลบรรพตประทับนั่ง ณ ฝั่งแม่น้ำเกตุมดี เสวยน้ำผึ้งและเนื้อที่พรานป่าถวาย พระราชทานเข็มทองคำแก่พรานป่า ทรงสรงสนาน ทรงดื่มระงับความกระวนกระวาย เสด็จออกจากฝั่งน้ำไปประทับนั่งพักผ่อน ณ โคนต้นไทร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ยอดสานุบรรพต เสด็จลุกไปทรงบริหารพระวรกาย ณ นาลิกบรรพต เสด็จไปยังสระมุจลินท์ เสด็จถึงปลายทิศตะวันออกเฉียงเหนือทางฝั่งของสระ เสด็จเข้าไปยังช่องป่าโดยทางเดินทางเดียวเท่านั้น เลยช่องป่าไปถึงสระโบกขรณี ๔ เหลี่ยม ข้างหน้าน้ำพุ เป็นภูเขาเข้าไปลำบาก.
               ขณะนั้น ท้าวสักกะทรงรำพึงว่า พระมหาสัตว์เสด็จเข้าไปยังหิมวันตประเทศ ควรจะได้ที่ประทับ จึงทรงส่งวิษณุกรรมเทพบุตรไป มีเทวบัญชาว่า ท่านจงไปสร้างอาศรมบท ณ ที่รื่นรมย์ในหลืบภูเขาวงกต.
               วิษณุกรรมเทพบุตรรับเทวบัญชาแล้วจึงไปสร้างบรรณศาลาสองหลัง ที่จงกรมสองที่ ที่พักกลางคืนและกลางวันสองแห่ง ปลูกไม้ดอกมีดอกสวยงามต่างๆ ไม้ผล กอดอกไม้และสวนกล้วยเป็นต้น ณ ที่นั้นๆ แล้วมอบบริขารบรรพชิตทั้งหมดให้จารึกอักษรไว้ว่า ผู้ที่ประสงค์จะบรรพชา จงถือเอาเถิด แล้วมิให้อมนุษย์ เนื้อและนกที่มีเสียงน่ากลัวรบกวน เสร็จแล้วกลับไปยังที่ของตน.
               พระมหาสัตว์ทอดพระเนตรเห็นทางเดินทางเดียวทรงดำริว่า คงจักเป็นที่อยู่ของนักบวช จึงให้พระนางมัทรี พระโอรสและธิดาประทับอยู่ ณ ที่นั้น เสด็จเข้าสู่อาศรมบท ทอดพระเนตรเห็นอักษร ทรงดำริว่าท้าวสักกะทรงประทาน จึงทรงเปิดประตูบรรณศาลาเสด็จเข้าไป เอาพระขรรค์และธนูออก เปลื้องผ้าสาฎก ทรงถือเพศฤๅษี ถือไม้เท้าเสด็จออกไปหาพระกุมารกุมารี ด้วยความสงบเช่นกับพระปัจเจกพุทธเจ้า.
               แม้พระนางมัทรีเทวีทรงเห็นพระมหาสัตว์ก็ทรงหมอบแทบพระบาท ทรงกันแสงเสด็จเข้าอาศรมกับพระมหาสัตว์ แล้วเสด็จไปยังบรรณศาลาของพระนาง ทรงถือเพศเป็นฤๅษี.
               ภายหลังทรงให้พระกุมารกุมารีเป็นดาบสกุมาร.
               พระโพธิสัตว์ทรงขอพรพระนางมัทรีว่า ตั้งแต่นี้ไป เราเป็นนักบวชแล้ว. ธรรมดาสตรีย่อมเป็นมลทินแก่พรหมจรรย์. บัดนี้ เธออย่ามาหาเราในกาลอันไม่สมควรเลย.
               พระนางรับว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า แล้วขอพรพระมหาสัตว์บ้างว่า ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์ทรงแลดูโอรสธิดาอยู่ ณ บรรณศาลานี้เถิด หม่อมฉันจักแสวงหาผลาผลมาถวาย.
               ตั้งแต่นั้น พระนางมัทรีก็ทรงนำผลาผลมาแต่ป่าทรงปรนนิบัติชนทั้ง ๓. กษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ประทับอยู่ ณ หลืบภูเขาวงกตประมาณ ๗ เดือน.
               ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาของพระโพธิสัตว์ แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งปวงก็ได้เมตตาในที่ ๓ โยชน์โดยรอบ.
               เมื่อกษัตริย์ทั้ง ๔ พระองค์ประทับอยู่ ณ เขาวงกตนั้น พราหมณ์ชูชก ชาวเมืองกลิงครัฐ เมื่อภรรยาชื่อว่าอมิตตตาปนา พูดว่าเราไม่สามารถจะทำการซ้อมข้าว ตักน้ำ หุงข้าวยาคู และข้าวสวยแก่ท่านได้เป็นนิจ. ท่านจงนำทาสชายหรือทาสหญิงมารับใช้เราเถิด.
               ชูชกกล่าวว่า น้องเอ๋ย เราหรือก็ยากจน จะได้ทาสชายหรือทาสหญิงแต่ไหนมาให้น้องได้เล่า.
               เมื่อนางอมิตตตาปนาบอกว่า ก็พระราชาเวสสันดรนั่นอย่างไรเล่า พระองค์ประทับอยู่ที่เขาวงกต ท่านจงขอพระโอรสธิดาของพระองค์มาให้เป็นคนรับใช้เราเถิด.
               ชูชกไม่อาจละเลยถ้อยคำของนางได้ เพราะว่าที่มีใจผูกพันนางด้วยอำนาจกิเลส จึงให้นางเตรียมเสบียง เดินทางถึงกรุงเชตุดรโดยลำดับ แล้วถามว่า พระเวสสันดรมหาราชอยู่ที่ไหน.
               มหาชนต่างเกรี้ยวกราดว่า [พระราชา] ของพวกเรา เพราะทรงให้ทานยาจกพวกนี้จึงต้องถูกเนรเทศออกจากแว่นแคว้น. อีตาพราหมณ์เฒ่าผู้นี้ทำให้พระราชาของพวกเราได้รับความพินาศแล้วยังมีหน้ามาถึงที่นี้อีก ต่างถือก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น ด่าว่าติดตามพราหมณ์ไป.
               พราหมณ์ชูชกนั้นเทวดาดลใจออกจากกรุงเชตุดร แล้วเดินตรงไปยังทางที่จะไปเขาวงกต ถึงประตูป่าโดยลำดับ หยั่งลงสู่ป่าใหญ่ หลงทางเที่ยวไป เตลิดไปพบกับเจตบุตรซึ่งพระราชาเหล่านั้นทรงตั้งไว้เพื่ออารักขาพระโพธิสัตว์.
               เจตบุตรถามว่า จะไปไหนพราหมณ์.
               ชูชกบอกว่า จะไปหาพระเวสสันดรมหาราช.
               เจตบุตรคิดว่า อีตาพราหมณ์นี้น่าจะไปทูลขอพระโอรสธิดาหรือพระเทวีของพระเวสสันดรเป็นแน่ จึงขู่ตะคอกว่า พราหมณ์ ท่านอย่าไปที่นั้นนะ. หากไปเราจะตัดหัวท่านเสียที่นี่แหละ แล้วให้สุนัขของเรากิน.
               ชูชกถูกขู่ก็กลัวตายจึงกล่าวเท็จว่า พระชนกของพระเวสสันดรส่งเราเป็นทูตมาด้วยหมายใจว่าจักนำพระเวสสันดรกลับพระนคร.
               เจตบุตรได้ฟังดังนั้นก็ร่าเริงยินดี แสดงความเคารพนับถือพราหมณ์ จึงบอกทางไปเขาวงกตให้แก่พราหมณ์.
               พราหมณ์เดินทางออกจากนั้นในระหว่างทาง ได้พบกับอัจจุตดาบสจึงถามถึงหนทาง.
               เมื่ออัจจุตดาบสบอกหนทางให้ จึงเดินไปตามทางตามเครื่องหมายที่อัจจุตดาบสบอก ถึงที่ตั้งอาศรมบทของพระโพธิสัตว์โดยลำดับ จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ในเวลาที่พระนางมัทรีเทวีไปหาผลไม้ แล้วทูลขอพระกุมารกุมารีทั้งสอง.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               เมื่อเราอยู่ในป่าใหญ่ ชูชกพราหมณ์เดินเข้ามาหาเรา ได้ขอบุตรทั้งสองของเรา คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินา.
               เมื่อพราหมณ์ทูลขอพระกุมารกุมารีอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ทรงเกิดโสมนัสด้วยพระประสงค์ว่า นานแล้วยาจกมิได้มาหาเรา วันนี้ เราจักบำเพ็ญทานบารมีโดยไม่ให้เหลือ ทรงยังจิตของพราหมณ์ให้ยินดีดุจวางถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ลงบนมือที่เหยียดออกและยังหลืบเขานั้นทั้งสิ้นให้บรรลือ ตรัสว่า
               เราให้ลูกทั้งสองของเราแก่ท่าน ส่วนพระนางมัทรีเทวีไปป่าเพื่อหาผลาผล แต่เช้าตรู่จักกลับก็ตอนเย็น.
               อนึ่ง เมื่อนางมัทรีกลับ ท่านจงแสดงลูกทั้งสองนั้นจงดื่มเคี้ยวรากไม้และผลาผล อยู่ค้างสักคืนหนึ่งพอหายเมื่อย เช้าตรู่จึงค่อยไป.
               พราหมณ์คิดว่า พระเวสสันดรนี้พระราชทานพระกุมารกุมารี เพราะมีพระอัธยาศัยกว้างขวางแท้ แต่พระนางมัทรีพระมารดามีความรักบุตรกลับมาจะพึงทำอันตรายแก่ทานได้. ถ้ากระไร เราจะทูลแค่นไค้พระเวสสันดรนี้แล้ว พาโอรสทั้งสองไปวันนี้ให้จงได้.
               จึงกราบทูลว่า หากพระองค์พระราชทานพระโอรสทั้งสองแก่ข้าพระองค์แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะแสดงกะพระมัทรีแล้วจึงส่งไป. ข้าพระองค์จักขอพาโอรสทั้งสองไปในวันนี้แหละ พระเจ้าข้า.
               พระเวสสันดรตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ หากท่านไม่ปรารถนาจะเห็นพระนางมัทรีราชบุตรี ท่านจงพาทารกทั้งสองนี้ไปยังกรุงเชตุดร. ณ ที่นั้น พระสญชัยมหาราชจักรับทารกทั้งสองแล้วพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแก่ท่าน. ท่านจักมีทาสหญิงทาสชายได้ด้วยทรัพย์นั้น และท่านก็จะมีชีวิตอยู่อย่างสบาย. อีกประการหนึ่ง ทารกทั้งสองนี้ก็เป็นสุขุมาลชาติ เธอทั้งสองนั้นจักปรนนิบัติท่านได้อย่างไรเล่า.
               พราหมณ์ทูลว่า ข้าพระองค์มิอาจจะทำอย่างนั้นได้ ข้าพระองค์เกรงพระราชอาญา. ข้าพระองค์จักนำไปบ้านของข้าพระองค์เลย พระเจ้าข้า.
               ทารกทั้งสองได้สดับการสนทนาของพระบิดาและพราหมณ์ คิดว่า พระบิดามีพระประสงค์จะพระราชทานเราทั้งสองแก่พราหมณ์ จึงเลี่ยงไปยังสระโบกขรณีแอบที่กอประทุม.
               พราหมณ์ไม่เห็นพระกุมารกุมารี จึงทูลว่า พระองค์ตรัสว่าจะพระราชทานทารกทั้งสองแล้วให้ทารกทั้งสองหนีไป แล้วจึงทูลต่อว่าว่า นั่นเป็นอุบายวิธีที่ดีงามของพระองค์.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงรีบลุกขึ้นเที่ยวตามหาพระกุมารกุมารี ทรงเห็นทั้งสองแอบอยู่ที่กอปทุมจึงตรัสว่า
               ลูกรักทั้งสองจงขึ้นมาเถิด ลูกทั้งสองอย่าได้ทำอันตรายแก่ทานบารมีของพ่อเลย จงให้อัธยาศัยในทานของพ่อถึงที่สุดเถิด.
               อนึ่ง พราหมณ์ผู้นี้พาลูกทั้งสองไปแล้วก็จักไปหาพระเจ้าสญชัยมหาราชซึ่งเป็นพระอัยกาของลูก.
               พ่อชาลีลูกรัก ลูกต้องการจะเป็นไทก็พึงให้ทอง ๑,๐๐๐ แท่งแก่พราหมณ์แล้วก็จะได้เป็นไท.
               ดูก่อนแม่กัณหาชินาลูกรัก ลูกควรให้สิ่งละ ๑๐๐ คือทาสชาย ๑๐๐ ทาสหญิง ๑๐๐ ช้าง ๑๐๐ ม้า ๑๐๐ โคอุสภะ ๑๐๐ ทองคำ ๑๐๐ แท่งแล้วลูกก็จะพึงเป็นไท.
               ทรงตีราคาค่าตัวลูกทั้งสองดังนี้แล้วทรงปลอบพากลับไปยังอาศรมบท เอาคนโทใส่น้ำแล้วหลั่งน้ำลงในมือของพราหมณ์ ทำให้เป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณ ทรงเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ยังมหาปฐพีให้บรรลือกัมปนาท ได้พระราชทานบุตรเป็นที่รัก.
               แม้ในจริยานี้ก็ได้มีแผ่นดินไหวเป็นต้นโดยนัยดังกล่าวแล้วในจริยาก่อน.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               เพราะได้เห็นยาจกเข้ามาหา ความร่าเริงเกิดขึ้นแก่เรา ในกาลนั้น เราได้พาบุตรทั้งสองมาให้แก่พราหมณ์ เมื่อเราสละบุตรทั้งสองของตนให้แก่ชูชกพราหมณ์ในกาลใด แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน ภูเขาสิเนรุราชก็หวั่นไหว.
               ครั้งนั้น พราหมณ์เอาเถาวัลย์ผูกพระหัตถ์ฉุดคร่าทารกทั้งสองผู้ไม่อยากจะไป. ในพระหัตถ์ที่ผูกนั้นโลหิตไหลออกจากผิวหนัง. พราหมณ์เอาท่อนเถาวัลย์ตีฉุดคร่าไป.
               พระกุมารกุมารีทรงเหลียวดูพระบิดาแล้วทูลว่า 
               ข้าแต่พระบิดา พระมารดาก็เสด็จไปป่า พระบิดาก็ทรงเห็นแต่ลูกทั้งสอง พระบิดาอย่าเพิ่งทรงให้ลูกไปเลยจนกว่าพระมารดาจะกลับมา เมื่อนั้นแหละอีตาพราหมณ์เฒ่าจะขายหรือจะฆ่าลูกทั้งสองก็ตามที.
               ทูลต่อไปอีกมีอาทิว่า อีตาพราหมณ์เฒ่านี้ร้ายกาจนัก ทำการหยาบช้า จะเป็นมนุษย์หรือยักษ์ กินเนื้อและเลือด ออกจากบ้านมาสู่ป่า จะมาขอทรัพย์กะพระบิดา เมื่อตาพราหมณ์เฒ่าปีศาจจะนำลูกไป ไฉนพระบิดาจึงทรงมองดูเฉยอยู่เล่า.
               ทั้งสองพระกุมารกุมารีต่างกันแสงไห้.
               ชูชก เมื่อพระกุมารกุมารีร่ำไห้อยู่อย่างนั้นก็โบยฉุดกระชากหลีกไป.
               พระมหาสัตว์ทรงเกิดความเศร้าโศกเป็นกำลัง ด้วยความสงสารลูกทั้งสองที่ร้องไห้และด้วยความไม่สงสารของพราหมณ์.
               ในขณะนั้นเองทรงรำลึกถึงประเพณีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ทรงตำหนิพระองค์ว่า ธรรมดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทรงสละมหาบริจาค ๕ แล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า แม้เราก็เป็นผู้หนึ่งของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น บริจาคบุตรทานและมหาบริจาคอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ดูก่อนเจ้าเวสสันดร การให้ทานแล้วเดือดร้อนในภายหลังไม่สมควรแก่เจ้าเลย.
               แล้วทรงเตือนพระองค์ว่า ตั้งแต่เวลาที่เราให้ทานแล้วอะไรๆ ก็มิได้เป็นของเจ้า.
               ทรงอธิษฐาน กุสลสมาทานมั่นคง ประทับนั่ง ณ ประตูบรรณศาลา ดุจพระปฏิมาทองคำนั่งบนแผ่นหิน ฉะนั้น.
               ลำดับนั้น พระนางมัทรีเทวีหาบผลาผลจากป่าเสด็จกลับ เทพยดาทั้งหลายจึงแปลงกายเป็นมฤคร้ายกั้นทางไว้ด้วยดำริว่า พระนางมัทรีจงอย่าเป็นอันตรายแก่ทานของพระมหาสัตว์เลย.
               เมื่อมฤคร้ายหลีกไปแล้วพระนางเสด็จถึงอาศรมช้าไป ทรงดำริว่าวันนี้เราฝันไม่ดีเลยและเกิดนิมิตร้ายขึ้นอีก จักเป็นอย่างไรหนอ เสด็จเข้าไปยังอาศรมไม่ทรงเห็นพระกุมารกุมารี จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม หม่อมฉันไม่เห็นลูกทั้งสองของเรา ลูกทั้งสองไปเสียที่ไหนเล่าเพคะ.
               พระโพธิสัตว์ทรงนิ่ง.
               พระนางมัทรีค้นหาลูกทั้งสอง เที่ยวหาในที่นั้นๆ มิได้ทรงเห็นจึงกลับไปทูลถามอีก.
               พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่าเราจักให้แม่มัทรีละความเศร้าโศกถึงบุตรด้วยถ้อยคำหยาบ จึงตรัสว่า
               แม่มัทรีผู้มีรูปสมบัติอันประเสริฐ เป็นราชบุตรีเป็นผู้มียศเจ้าไปแสวงหามูลผลาหาร แต่เช้ามิใช่หรือ ไฉนเจ้าจึงกลับมาจนเย็นเล่า.
               เมื่อพระนางทูลถึงเหตุที่ทำให้ล่าช้าก็มิได้ตรัสอะไรๆ ถึงทารกทั้งสองอีกเลย. พระนางมัทรีด้วยความเศร้าโศกถึงบุตรคิดถึงบุตร จึงรีบออกป่า ค้นหาบุตรอีก. สถานที่ที่พระนางมัทรีเที่ยวค้นหาในราตรีเดียวคำนวณดูแล้วประมาณ ๑๕ โยชน์.
               ครั้นรุ่งสว่าง พระนางได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ประทับยืน ถูกความโศกมีกำลังครอบงำเพราะไม่เห็นลูก จึงล้มสลบลงบนพื้นดินแทบพระบาทของพระโพธิสัตว์นั้น ดุจกล้วยถูกตัด.
               พระโพธิสัตว์ทรงหวั่นไหวด้วยทรงสำคัญว่า พระนางมัทรีสิ้นพระชนม์ ทรงเกิดความโศกใหญ่หลวง ดำรงพระสติมั่น ทรงดำริว่า เราจักรู้ว่าแม่มัทรียังมีชีวิตอยู่หรือไม่มี แม้ตลอด ๗ เดือนไม่เคยถูกต้องกายกันเลย เพราะไม่มีอย่างอื่นจึงทรงยกพระเศียรของนางวางบนพระอุรุ (ขา) เอาน้ำพรมลูบคลำ พระอุระพระหัตถ์และพระหทัย.
               พระนางมัทรีล่วงไปเล็กน้อยก็ได้พระสติบังเกิดหิริโอตตัปปะทูลถามว่า ลูกทั้งสองไปไหน.
               พระโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนเทวี พี่ได้ให้บุตรของเราเพื่อเป็นทาสแก่พราหมณ์คนหนึ่งซึ่งมาขอกะพี่.
               เมื่อพระนางมัทรีทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เพราะเหตุไร พระเจ้าพี่ทรงให้ลูกทั้งสองแก่พราหมณ์แล้วจึงไม่บอกแก่น้องปล่อยให้ร้องไห้ เที่ยวหาอยู่ตลอดคืนเล่า ตรัสว่า เมื่อพี่บอกเสียก่อน น้องก็จะมีทุกข์ใจมาก แต่บัดนี้ทุกข์เบาบางลงแล้ว.
               พระองค์จึงทรงปลอบพระมัทรีว่า 
               ดูก่อนแม่มัทรี น้องจงดูพี่ อย่าปรารถนาที่จะเห็นลูกเลย อย่ากันแสงไปนักเลย เราไม่มีโรค ยังมีชีวิตอยู่ คงจะได้พบลูก เป็นแน่แท้.
               แล้วตรัสต่อไปว่า 
                สัตบุรุษเห็นยาจกมาขอทาน แล้วพึงให้บุตร สัตว์เลี้ยง ข้าวเปลือกและทรัพย์อย่างอื่นอันมีอยู่ในเรือน. ดูก่อนแม่มัทรี น้องจงอนุโมทนาบุตรทานอันสูงสุดของพี่เถิด.
               แล้วทรงให้พระนางมัทรีอนุโมทนาบุตรทานของพระองค์.
               แม้พระนางมัทรีก็ทูลอนุโมทนาว่า 
               ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ น้องขออนุโมทนาบุตรทาน อันสูงสุดของพระเจ้าพี่ ครั้นพระเจ้าพี่พระราชทานบุตรแล้ว ขอจงทรงยังพระทัยให้ผ่องใส จงทรงบำเพ็ญทานให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก.
               เมื่อกษัตริย์ทั้งสองทรงสนทนากันเป็นที่สำราญพระทัยของกันและกันอย่างนี้แล้ว.
               ท้าวสักกะจึงทรงดำริว่า เมื่อวานพระมหาบุรุษยังปฐพีให้กึกก้องกัมปนาท ได้พระราชทานพระโอรสธิดาแก่ชูชก. บัดนี้จะมีบุรุษชั่วเข้าไปหาพระองค์ แล้วทูลขอพระมัทรีเทวีก็จะพาเอาไปเสียอีก. แต่นั้น พระราชาโพธิสัตว์ก็จะหมดที่พึ่ง. เอาเถิดเราจะแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เข้าไปหาพระองค์ทูลขอพระนางมัทรี ทำให้พระโพธิสัตว์ทรงถือเอายอดพระบารมี แล้วจักไม่ทรงกระทำสิ่งที่ไม่ควรสละให้แก่ใครๆ อีกแล้ว จักมาคืนพระนางมัทรีนั้นแก่พระโพธิสัตว์.
               ท้าวสักกะจึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ ในตอนพระอาทิตย์ขึ้นได้ไปหาพระโพธิสัตว์.
               พระมหาบุรุษทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์นั้น ทรงเกิดปีติโสมนัสว่า แขกของเรามาแล้ว ทรงกระทำปฏิสันถารอย่างอ่อนหวานกับพราหมณ์นั้น แล้วตรัสถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านมาที่นี้เพื่อประสงค์อะไร.
               ลำดับนั้น ท้าวสักกะจึงทูลขอพระนางมัทรีเทวี.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               ท้าวสักกะทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เสด็จลงจากเทวโลก มาขอนางมัทรีผู้มีศีล มีจริยาวัตรอันงามกะเราอีก.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์มิได้ตรัสว่า เมื่อวานนี้ เราได้ไห้ลูกทั้งสองแก่พราหมณ์ แม้เราก็อยู่ผู้เดียวเท่านั้นในป่า เราจักให้แม่มัทรีผู้มีศีลปฏิบัติสามีดีแก่ท่านได้อย่างไร. มีพระทัยมิได้ถดถอย เพราะไม่สละ เพราะไม่ผูกมัด ดุจวางรตนะอันหาค่ามิได้ลงในมือที่เหยียดออกทรงร่าเริงยินดีดุจยังคิรีให้กึกก้องกัมปนาทว่า วันนี้ ทานบารมีของเราจักถึงที่สุด ตรัสว่า 
                ท่านพราหมณ์ เราจะให้ เราไม่หวั่นไหว ท่านขอสิ่งใดกะเรา เราไม่ซ่อนเร้นที่มีอยู่นั้น ในของเรายินดีในทาน.
               ทรงรีบเอาน้ำใส่คนโทแล้วหลั่งน้ำลงในมือพราหมณ์ได้พระราชทานภรรยาให้.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               เรามีความดำริแห่งใจเลื่อมใส เราจับพระหัตถ์พระนางมัทรี ยังฝ่ามือให้เต็มด้วยน้ำ ได้ให้พระนางมัทรีแก่พราหมณ์นั้น.
               มีความดำริแห่งใจเลื่อมใสแล้วด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอันเกิดขึ้นแล้วว่า เราจักยังที่สุดแห่งทานบารมีให้ถึงด้วยการบริจาคภริยานี้ แล้วจักบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแน่นอน.
               หมู่เทพ หมู่พรหม ได้เกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่งว่า บัดนี้พระสัมมาสัมโพธิญาณของพระโพธิสัตว์นั้นอยู่ไม่ไกล.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               เมื่อเราให้พระนางมัทรี ทวยเทพในท้องฟ้าต่างเบิกบาน แม้ในครั้งนั้น แผ่นดิน เขาสิเนรุราชก็หวั่นไหว.
               อนึ่ง เมื่อเราให้พระนางมัทรีเทวีไม่มีร้องไห้หน้าเศร้าหรือเพียงคิ้วขมวด.
               พระนางมัทรีเทวีได้มีพระดำริอย่างเดียวว่า จะทำสิ่งที่พระสวามีปรารถนา.
               พระนางมัทรีตรัสต่อไปว่า 
               เราเป็นราชกุมารี ได้เป็นภริยาของท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นก็เป็นเจ้าของ เป็นอิสระในตัวเรา เมื่อปรารถนาจะให้เราแก่ผู้ใดก็ให้ได้ หรือจะขายก็ได้ จะฆ่าเสียก็ได้.
               แม้พระมหาบุรุษก็ตรัสว่า ท่านพราหมณ์ผู้เจริญ พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น เรารักยิ่งกว่าแม่มัทรี ร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า. ขอทานของเรานี้จงเป็นปัจจัยแห่งการรู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณเถิด แล้วพระราชทานทาน.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า 
               เมื่อเราสละพ่อชาลี แม่กัณหาชินาผู้เป็นธิดา และพระนางมัทรีผู้จงรักสามี ไม่คิดถึงเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณนั่นเอง
               บุตรทั้งสองเราก็ไม่เกลียด พระนางมัทรี เราก็ไม่เกลียด แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้บุตรและภริยาอันเป็นที่รักของเราอีกครั้งหนึ่ง.
               ก็เพราะเหตุไรเล่า พระมหาบุรุษจึงทรงสละบุตรภริยาของพระองค์ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติเป็นกษัตริย์ โดยให้เป็นทาสของผู้อื่น เพราะการทำผู้เป็นไทบางพวก ไม่ให้เป็นไท มิใช่สิ่งที่ดี.
               ตอบว่า เพราะเป็นธรรมสมควร.
               จริงอยู่ การเข้าถึงพุทธการกธรรมเป็นธรรมดานี้ คือการบริจาควัตถุที่เขาหวงว่า นี้ของเรา เนื่องในตนทั้งปวงได้โดยไม่เหลือ.
               จริงอยู่ การสละวัตถุที่เขาหวงว่าของเรา แก่ยาจกผู้ขอจะไม่สมควรแก่พระโพธิสัตว์ผู้ถึงความขวนขวายเพื่อบำเพ็ญทานบารมีปราศจากการกำหนดไทยธรรมและปฏิคาหกก็หามิได้.
               แม้นี้ก็เป็นธรรมอันสมควรมีมาแต่เก่าก่อน. ธรรมที่ประพฤติสะสมมาสม่ำเสมอนี้ เป็นวงศ์ของตระกูลเป็นประเพณีของตระกูลของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง คือการบริจาคของทุกสิ่ง.
               แต่โดยพิเศษออกไปในข้อนั้น ก็คือการบริจาคสิ่งอันเป็นที่รักกว่า.
               จริงอยู่ พระโพธิสัตว์บางองค์เป็นพระพุทธเจ้า เพราะทรงบริจาคมหาบริจาค ๕ เหล่านี้ คือ บริจาคทรัพย์มีความเป็นอิสระในราชสมบัติเป็นต้นอันสืบวงค์มา ๑ การบริจาคอวัยวะ มีศีรษะและนัยน์ตาเป็นต้นของตน ๑ บริจาคชีวิตอันเป็นที่รัก ๑ บริจาคบุตรเป็นที่รักผู้จะดำรงวงศ์ตระกูล ๑ บริจาคภริยาเป็นที่รักมีความประพฤติเป็นที่ชอบใจ ๑ เคยมีมาแล้วมิใช่หรือ.
               เป็นความจริงดังนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุมังคละ ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ทรงแสวงหาโพธิญาณประทับอยู่ ณ ภูเขาลูกหนึ่งพร้อมด้วยบุตรภรรยาในอัตภาพที่ ๓ จากอัตภาพก่อนมียักษ์ชื่อว่าขรทาฐิกะ (เขี้ยวแหลม) ได้ฟังว่าพระมหาบุรุษมีอัธยาศัยในการให้ จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ขอทารกทั้งสอง.
               พระมหาสัตว์เบิกบานใจว่า เราจะให้บุตรทั้งสองแก่พราหมณ์ ยังปฐพีมีน้ำเป็นที่สุดให้หวั่นไหวได้ให้ทารกทั้งสอง. ยักษ์ยืนพิงกระดานสำหรับยึดในที่สุดที่จงกรม เมื่อพระโพธิสัตว์เห็นอยู่นั่นเอง ได้เคี้ยวกินเด็กทั้งสองดุจเหง้าบัว.
               เมื่อพระมหาบุรุษแลดูปากของยักษ์ ซึ่งพ่นสายเลือดออกมาดุจเปลวไฟ ไม่ให้โอกาสแก่จิตตุปบาทเกิดขึ้นว่ายักษ์ลวงเรา เพราะความเป็นผู้ฉลาดในอุบายได้อบรมดีมาแล้ว เพราะสภาพของธรรมในอดีตไม่มีปฏิสนธิ และเพราะความย่ำยีของสังขารทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น จึงเกิดโสมนัสขึ้นว่า ทานบารมีของเราเต็มแล้ว. เรายังประโยชน์ใหญ่ให้สำเร็จแล้วได้บรรลุ ดังนี้ด้วยกองสังขารอันหาสาระมิได้ผุพังไปตั้งอยู่เดี๋ยวเดียวอย่างนี้.
               พระมหาสัตว์ทราบความดีงามแห่งจิตของตน ในขณะนั้นอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น จึงตั้งความปรารถนาว่า ด้วยผลอันนี้ในอนาคต ขอรัศมีของเราจงออกจากร่างกาย โดยทำนองเดียวกันนี้เถิด.
               รัศมีจากสรีระของพระโพธิสัตว์ผู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น เพราะอาศัยความปรารถนานั้น ได้แผ่ซ่านตลอดโลกธาตุ ๑๐,๐๐๐ ตั้งอยู่เป็นนิจ.
               พระโพธิสัตว์แม้เหล่าอื่นก็อย่างนั้นสละสิ่งอันเป็นที่รักของตนและบุตรภรรยา ก็รู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ.
               อีกอย่างหนึ่ง เหมือนอย่างว่าบุรุษคนใดคนหนึ่งรับจ้างทำการงานบ้านหรือชนบทในสำนักของใครๆ พึงทำทรัพย์หายไป ด้วยความประมาทของตนหรือของลูกน้อง เขาถูกจับส่งเข้าไปยังเรือนจำ.
               เขาพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า เราทำการงานของพระราชานี้ เก็บทรัพย์ไว้ได้ประมาณเท่านี้ เราถูกพระราชานั้นส่งเข้าไปในเรือนจำ. หากเราอยู่ในเรือนจำนี้ ตนก็จนย่อยยับ บุตรภรรยากรรมกรและบุรุษของเราปราศจากอาชีพพึงถึงความพินาศย่อยยับ ถ้ากระไรเราจักทูลพระราชา ทรงตั้งบุตรหรือพี่ชายน้องชายของตนไว้ในที่นี้แล้วพึงออกไป. เราพ้นจากเรือนจำนี้ ไม่ช้าก็จะรวบรวมทรัพย์ จากมิตร จากสหายแล้วถวายแด่พระราชาแล้วปล่อยบุตรพี่ชายน้องชายนั้นจากเรือนจำ.
               เราเป็นผู้ไม่ประมาทจักกระทำสมบัติให้เหมือนเดิมด้วยกำลังความเพียร.
               เพราะเหตุนั้น การบริจาคบุตรภรรยาของพระมหาบุรุษทั้งหลาย จึงเป็นสภาพอันหาโทษมิได้ด้วยประการฉะนี้.
               โดยนัยนี้แล การทักท้วงใดในการบริจาคอวัยวะและชีวิตของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น แม้การทักท้วงนั้นก็พึงทราบว่าบริสุทธิ์ดีแล้ว.
               ก็เมื่อพระมหาสัตว์ทรงให้พระนางมัทรีเทวีอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกะทรงบังเกิดความอัศจรรย์อันไม่เคยมี ได้ทรงสรรเสริญด้วยการอนุโมทนาทานของพระมหาบุรุษโดยนัยมีอาทิว่า 
              ข้าศึกทั้งหลายทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์ พระองค์ชนะได้ทั้งหมดปฐพี พระองค์ก็ให้กึกก้องได้ พระเกียรติศัพท์ของพระองค์ก็ระบือไปถึงไตรทิพย์.
               เมื่อพระองค์ทรงให้สิ่งที่ให้ได้ยาก กระทำสิ่งที่ทำได้ยาก คนที่เป็นอสัตบุรุษก็ทำตามได้ยาก ธรรมของสัตบุรุษนำไปได้ยาก เพราะฉะนั้นคติของสัตบุรุษและอสัตบุรุษ จากโลกนี้ไปจึงต่างกัน อสัตบุรุษย่อมไปนรก สัตบุรุษย่อมไปสวรรค์.
               ท้าวสักกะทรงสรรเสริญด้วยการอนุโมทนาพระมหาบุรุษอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงมอบพระนางมัทรีเทวีคืน จึงตรัสว่า 
                 ข้าพเจ้าขอถวายพระนางมัทรีอัครมเหสีผู้มีพระวรกายงามพร้อม แก่พระองค์ พระองค์เท่านั้นคู่ควรแก่พระนางมัทรี และพระนางมัทรีก็คู่ควรแก่พระองค์ผู้เป็นพระสวามี.
               แล้วทรงมอบพระนางมัทรีคืน เสด็จประทับบนอากาศ รุ่งโรจน์ด้วยพระอัตภาพเป็นทิพย์ ดุจดวงอาทิตย์อ่อนๆ ประทับอยู่บนอากาศ แสดงพระองค์ตรัสว่า 
                 ข้าแต่พระราชฤๅษี ข้าพเจ้าคือท้าวสักกะจอมเทพมายังสำนักของพระองค์ ขอพระองค์จงทรงเลือกพร ข้าพระองค์จะถวายพร ๘ ประการแก่พระองค์.
               แม้พระมหาสัตว์ก็ทรงขอพร ๘ ประการเหล่านี้ คือ
               ๑. ข้าแต่จอมเทพ ขอพระบิดาทรงแต่งตั้งข้าพระองค์ให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ ๒. ขอให้ข้าพระองค์ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องถึงประหารให้พ้นจากการประหาร ๓. ขอให้ข้าพระองค์เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ๔. ขอให้ข้าพระองค์อย่าได้ล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น อย่าได้ลุอำนาจของสัตว์ ๕. ขอให้โอรสของข้าพระองค์มีอายุยืนนาน ๖. ขอให้ไทยธรรมมีข้าวและน้ำเป็นต้นมีมาก ๗. ขอให้ข้าพระองค์มีจิตผ่องใส บริจาคไทยธรรมนั้นไม่รู้จักหมดสิ้น ๘. ขอให้ข้าพระองค์บริจาคมหาทานอย่างนี้ ครั้นสิ้นชีพแล้ว ขอให้ไปสู่เทวโลก กลับจากเทวโลกมาเกิดในมนุษยโลกนี้ ขอให้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ.
               ท้าวสักกะตรัสว่า ในไม่ช้า พระเจ้ากรุงสญชัยมหาราชพระบิดาจักเสด็จมา ณ ที่นี้ รับพระองค์ไปดำรงในราชสมบัติ.
               อนึ่ง ความปรารถนาของพระองค์นอกนั้นทั้งหมด จักถึงที่สุด พระองค์อย่าทรงวิตกไปเลย. ขอพระองค์อย่าทรงประมาท.
               ครั้นประทานโอวาทแล้วก็เสด็จกลับเทวโลกทันที.
               พระโพธิสัตว์และพระนางมัทรีเทวีทรงเบิกบานพระทัย ประทับอยู่ ณ อาศรมที่ท้าวสักกะประทานให้.
               แม้เมื่อชูชกพาสองกุมารไป ทวยเทพก็ได้ทำการอารักขา. ทุกๆ วันจะมีเทพธิดาองค์หนึ่งมาในตอนกลางคืน แปลงเพศเป็นพระนางมัทรีคอยดูแลสองกุมาร.
               ชูชกนั้นเทวดาดลใจ คิดว่าจักไปกาลิงครัฐ แต่ก็บรรลุถึงกรุงเชตุดร โดยกึ่งเดือน.
               พระราชาประทับนั่ง ณ ที่วินิจฉัย ทอดพระเนตรเห็นสองกุมารกับพราหมณ์ไปถึงพระลานหลวง ทรงจำได้รับสั่งให้เรียกสองกุมารกับพราหมณ์ ทรงสดับเรื่องราวนั้น จึงพระราชทานทรัพย์ตามจำนวนที่พระโพธิสัตว์ทรงตีราคาไว้ไถ่สองกุมาร ให้สองกุมารสรงสนาน เสวยพระกระยาหาร ทรงตกแต่งด้วยเครื่องสรรพาลังการ.
               พระราชาทรงให้พระชาลีประทับบนพระเพลา พระนางผุสดีทรงให้แก้วกัณหาชินาประทับบนพระเพลา ทรงสดับถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์และพระนางมัทรีราชบุตรี.
               พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วทรงสลดพระทัยว่า เราได้ทำลายความดีงาม ทันใดนั้นเอง ทรงจัดกองทัพนับได้ ๑๒ อักโขภินี (อักโขภินีหนึ่งเท่ากับร้อยล้านแสนโกฏิ) ทรงมุ่งพระพักตร์เสด็จไปเขาวงกต พร้อมด้วยพระนางผุสดีเทวีและสองกุมาร. เสด็จถึงโดยลำดับแล้วทรงเข้าไปหาพระโอรสและพระสุณิสา.
               พระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นพระปิยบุตร ไม่สามารถอดกลั้นความโศกได้ ทรงสลบล้มลง ณ ที่บรรณศาลานั่นเอง.
               พระนางมัทรี พระชนกชนนี และเหล่าอำมาตย์ ๖๐,๐๐๐ ที่เป็นสหชาติต่างก็สลบไสลไปตามๆ กัน.
               บรรดาผู้เห็นความกรุณานั้นไม่สามารถดำรงอยู่โดยความเป็นตนของตนได้ ตลอดอาศรมบทได้เป็นเหมือนป่าสาละที่ถูกลมยุคันตวาตโหมกระหน่ำฉะนั้น.
               ท้าวสักกเทวราช เพื่อให้กษัตริย์และอำมาตย์ฟื้นจากสลบจึงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมา. ผู้ประสงค์จะให้เปียกก็เปียก ดุจฝนตกลงในใบบัวแล้วกลับกลายเป็นน้ำไหลไป. ทั้งหมดก็ฟื้น.
               แม้ในครั้งนั้น ความอัศจรรย์มีแผ่นดินไหวเป็นต้นมีประการดังกล่าวแล้วในหนหลังก็ได้ปรากฏขึ้น.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า 
               อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระชนกชนนีเสด็จมาพร้อมกัน ณ ป่าใหญ่ ทรงกันแสงสะอึกสะอื้นน่าสงสาร ตรัสถามถึงทุกข์สุขกันและกันอยู่ เราได้เข้าเฝ้าพระชนกชนนีทั้งสองผู้เป็นที่เคารพด้วยหิริและโอตตัปปะ แม้ในกาลนั้น แผ่นดิน เขาสิเนรุราช ก็หวั่นไหว.
               ด้วยเหตุนั้น มหาปฐพีจึงหวั่นไหวขึ้นในครั้งนั้นด้วยเดชะแห่งธรรมของเรา.
               ลำดับนั้น พระเจ้ากรุงสญชัยมหาราชทรงให้พระมหาสัตว์ยกโทษให้ แล้วทรงมอบราชสมบัติให้ครอบครอง ในขณะนั้นเองทรงให้พระมหาสัตว์ปลงพระเกศาและพระมัสสุเป็นต้น ให้ทรงสรงสนาน ทรงอภิเษกพระมหาสัตว์ผู้ทรงตกแต่งด้วยสรรพาภรณ์งดงามดังเทวราชไว้ในราชสมบัติ พร้อมพระนางมัทรีเทวี.
               ทันใดนั้นทรงลุกขึ้นพร้อมด้วยเสนา ๔ เหล่าประมาณ ๑๒ อักโขภินีแวดล้อมพระโอรสรับสั่งให้ตกแต่งทาง ๖๐ โยชน์ตั้งแต่เขาวงกตถึงกรุงเชตุดร เสด็จเข้าสู่พระนครโดยสวัสดี เป็นเวลาสองเดือน.
               มหาชนได้เสวยปีติโสมนัสเป็นอันมาก ต่างยกผืนผ้าเป็นต้นโบกไปมา เที่ยวประโคมนันทเภรีไปทั่วพระนคร.
               สัตว์ทั้งปวงโดยที่สุด แมวที่อยู่ในเครื่องผูกมัดก็ได้พ้นจากเครื่องผูกมัด.
               พระโพธิสัตว์ในวันเสด็จเข้าสู่พระนครนั่นเอง ตอนใกล้รุ่งทรงดำริว่า พรุ่งนี้ตอนสว่าง ยาจกทั้งหลายได้ข่าวว่าเรากลับมาก็จักพากันมา. เราจักให้อะไรแก่ยาจกเหล่านั้น.
               ในขณะนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวเธอทรงรำพึงอยู่ทรงทราบเหตุนั้นแล้ว ทันใดนั่นเองทรงบันดาลให้สิ่งของมีอยู่ตอนต้นและมีในตอนหลัง ของพระราชนิเวศน์เต็มประมาณเอว ประทานให้ตกดุจก้อนเมฆ. ฝนแก้ว ๗ ประการตกทั่วพระนครสูงปานเข่า.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า 
               อีกครั้งหนึ่ง เรากับบรรดาพระญาติของเราออกจากป่าใหญ่ จักเข้าสู่กรุงเชตุดรอันน่ารื่นรมย์ แก้ว ๗ ประการตกลง แล้วมหาเมฆยังฝนให้ตก แม้ในกาลนั้น ปฐพี เขาสิเนรุราชก็หวั่นไหว แม้แผ่นดินไม่มีจิตใจ ไม่รู้สุขและทุกข์ก็หวั่นไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะกำลังแห่งทานของเรา ฉะนี้แล.
               เมื่อฝนแก้ว ๗ ประการตกอย่างนี้ รุ่งขึ้นพระมหาสัตว์ทรงดำริว่าทรัพย์ที่อยู่ในวัตถุที่มีอยู่ก่อนและมีทีหลังของตระกูลใดจงเป็นของตระกูลนั้น แล้วพระราชทานให้นำส่วนที่เหลือมาใส่ไว้ในท้องพระคลังรวมกับทรัพย์ในวัตถุที่อยู่ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์ แล้วทรงบริจาคมหาทาน.
               มหาปฐพีหวั่นไหวถึง ๗ ครั้งในฐานะเหล่านี้ คือในเมื่อเรามีอายุได้ ๘ ขวบเกิดอัธยาศัยในการให้ว่า เราพึงให้แม้หัวใจและเนื้อเป็นต้น แก่ยาจกทั้งหลาย ในเมื่อให้มงคลหัตถี ในการครั้งใหญ่จนถูกขับไล่ ในการให้บุตร ในการให้ภริยา ในคราวหมู่พระญาติมาพร้อมกันที่เขาวงกต ในคราวเข้าสู่พระนคร ในคราวฝนรตนะตก.
               พระมหาสัตว์ทรงบริจาคมหาทานตราบเท่าพระชนมายุอันเป็นเหตุ ปรากฏความอัศจรรย์มีมหาปฐพีหวั่นไหวเป็นต้นสิ้น ๗ ครั้งในอัตภาพเดียวเท่านั้น เมื่อเสด็จสวรรคตได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตด้วยประการฉะนี้.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า 
               ครั้นพระเวสสันดรราชผู้เป็นกษัตริย์มีพระปัญญาพระราชทานมหาทาน ครั้นสวรรคตแล้วก็ทรงอุบัติบนสวรรค์.
               ชูชกในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้.
               นางอมิตตตาปนา คือนางจิญจมาณวิกา.
               เจตบุตร คือพระฉันนะ.
               อจุตดาบส คือพระสารีบุตรเถระ.
               ท้าวสักกะ คือพระอนุรุทธะ.
               พระนางมัทรี คือมารดาพระราหุล.
               ชาลีกุมาร คือพระราหุล.
               กัณหาชินา คือนางอุบลวรรณา.
               พระชนกชนนี คือตระกูลมหาราช.
               บริษัทที่เหลือ คือพุทธบริษัท.
               พระเวสสันดรราช คือพระโลกนาถ.
               แม้ใน เวสฺสนฺตรจริยา นี้ ก็พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือตามสมควรโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
               พึงประกาศคุณานุภาพของพระมหาบุรุษไว้ในจริยานี้อันเป็นเหตุปรากฏความอัศจรรย์หลายอย่างมีมหาปฐพีหวั่นไหวเป็นต้นถึง ๗ ครั้งมีอาทิอย่างนี้ คือ
               เมื่อพระมหาสัตว์ทรงอยู่ในพระครรภ์ พระชนนีทรงแพ้พระครรภ์ เพราะมีพระประสงค์จะทรงสละทรัพย์ถึง ๖๐๐,๐๐๐ ทุกๆ วัน.
               อนึ่ง เมื่อทรงให้ทานพระราชทรัพย์ก็มิได้หมดสิ้นไป.
               ในขณะประสูตินั่นเอง ทรงเหยียดพระหัตถ์ แล้วเปล่งพระวาจาว่า หม่อมฉันจักให้ทาน. มีอะไรบ้าง.
               เมื่อมีพระชนม์ได้ ๔-๕ พระพรรษา ความที่พระองค์มีพระประสงค์จะทรงให้เครื่องประดับของพระองค์แก่แม่นมทั้งหลาย อันเป็นเหตุแห่งความเป็นผู้เลิศ.
               เมื่อพระชนม์ ๘ พระพรรษา ความที่พระองค์มีพระประสงค์จะทรงให้อวัยวะของพระองค์มีหัวใจและเนื้อเป็นต้น.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า 
               ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ น่าอัศจรรย์ทั้งไม่เคยมีอย่างนี้ แม้เพียงจิตเลื่อมใสในท่านเหล่านั้น ก็พึงพ้นจากทุกข์ จะพูดไปทำไมถึงการทำตามท่านเหล่านั้น โดยธรรมสมควรแก่ธรรม.

               จบอรรถกถาเวสสันตรจริยาที่ ๙               
               -----------------------------------------------------  

 

หมายเลขบันทึก: 713117เขียนเมื่อ 10 มิถุนายน 2023 13:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2023 13:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท