ได้ทีขี่แพะไล่ (Rub salt into one's wound)


สุภาษิตหรือคำพังเพยเป็นคำสอนหรือคำเตือนใจของคนในสังคมทุกสังคม เพียงแต่เราจะนำใช้เป็นคำสอน หรือกลยุทธ์ หรือคำเยาะเย้ย ก็แล้วแต่ผู้ใช้ และบริบท ดังที่ปราฏอยู่ในสังคมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน 

เป็นคำสอนก็เช่น ​คำพังเพยที่ว่า ขี่ช้างจับตั๊กแตน ซึ่งสอนว่า อย่าทำ หรือลงทุนอะไรที่ได้ผลตอบแทนที่น้อยนิด ไม่คุ้ม และใช้เพื่อเยาะเย้ยก็จะชี้นำว่าคนที่ทำแบบนั้นโง่เขลาเบาปัญญาจริง

ส่วนจะใช้สุภาษิตเป็นกลยุทธ์หรือไม่นั้น ต้องดูเหตุการณ์ต่อเนื่องครับ เช่น ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม เพื่อชี้นำว่าเรื่องนี้ต้องใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน ขณะเดียวกันผู้นำใช้กลับรีบทำ เพื่อชิงความได้เปรียบ เป็นต้น 

สำหรับการที่มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราออกมาร่ายกลอนสอนพรรคการเมืองที่กำลังจัดตั้งรัฐบาลอยู่ในปัจจุบันว่า ​'ปราถนาสารพัดในปัฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง' นั้นจะเป็นคำสอน หรือกลยุทธ์นั้น ต้องดูการตอบสนองของผู้เกี่ยวข้อง และผลที่จะเกิดตามมากันต่อไปครับ 

อย่างไรก็ตามผมเห็นว่า ถ้าเป็นการดำรงชีวิตประจำวัน หรือการบริหารองค์การทั่วไป คำสอนนี้เป็นประโยชน์ไม่น้อย แต่สิ่งที่กำลังเกิดอยู่ในปัจจุบันเป็นปัญหาของประเทศ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคนใดคนหนึ่งครับ ไม่ใช่การต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของใคร แต่เป็นปัญหาและเป็นประโยชน์ร่วมกันของทุกคนครับ 

ปัญหาของประเทศในครั้งนี้เกิดขึ้นจากกติกาการตั้งรัฐบาลที่ไม่เป็นไปตามหลักประชาธิไตยสากล ที่ว่าพรรคการเมือง หรือกลุ่มพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากจากการเลือกตั้งจะได้สิทธิ์ในการตั้งรัฐบาล ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้มีพรรคการเมืองกลุ่มหนึ่งมีเสียงรวมกันกว่า 300 เสียง จาก 500 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร แต่มีปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะ กติกาการตั้งรัฐบาลในครั้งนี้กำหนดให้วุฒิสมาชิก (สว.) 250 คน มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย จึงทำให้คะแนนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ต้องได้คะแนนเสียงในรัฐสภา 376 เสียง จาก 750 เสียง จึงมีการตั้งธงกันว่า ถ้าอยากตั้งรัฐบาลได้ (1) ต้องหาเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ให้ได้ 376 เสียงสิ หรือ (2) ขอเสียงสนับสนุนจาก สว. ให้ได้คะแนนครบ 376 สิ ซึ่งเป็นที่มาของข้อแนะนำว่าถ้าอยากได้คะแนนจาก สส. หรือ สว. เหล่านั้นก็ให้เอาไม่ตรีไปแลกเอา อะไรประมาณนี้ 

แต่นี่เป็นวาระแห่งชาติครับ ไม่ใช่ประโยชน์ของคนใดคนหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครับ ในสภาพปัจจุบันนี้ถ้าต้องการได้เสียงสนับสนุนจาก สส. ให้ครบ 376 เสียงขึ้นไป ก็ต้องขอให้พรรคที่เคยร่วมรัฐบาลเดิมมาร่วมด้วย ซึ่งไม่รู้ว่้าจะมาหรือไม่มา แต่สมมติว่ามาได้ ก็จะถูกถล่มอีกว่า ​'อยากเป็นรัฐบาลจนยอมพรรคที่เคยกล่าวหาเขาว่าเป็นฝ่ายเผด็จการ' และถ้าฝ่ายโน้นไม่มา ก็จะมีประเด็นถล่มอีกแบบอื่นกันต่อไปครับ ส่วนจะหวังว่า สส. อีกฝ่ายจะร่วมโหวตนั้นก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่จะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดนั้นก็สุดเดา ยกเว้นว่า สส. ซึ่งเป็นนักการเมืองภาคสนามมานานจะร่วมกันเซ็ตซีโร่การเมืองใหม่ โดยร่วมกันโหวตตั้งรัฐบาลให้ได้ก่อน แล้วทุกอย่างค่อยว่ากันในสภากันต่อไป ครับ 

ส่วนเรื่องไปขอเสียงสนับสนันจาก สว. นั้นเป็นสิ่งที่พึงกระทำ และที่กำลังกระทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คือการทำความเข้าใจและการให้การสนับสนุนในสิ่งที่รัฐบาลใหม่จะทำครับ ส่วนท่านจะตัดสินใจอย่างไรเป็นเอกสิทธิ์ และประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินการกระทำของท่านอีกชั้นหนึ่ง  แต่การที่จะให้ฝ่ายที่กำลังจัดตั้งรัฐบาลอยู่ในปัจจุบันไปอ้อนวอนและแลกด้วยไมตรี ซึ่งไม่ว่าไมตรีนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม เช่น สว. บางท่านก็บอกว่าตอนอภิปรายในสภานั้นด่าท่านอะไรได้ ตอนนี้ถ้าอยากได้คะแนนเสียงสนับสนุนแปลว่าต้องขอโทษใช่ไหน หรือให้ทำอะไร ซึ่งถ้าทำเช่นนั้นจะมีวาทกรรมใหม่อีกไหม ว่า ‘ก่อนโน้นก็อภิปรายเสียๆ หายๆ แต่พออยากเป็นนายกรัฐมนตรี หรืออยากตั้งรัฐบาลแล้ว ยอมได้ทุกอย่าง’ 

ทั้งหมดนี้อย่าหาว่าผมคิดไปเอา หรือจินตนาการจนสร้างภาพน่ากลัวนะครับ ซึ่งท่านก็ดูตัวอย่างที่ผ่านมาไม่กี่วันนะครับ คือ การใช้กรณีการแก้ไขมาตรา 112 เป็นอุปสรรคในการตั้งรัฐบาล ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นนโยบายของรัฐบาลใหม่หรือไม่ เพราะยังไม่มีนโยบายอย่างเป็นทางการ พอร่างเอ็มโอยูในการจัดตั้งรัฐบาลออกมา และไม่มีประเด็นมาตรา 112 แล้ว นักการเมืองอาวุโสท่านหนึ่งก็ออกมาขย่มทันทีว่า ต่อไปนี้พวกประทวงชูสามนิ้ว ต้องไปยกป้ายประท้วง ต้องไปประท้วงที่พรรคก้าวไกลแทนแล้ว เป็นต้น 

ผมจึงขอสนับสนุนสิ่งที่พรรคร่วมตั้งรัฐบาลอยู่ในปัจจุบันทำอยู่คือ (1) ตั้งรัฐบาลโดยรวมคะแนนจากพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมและที่ตั้งใหม่นั้นดีและถูกต้องแล้ว (2) การสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น สส.ในฝ่ายที่กำลังจัดตั้งรัฐบาล ฝ่ายที่ไม่ได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาล สว. และประชาชนทั่วไป เพื่อให้เห็นสิ่งที่จะทำ และประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติที่จะได้จากรัฐบาลชุดนี้  ส่วนผลการโหวตจะออกมาเป็นอย่างไรนั้น ก็ให้เป็นสิทธิ์ของทุกฝ่าย และทุกคนที่มีสิทธิ์ในการโหวต แต่ไม่ผมเห็นด้วยที่ต้องไปงอนง้อ หรือขอร้อง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม เพราะการตั้งรัฐบาลครั้งนี้เป็นวาระแห่งชาติของทุกคน ซึ่งแน่นอน ผลออกมาอาจจะเป็นว่าตั้งรัฐบาลได้ ก็เป็นประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง แล้วก็ร่วมกันสร้างระบบการเมืองใหม่ที่ดีกันต่อไป ส่วนถ้าผลออกมาว่าตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็ต้องดูกันต่อไปว่าเราจะอยู่กันแบบรัฐบาลรักษาการ หรือรัฐบาลเสียงข้างน้อยกันต่อไปอีกเกือบปี จนกว่า สว. ชุดปัจจุบันหมดวาระ แล้วค่อยว่ากันต่อไปหรือไม่  ส่วนมีท่านที่เป็นห่วงว่าในช่วงเกือบ 1 ปีต่อไปนี้ฝ่ายรัฐบาลเสียงข้างน้อยกับ สว.จะร่วมมือกันแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ก็ต้องรอดูกันต่อไป 

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ผมอยากให้เราตั้งรัฐบาลได้สำเร็จนะครับ แต่ถ้าไม่สำเร็จผมก็ไม่อยากให้ฝ่ายที่กำลังตั้งรัฐบาลอยู่ในขณะนี้เสียกำลังใจ และไม่อยากให้ประชาชนโทษ สส. และพรรคที่ท่านเลือกมานะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมากจากกติกาที่ไม่เป็นประชาธิไตยตามหลักสากล  ซึ่งก็จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศเราแล้ว กล่าวคือถ้ามีการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยจริง ๆ เราก็จะได้ ‘ฝ่ายค้านเสียงข้างมาก (ที่มากจริงๆ) ในสภาฯ’ ซึ่งเป็นบันทึกหน้าใหม่ของประชาธิปไตยของไทยเราครับ 

สมาน อัศวภูมิ 

21 พ.ค. 2566

หมายเลขบันทึก: 712848เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2023 09:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม 2023 09:56 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท