พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ตอนที่ ๑ พุทธาปทาน


พระอานนท์ น้อมกายลงทูลถามพระตถาคตผู้ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นเพราะเหตุอะไร

พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก

ตอนที่ ๑ พุทธาปทาน

พลตรี มารวย ส่งทานินทร์

๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑

๑. พุทธวรรค

หมวดว่าด้วยพระพุทธเจ้าเป็นต้น

 

เกริ่นนำ

            พระอานนท์ น้อมกายลงทูลถามพระตถาคตผู้ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นเพราะเหตุอะไร

 

๑. พุทธาปทาน

พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า

 

            [๑] พระอานนทเถระ ผู้เป็นมุนีชาวแคว้นวิเทหะ น้อมกายลงทูลถามพระตถาคตผู้ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารว่า ได้ทราบว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้ามีอยู่ พระสัพพัญญูพุทธเจ้าเหล่านั้นผู้เป็นนักปราชญ์ ทรงอุบัติขึ้นเพราะเหตุอะไร

             [๒] ลำดับนั้น พระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ได้ตรัสกับพระอานนท์ผู้เจริญด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะว่า ธีรชนเหล่าใดได้สั่งสมกุศลสมภารไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ยังไม่ได้ความหลุดพ้นจากกิเลสในศาสนาของพระชินเจ้าทั้งหลาย

             [๓] เพราะมุ่งหน้าต่อสัมโพธิญาณนั้นแล ธีรชนผู้มีปัญญาแก่กล้าดี จึงได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู ด้วยอัธยาศัยที่เข้มแข็งและด้วยอำนาจแห่งปัญญา

             [๔] ถึงเราก็ได้เป็นผู้มีใจปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ในสำนักของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ หลายพระองค์ พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงเป็นพระธรรมราชา นับไม่ถ้วน

             [๕] ต่อไปนี้ ขอให้เธอทั้งหลายผู้มีใจหมดจด จงฟังประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระธรรมราชา สมบูรณ์ด้วยบารมี ๓๐ ประการ (บารมี ๓๐ ประการ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา, ทานอุปบารมี ฯลฯ อุเบกขาอุปบารมี, ทานปรมัตถบารมี ฯลฯ อุเบกขาปรมัตถบารมี ทานบารมี การบำเพ็ญทานตามปกติ ทานอุปบารมี การบำเพ็ญทานยิ่งกว่าปกติ ทานปรมัตถบารมี การบำเพ็ญทานระดับสูงสุด เช่น สละทรัพย์ภายนอกเป็นทานบารมี สละอวัยวะเป็นทานอุปบารมี สละชีวิตเป็นทาน เป็นปรมัตถบารมี) นับไม่ถ้วน

             [๖] เรายกนิ้วมือทั้ง ๑๐ นิ้วขึ้น นอบน้อมพระโพธิญาณของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด อภิวาทพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก พร้อมด้วยพระสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า

             [๗] ในพุทธเขต (พุทธเขต (เขตแดนของพระพุทธเจ้า) มี ๓ คือ ชาติเขต อาณาเขต วิสัยเขต ชาติเขตมีขอบเขตหนึ่งหมื่นจักรวาลจะเกิดการหวั่นไหวทั่วถึงกันในคราวพระพุทธเจ้าถือปฏิสนธิเป็นต้น อาณาเขตมีขอบเขตถึงหนึ่งแสนโกฏิจักรวาล เป็นสถานที่ที่อานุภาพแห่งพระปริตรแผ่ไปถึง วิสัยเขตไม่มีขอบเขตที่จะกำหนดได้) มีรัตนะที่อยู่ในอากาศ ที่อยู่บนภาคพื้นดิน นับจำนวนไม่ถ้วนอยู่เท่าใด เราพึงนึกนำรัตนะเท่านั้นทั้งหมดมาได้

             [๘] ณ พื้นที่อันเป็นเงินนั้น เราได้เนรมิตปราสาทแก้วหลายร้อยชั้น สูงตระหง่านโชติช่วงในท้องฟ้า

             [๙] มีเสาวิจิตรงดงาม มีค่ามากตั้งอยู่เรียงราย มีขื่อทำด้วยทองคำ (ติดคู่ห่วงทองคำที่ขื่อหรือจันทัน) ประดับด้วยนกกระเรียนและฉัตร

             [๑๐] พื้นชั้นแรกทำด้วยแก้วไพฑูรย์ งดงามดังก้อนเมฆปราศจากมลทิน มีภาพฝูงปลาและดอกบัวอยู่เกลื่อนกลาด ย่อมงามด้วยพื้นทองคำอย่างดี

             [๑๑] (ที่ปราสาทนั้น) พื้นบางชั้นมีภาพกิ่งไม้อ่อนช้อย มีสีเหมือนสีแก้วประพาฬ บางชั้นมีสีแดงสด บางชั้นงดงามเปล่งรัศมีดังสีแมลงค่อมทอง (แมลงค่อมทอง หมายถึงแมลงปีกแข็ง ตัวเล็กกว่าแมลงทับปีกสีเขียวเหลืองทอง) บางชั้นสว่างไสวไปทั่วทิศ

             [๑๒] (ที่ปราสาทนั้น) แบ่งพื้นที่เป็นหน้ามุข ระเบียง หน้าต่าง ไว้อย่างดี มีพวงอุบะหอม (พวงอุบะหอม ในที่นี้หมายถึงพวงของหอม (ดอกไม้ร้อยเป็นพวงอย่างพู่สำหรับห้อยระหว่างเฟื่องเป็นต้น)) ที่น่ารื่นรมย์ใจ ห้อยย้อยจากวลัยไพที (ไพที ในที่นี้หมายถึงแท่นที่รองเครื่องบูชา) และบานประตูข่ายทั้ง ๔ ด้าน

             [๑๓] (ที่ปราสาทนั้น) ประกอบด้วยเรือนยอดชั้นเยี่ยม ประดับด้วยรัตนะ ๗ ประการ มีสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำล้วน

             [๑๔] (ที่ปราสาทนั้น) มีดอกปทุมชูก้านบานสะพรั่ง งดงามด้วยภาพหมู่เนื้อร้ายและฝูงนก ดารดาษด้วยดวงดาวพราวพรายระยิบระยับ ประดับด้วยรูปดวงจันทร์และดวงอาทิตย์

             [๑๕] (ปราสาทนั้น) ใช้ตาข่ายทองคำปกคลุม ติดข่ายกระดิ่งทองคำ พวงดอกไม้ทองคำ น่ารื่นรมย์ใจ ลมพัดมากระทบเข้าก็เกิดเสียงดังกังวาน

             [๑๖] (ที่ปราสาทนั้น) ขึงธงทิวซึ่งย้อมด้วยสีนานาชนิด คือ ธงสีหงสบาท สีแดง สีเหลือง สีทองชมพูนุท

             [๑๗] (ที่ปราสาทนั้น) มีที่นอนต่างๆ งดงาม มากมายหลายร้อยชนิด ทำด้วยแก้วผลึก เงิน แก้วมณี ทับทิม แก้วลาย ปูด้วยผ้าแคว้นกาสีเนื้อละเอียดอ่อน

             [๑๘] ผ้าห่มสีเหลือง ทอด้วยด้ายขนสัตว์ ทอด้วยผ้าเปลือกไม้ ทอด้วยฝ้ายเมืองจีน ทอด้วยฝ้ายเมืองปัตตุณณะ เครื่องปูลาดต่างๆ ทั้งหมดเราอธิษฐานใจปูลาดไว้

             [๑๙] แต่ละชั้นประดับด้วยช่อฟ้าซึ่งทำด้วยรัตนะ มีคนยืนถือประทีปดวงแก้วสว่างไสวอยู่เรียงราย

             [๒๐] มีเสาระเนียด (เสาปักเรียงรายตลอดรั้ว) และเสาค่ายทองคำ เสาค่ายทองชมพูนุท เสาค่ายไม้แก่น (และ)เสาค่ายเงินที่งดงาม ย่อมทำปราสาทนั้นให้งดงาม

             [๒๑] (ที่ปราสาทนั้น) มีที่ต่อ(ช่อง)หลายแห่งจัดไว้เรียบร้อยดี มีบานประตูและลูกดาลงดงาม มีกระถางบัวหลวง บัวขาบเรียงรายอยู่ทั้ง ๒ ด้าน

             [๒๒] เราเนรมิตพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกในอดีตทุกพระองค์ พร้อมทั้งพระสงฆ์สาวกด้วยวรรณะและรูปตามปกติ

             [๒๓] พระพุทธเจ้าทุกพระองค์พร้อมด้วยสาวกเป็นหมู่พระอริยะ เสด็จเข้าไปทางประตูนั้น ประทับนั่งบนตั่งทองคำล้วน

             [๒๔] พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทั้งที่เป็นอดีตและปัจจุบันทุกพระองค์ ได้เสด็จขึ้นสู่ปราสาทของเราแล้ว

             [๒๕] พระปัจเจกพุทธเจ้าหลายร้อยพระองค์ ผู้เป็นพระสยัมภู ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้ (พระสยัมภู ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้ หมายถึง ไม่พ่ายแพ้แก่มาร คือ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวปุตตมาร) ทั้งที่เป็นอดีตและปัจจุบันทั้งหมด ได้เสด็จขึ้นสู่ปราสาทของเราแล้ว

             [๒๖] ต้นกัลปพฤกษ์ทิพย์ (ต้นกัลปพฤกษ์ทิพย์ หมายถึงต้นไม้ที่เกิดในเทวโลก) และต้นกัลปพฤกษ์มนุษย์ มีมากมาย เราได้นำผ้าทุกอย่างมาจากต้นกัลปพฤกษ์เหล่านั้น ตัดเย็บเป็นไตรจีวรถวายให้นุ่งห่ม

             [๒๗] ของเคี้ยว ของฉัน ของลิ้ม น้ำปานะ รวมทั้งอาหารมีอยู่อย่างเพียบพร้อม เราถวายบรรจุจนเต็มบาตรแก้วมณีลูกงามทุกลูก

             [๒๘] หมู่พระอริยะเหล่านั้น เป็นผู้หมดจดจากกิเลส ครองจีวรผ้าทิพย์เสมอกัน อันข้าพเจ้านิมนต์ฉันจนอิ่มหนำ ด้วยน้ำตาลกรวด น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และข้าวอย่างดี

             [๒๙] ทั้งหมดได้เข้าไปสู่ห้องแก้ว เหมือนไกรสรราชสีห์เข้าไปสู่ถ้ำ

             [๓๐] สำเร็จสีหไสยาสน์บนที่นอนมีค่ามาก มีสติสัมปชัญญะ ลุกขึ้นแล้ว นั่งขัดสมาธิบนที่นอน

             [๓๑] ซึ่งเป็นอารมณ์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แนบแน่นด้วยความยินดีในฌาน หมู่หนึ่งแสดงธรรม หมู่หนึ่งยินดีด้วยฤทธิ์

             [๓๒] หมู่หนึ่งเข้าอัปปนาฌาน หมู่หนึ่งเจริญอภิญญาวสี (อภิญญาวสี หมายถึงความชำนาญในอภิญญา ๕ ประการ คือ (๑) อาวัชชนวสี ชำนาญในการคำนึงถึง (๒) สมาปัชชนวสี ชำนาญในการเข้า (๓) วุฏฐานวสี ชำนาญในการออก (๔) อธิฏฐานวสี ชำนาญในการอธิษฐาน (๕) ปัจจเวกขณวสี ชำนาญในการ พิจารณา) แสดงฤทธิ์ได้หลายร้อยหลายพันประการ

             [๓๓] ฝ่ายพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ถามพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถึงปัญหาอันเป็นวิสัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณ พระพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ทรงรู้แจ้งเหตุอันลึกซึ้งละเอียดอ่อนด้วยปัญญา

             [๓๔] สาวกทั้งหลายก็ทูลถามพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ตรัสถามสาวกทั้งหลาย ทั้งพระพุทธเจ้าและสาวกเหล่านั้นต่างก็ถามตอบกันและกัน

             [๓๕] พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกผู้ปรนนิบัติเหล่านั้น ต่างรื่นรมย์ยินดีในปราสาทด้วยความยินดีด้วยประการฉะนี้

             [๓๖] (พระเจ้าติโลกวิชัยทรงดำริว่า) ฉัตรตั้งซ้อนกัน มีรัศมีเปล่งปลั่งดังแก้วไพฑูรย์ ขอให้ทุกคนจงกั้นฉัตร มีตาข่ายทองคำห้อยระย้า ประดับด้วยตาข่ายเงิน แวดล้อมด้วยตาข่ายแก้วมุกดาไว้เหนือศีรษะข้าพเจ้า

             [๓๗] มีเพดานผ้าติดดวงดาวทองมีแสงแวววาว มีพวงมาลัยห้อยอยู่ทั่วงดงามตระการตา เพดานผ้าทั้งหมด จงดาดอยู่เหนือศีรษะ

             [๓๘] สระที่ดารดาษด้วยพวงมาลัย งดงามด้วยพวงของหอม (พวงของหอม หมายถึงจันทน์ ดอกบัวบก หรือหญ้าฝรั่นและกฤษณา เป็นต้น) มีพวงผ้าห้อยระย้า ประดับประดาด้วยพวงรัตนะ

             [๓๙] มีดอกไม้เรียงราย งดงามนัก อบด้วยของหอมกลิ่นฟุ้งขจายไป ใช้นิ้วมือทั้ง ๕ เจิมด้วยของหอม มุงด้วยหลังคาทองคำ

             [๔๐] ทั้ง ๔ ทิศ (แห่งปราสาท) ดารดาษด้วยดอกปทุมและดอกอุบล ปรากฏเป็นสีทอง หอมฟุ้งด้วยละอองเกสรดอกปทุม

             [๔๑] รอบๆ ปราสาท ต้นไม้ทุกต้นจงออกดอกบานสะพรั่ง ดอกไม้หล่นเอง ปลิวไปโปรยปราสาท

             [๔๒] ใกล้ๆ ปราสาทนั้น ขอฝูงนกยูงจงรำแพน (หาง) ฝูงหงส์ทิพย์จงส่งเสียงร้อง ฝูงนกการเวกจงร้องขับขาน วิหคก็จงส่งเสียงขับขานอยู่รอบๆ ปราสาท

             [๔๓] กลองทุกชนิดจงดังขึ้น พิณทุกชนิดจงบรรเลง เครื่องสังคีตทุกชนิดจงบรรเลงขับกล่อมอยู่รอบๆ ปราสาท

             [๔๔-๔๕] ตลอดพุทธเขตและในจักรวาล ต่อจากนั้นจงมีบัลลังก์ทองขนาดใหญ่ เรืองรองด้วยรัศมี ไม่มีช่องว่าง ขลิบด้วยรัตนะ ตั้งอยู่ (รอบๆ ปราสาท) ขอต้นพฤกษาประทีป (พฤกษาประทีป หมายถึงต้นไม้ที่แขวนตะเกียง, โคมไฟ) จงส่องสว่าง มีแสงโชติช่วงติดต่อเป็นอันเดียวกันทั้ง ๑๐,๐๐๐ ดวง

             [๔๖] หญิงนักฟ้อนก็จงฟ้อน หญิงนักร้องก็จงขับร้อง หมู่นางอัปสรก็จงร่ายรำ สนามเต้นรำต่างๆ จงปรากฏอยู่รอบๆ ปราสาท

             [๔๗] เรา(ผู้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่าติโลกวิชัยในครั้งนั้น) สั่งให้ยกธงทุกชนิด วิจิตรงดงาม ๕ สี (วิจิตรงดงาม ๕ สี หมายถึงสีมีสีเขียวและสีแดงเป็นต้น) ไว้บนยอดไม้ บนยอดภูเขา และบนยอดภูเขาสิเนรุ

             [๔๘] หมู่มนุษย์ หมู่นาค หมู่คนธรรพ์ และหมู่เทวดา ทั้งหมดนั้น จงเข้ามาประนมมือนอบน้อมแวดล้อมปราสาทของเรา

             [๔๙] กุศลกรรมใดๆ ควรเพื่อบังเกิดในสวรรค์ชั้นไตรทิพย์ ที่ข้าพเจ้าพึงกระทำด้วยกาย วาจา ใจ กุศลกรรมนั้นทั้งหมด ข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว

             [๕๐] สัตว์เหล่าใดมีสัญญาก็ตาม และสัตว์เหล่าใดไม่มีสัญญาก็ตามมีอยู่ ขอสัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจงเป็นผู้มีส่วนเสวยผลบุญที่เราทำแล้ว

             [๕๑] สัตว์เหล่าใดรู้ว่าเราทำบุญ ขอสัตว์เหล่านั้น จงมีส่วนเสวยผลบุญที่เราให้แล้ว ก็ในบรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดไม่รู้ ขอเทวดาจงไปประกาศให้สัตว์เหล่านั้นทราบ

             [๕๒] เหล่าสัตว์ในโลกผู้อาศัยอาหารเลี้ยงชีวิตทุกจำพวก ขอจงได้โภชนาหารที่น่าพอใจ ตามเจตนาของเรา

             [๕๓] เราให้ทานด้วยใจ ยึดถือความเลื่อมใสด้วยใจเรา (เรา ในที่นี้หมายถึงพระเจ้าจักรพรรดิ) ได้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พร้อมทั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าและสาวกของพระชินเจ้าแล้ว

             [๕๔] ด้วยกรรมที่เราทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตนาไว้มั่น เราละร่างกายมนุษย์แล้วจึงได้ไปเกิดยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

             [๕๕] เรารู้จักแต่ภพทั้ง ๒ คือความเป็นเทวดาหรือความเป็นมนุษย์ มิได้รู้จักคติอื่นเลย นี้เป็นผลแห่งความปรารถนาด้วยใจ

             [๕๖] (เมื่อเราเกิดเป็นเทวดา) เราก็ยิ่งใหญ่กว่าพวกเทวดา (เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์) เราก็ยิ่งใหญ่กว่าพวกมนุษย์ เราสมบูรณ์ด้วยรูปลักษณะ ไม่มีใครเสมอด้วยปัญญา

             [๕๗] โภชนะมีรสอร่อยหลายชนิด รัตนะมิใช่น้อย ผ้าชนิดต่างๆ จากฟากฟ้า ย่อมเข้ามาหาเราเร็วพลัน

             [๕๘] เราเหยียดมือไปในที่ใดๆ จะเป็นบนพื้นดิน ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม ภักษาหารอันเป็นทิพย์ (อาหารทิพย์) จากที่นั้นๆ ย่อมเข้ามาหาเรา

             [๕๙] เราเหยียดมือไปในที่ใดๆ จะเป็นบนพื้นดิน ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม รัตนะทุกอย่างจากที่นั้นๆ ย่อมเข้ามาหาเรา

             [๖๐] เราเหยียดมือไปในที่ใดๆ จะเป็นบนพื้นดิน ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม ของหอมทุกอย่างจากที่นั้นๆ ย่อมเข้ามาหาเรา

             [๖๑] เราเหยียดมือไปในที่ใดๆ จะเป็นบนพื้นดิน ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม ยานพาหนะทุกอย่างจากที่นั้นๆ ย่อมเข้ามาหาเรา

             [๖๒] เราเหยียดมือไปในที่ใดๆ จะเป็นบนพื้นดิน ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม ดอกไม้ทุกอย่างจากที่นั้นๆ ย่อมเข้ามาหาเรา

             [๖๓] เราเหยียดมือไปในที่ใดๆ จะเป็นบนพื้นดิน ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม เครื่องประดับทุกอย่างจากที่นั้นๆ ย่อมเข้ามาหาเรา

             [๖๔] เราเหยียดมือไปในที่ใดๆ จะเป็นบนพื้นดิน ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม หญิงสาวทั้งมวลจากที่นั้นๆ ย่อมเข้ามาหาเรา

             [๖๕] เราเหยียดมือไปในที่ใดๆ จะเป็นบนพื้นดิน ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดจากที่นั้นๆ ย่อมเข้ามาหาเรา

             [๖๖] เราเหยียดมือไปในที่ใดๆ จะเป็นบนพื้นดิน ภูเขา อากาศ ในน้ำ และในป่า ก็ตาม ของขบเคี้ยวทุกอย่างจากที่นั้นๆ ย่อมเข้ามาหาเรา

             [๖๗] เราให้ทานอย่างดีแก่คนไร้ทรัพย์ คนเดินทางไกล คนขอทาน และคนหลงทาง เพื่อต้องการจะบรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ

             [๖๘] เราทำให้ภูเขาศิลาล้วนบันลือ ทำให้ภูเขาหนาทึบกระหึ่ม ทำให้มนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลกร่าเริง จะเป็นพระพุทธเจ้าในโลก

             [๖๙] ทิศทั้ง ๑๐ ในโลก เมื่อคนเดินไป ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ในส่วนแห่งทิศนั้น พุทธเขตก็นับจำนวนไม่ถ้วน(เหมือนกัน)

             [๗๐] แสงสว่างตามปกติของเรา(ในสมัยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ) ปรากฏเปล่งรังสีออกมาเป็นคู่ๆ ข่ายรัศมีมีอยู่ในระหว่างนี้ แสงสว่างมีอย่างไพบูลย์

             [๗๑] ขอประชาชนทั้งหมดในโลกธาตุประมาณเท่านี้ จงมองเห็นเรา ทั้งหมดจงดีใจ ทั้งหมดจงคล้อยตามเรา

             [๗๒] เราตีกลองอมฤต (กลองอมฤต หมายถึงกลองสวรรค์) มีเสียงไพเราะกังวาน ขอประชาชนในระหว่างนี้ จงฟังเสียงที่ไพเราะ(ของเรา)

             [๗๓] เมื่อตถาคตบันดาลเมฆฝนคือพระธรรมให้ตกลง ขอชนทั้งหมดจงเป็นผู้ไม่มีอาสวะ บรรดาผู้ที่ประชุมกันอยู่ในที่นี้ ผู้มีคุณต่ำสุด จงเป็นพระโสดาบัน

             [๗๔] เราให้ทานที่ควรให้แล้ว บำเพ็ญศีลบารมีอย่างเต็มเปี่ยม สำเร็จเนกขัมมบารมีแล้วบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด (สัมโพธิญาณอันสูงสุด หมายถึงมรรคญาณ ๔)

             [๗๕] เราสอบถามบัณฑิตทั้งหลาย (บำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว) บำเพ็ญวิริยบารมีแล้ว สำเร็จขันติบารมีแล้วบรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด

             [๗๖] เราบำเพ็ญอธิษฐานบารมีแล้ว บำเพ็ญสัจจบารมีแล้ว สำเร็จเมตตาบารมีแล้ว บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด

             [๗๗] เรามีใจสม่ำเสมอในอารมณ์ทั้งปวง คือทั้งในลาภ ในความเสื่อมลาภ ในความสุข ในความทุกข์ ในการนับถือและในการถูกดูหมิ่น (บำเพ็ญอุเบกขาบารมีแล้ว) บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด

             [๗๘] ท่านทั้งหลาย จงเห็นความเกียจคร้านเป็นสิ่งน่ากลัว แต่จงเห็นความเพียรเป็นสิ่งปลอดภัย จงบำเพ็ญเพียรกันเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

             [๗๙] ท่านทั้งหลาย จงเห็นการวิวาทกันเป็นสิ่งน่ากลัว แต่จงเห็นการไม่วิวาทกันเป็นสิ่งปลอดภัย จงสมัครสมานสามัคคีกัน พูดจาไพเราะกันเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

             [๘๐] ท่านทั้งหลาย จงเห็นความประมาทเป็นสิ่งน่ากลัว แต่จงเห็นความไม่ประมาทเป็นสิ่งปลอดภัย จงเจริญมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เถิด (มรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ) นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

             [๘๑] พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์จำนวนมากมาประชุมพร้อมกัน ท่านทั้งหลายจงกราบไหว้พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์เถิด

             [๘๒] ตามที่กล่าวมานี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอจินไตย (อจินไตย หมายถึงสภาวะที่พ้นความคิดของตนที่จะคิดได้ คือไม่อยู่ในวิสัยที่จะคิดได้) ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นอจินไตย สำหรับผู้ที่เลื่อมใสในอจินไตย ย่อมมีวิบากเป็นอจินไตย ดังนี้แล

             ได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเมื่อจะทรงให้พระอานนทเถระทราบพุทธจริตของพระองค์จึงได้ตรัสธรรมบรรยายชื่อว่าพุทธาปทานิยะ (การประกาศประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า) ด้วยประการฉะนี้

พุทธาปทานจบ

-----------------------------------------

 

คำอธิบายเพิ่มเติมนี้นำมาจากบางส่วนของอรรถกถาขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ 

๑. พุทธวรรค
๑. พุทธาปทาน

                   นิทานกถา               

               บรรดานิทานนั้น เบื้องต้นพึงทราบปริเฉทคือการกำหนดขั้นตอนของนิทานเหล่านั้นเสียก่อน. ก็กถามรรคที่เล่าเรื่องตั้งแต่พระมหาสัตว์กระทำอภินิหาร ณ เบื้องบาทมูลแห่งพระพุทธทีปังกรจนถึงจุติจากอัตภาพพระเวสสันดรบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จัดเป็นทูเรนิทาน (นิทานในกาลไกล). กถามรรคที่เล่าเรื่องตั้งแต่จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต จนถึงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณที่ควงไม้โพธิ์ จัดเป็นอวิทูเรนิทาน (นิทานในกาลไม่ไกล). ส่วนสันติเกนิทาน (นิทานในกาลใกล้)  จะหาได้ในที่นั้นๆ แห่งพระองค์เมื่อประทับอยู่ในที่นั้นๆ แล.


                ทูเรนิทานกถา               

               ในนิทานเหล่านั้น ที่ชื่อว่าทูเรนิทาน (นิทานในกาลไกล). มีดังต่อไปนี้

               เล่ากันมาว่า ในที่สุดสี่อสงไขยยิ่งด้วยกำไรแสนกัปนับแต่ภัทรกัปนี้ไป ได้มีนครหนึ่งนามว่า อมรวดี ในนครนั้น มีพราหมณ์ชื่อ สุเมธ อาศัยอยู่ เขามีกำเนิดมาดีจากทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดา มีครรภ์อันบริสุทธิ์นับได้เจ็ดชั่วตระกูล ใครๆ จะคัดค้านดูถูกเกี่ยวกับเรื่องชาติมิได้ มีรูปสวยน่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณอันงามยิ่ง เขาไม่กระทำการงานอย่างอื่นเลย ศึกษาแต่ศิลปะของพราหมณ์เท่านั้น.
               มารดาบิดาของเขาได้ถึงแก่กรรมเสียตั้งแต่เขายังรุ่นหนุ่ม ต่อมาอำมาตย์ผู้จัดการผลประโยชน์ของเขานำเอาบัญชีทรัพย์สินมา เปิดห้องอันเต็มด้วยทอง เงิน แก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น แล้วบอกให้ทราบถึงทรัพย์ตลอดเจ็ดชั่วตระกูลว่า ข้าแต่กุมาร ทรัพย์สินเท่านี้เป็นของมารดา เท่านี้เป็นของบิดา เท่านี้เป็นของปู่ตาและทวด แล้วเรียนว่า ขอท่านจงครอบครองทรัพย์สินมีประมาณเท่านี้เถิด.
               สุเมธบัณฑิตคิดว่า บิดาและปู่เป็นต้นของเราสะสมทรัพย์นี้ไว้แล้ว เมื่อไปสู่ปรโลกจะถือเอาแม้ทรัพย์กหาปณะหนึ่งไปด้วยก็หามิได้ แต่เราควรจะทำเหตุที่จะถือเอาทรัพย์ไปให้ได้ ครั้นคิดแล้วเขาจึงกราบทูลแด่พระราชา ให้ตีกลองป่าวร้องไปในพระนคร ให้ทานแก่มหาชน แล้วบวชเป็นดาบส.

               เมื่อสุเมธดาบสบรรลุอภิญญาพละอย่างนี้แล้ว ให้เวลาล่วงไปด้วยความสุขอันเกิดจากสมาบัติ. พระศาสดาพระนามว่า ทีปังกร ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก. ในการถือปฏิสนธิ การประสูติ การตรัสรู้และการประกาศพระธรรมจักรของพระศาสดาพระองค์นั้น หมื่นโลกธาตุแม้ทั้งสิ้นสะเทือนเลื่อนลั่นหวั่นไหวร้องลั่น. บุพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้นแล้ว. สุเมธดาบสยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในสมาบัติ ไม่ได้ยินเสียงนั้นและไม่ได้เห็นบุพนิมิตเหล่านั้นด้วย. ในกาลนั้น พระทศพลพระนามว่าทีปังกร มีพระขีณาสพสี่แสนห้อมล้อมแล้ว เสด็จจาริกไปถึงรัมมนคร เสด็จประทับอยู่ในสุทัสสนมหาวิหาร.
               ชนชาวรัมมนครได้ทราบข่าวว่า เขาลือกันว่า พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ผู้เป็นใหญ่กว่าสมณะ ทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณอันยิ่งยอด ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จจาริกไปโดยลำดับ เสด็จถึงรัมมนครของพวกเราแล้ว เสด็จประทับอาศัยอยู่ในสุทัสสนมหาวิหาร ต่างพากันถือเภสัชมีเนยใสและเนยข้นเป็นต้น และผ้าเครื่องนุ่งห่ม ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ก็พากันหลั่งไหลไปจนถึงที่พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ประทับ เข้าเฝ้าพระศาสดาถวายบังคมแล้ว บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง สดับพระธรรมเทศนา ทูลนิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น แล้วพากันลุกจากอาสนะหลีกไป.
               ในวันรุ่งขึ้น ชนเหล่านั้นต่างพากันตระเตรียมมหาทาน ประดับพระนครตกแต่งหนทางที่จะเสด็จมาแห่งพระทศพล ในที่มีน้ำขังก็เอาดินถม ทำพื้นที่ดินให้ราบเรียบ โรยทรายอันมีสีดังแผ่นเงิน โปรยข้าวตอกและดอกไม้ เอาผ้าย้อมสีต่างๆ ยกเป็นธงชายและธงแผ่นผ้า ตั้งต้นกล้วยและแถวหม้อน้ำเต็ม.
               ในกาลนั้น สุเมธดาบสเหาะจากอาศรมของตนขึ้นสู่อากาศ แล้วเหาะไปทางส่วนเบื้องบนของคนเหล่านั้น เห็นพวกเขาร่าเริง ยินดีกัน จึงคิดว่ามีเหตุอะไรหนอ จึงลงจากอากาศยืนอยู่ ณ ข้างหนึ่ง ถามคนทั้งหลายว่า ท่านผู้เจริญ พวกท่านพากันประดับประดาหนทางอันไม่สม่ำเสมอในที่นี้ เพื่อใครกัน.
               มนุษย์ทั้งหลายจึงเรียนว่า ท่านสุเมธผู้เจริญ ท่านไม่ทราบหรือ พระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร บรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว ประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จจาริกมาถึงนครของพวกเรา เสด็จประทับอาศัยอยู่ในสุทัสสนมหาวิหาร พวกเราทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมา จึงพากันตกแต่งทางเสด็จมาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
               ลำดับนั้น สุเมธดาบสจึงคิดว่า แม้เพียงคำประกาศว่า พุทโธ ก็หาได้ยากในโลก จะป่วยกล่าวไปใยถึงการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า แม้เราก็ควรจะร่วมกับคนเหล่านี้ตกแต่งทางเพื่อพระทศพลด้วย. ท่านจึงกล่าวกะคนเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านทั้งหลายตกแต่งทางนี้เพื่อพระพุทธเจ้าไซร้ ขอท่านจงให้โอกาสแห่งหนึ่งแก่เราบ้าง แม้เราก็จักตกแต่งทางพร้อมกับพวกท่าน.
               คนเหล่านั้นรับปากว่า ดีแล้ว ต่างรู้กันอยู่ว่า สุเมธดาบสมีฤทธิ์ จึงกำหนดเอาโอกาสที่น้ำขังให้ไปด้วยคำว่า ท่านจงตกแต่งที่นี้.
               สุเมธดาบสถือเอาปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์แล้วคิดว่า เราสามารถจะตกแต่งโอกาสนี้ด้วยฤทธิ์ได้ โอกาสคือที่ว่างซึ่งเราตกแต่งด้วยฤทธิ์อย่างนี้ จะไม่ทำเราให้ดีใจนัก วันนี้ เราควรกระทำการขวนขวายด้วยกาย จึงขนดินมาถมลงในสถานที่นั้น.
               เมื่อสถานที่นั้นของสุเมธดาบสยังตกแต่งไม่เสร็จเลย พระทีปังกรทศพลห้อมล้อมด้วยพระขีณาสพผู้ได้อภิญญา ๖ มีอานุภาพมากสี่แสน เมื่อเหล่าเทวดาบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ทิพย์เป็นต้น บรรเลงดนตรีทิพย์ ขับสังคีตทิพย์ เมื่อเหล่ามนุษย์บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น และดนตรีอันเป็นของมนุษย์ พระองค์ได้เสด็จดำเนินตามทางที่ตกแต่งประดับประดานั้น ด้วยพุทธลีลาอันหาอุปมามิได้ ประดุจราชสีห์เยื้องกรายบนมโนศิลาฉะนั้น.
               สุเมธดาบสลืมตาทั้งสองขึ้นมองดูพระวรกายของพระทศพลผู้เสด็จดำเนินมาตามทางที่ตกแต่งไว้ ซึ่งถึงความงามด้วยพระรูปโฉมอันประดับด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สวยงามด้วยพระอนุยัญชนะ ๘๐ แวดวงด้วยพระรัศมีด้านละวา เปล่งพระพุทธรัศมีอันหนาทึบมีพรรณ ๖ ประการเป็นวงๆ และเป็นคู่ๆ เหมือนสายฟ้าแลบมีประการต่างๆ ในพื้นท้องฟ้าซึ่งมีสีดังแก้วมณีฉะนั้น จึงคิดว่า วันนี้ เราควรบริจาคชีวิตเพื่อพระทศพล พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าทรงเหยียบเปือกตม แต่จงทรงเหยียบบนหลังเราเสด็จไปพร้อมกับพระขีณาสพสี่แสนองค์ เหมือนกับเหยียบสะพานแผ่นแก้วมณีฉะนั้น ข้อนั้นจักเป็นประโยชน์เกื้อกูลและสุขแก่เราตลอดกาลนาน ครั้นคิดแล้วจึงสยายผม แล้วเอาหนังเสือ ชฎามณฑลและผ้าเปลือกไม้ปูลาดลงบนเปือกตมอันมีสีดำ แล้วนอนลงบนหลังเปือกตม ประหนึ่งว่าสะพานแผ่นแก้วมณีฉะนั้น.
                 สุเมธดาบสนั้นนอนบนหลังเปือกตมนั้นแล ลืมตาทั้งสองขึ้นอีก เห็นพระพุทธสิริของพระทีปังกรทศพล จึงคิดว่า ถ้าเราพึงต้องการ ก็พึงเผากิเลสทั้งปวงเป็นสังฆนวกะเข้าไปสู่รัมมนครได้ แต่เราไม่มีกิจด้วยการเผากิเลส ด้วยเพศที่ใครไม่รู้จักแล้วบรรลุพระนิพพาน ถ้ากระไรเราพึงเป็นดังพระทศพลทีปังกร บรรลุพระอภิสัมโพธิญาณอย่างสูงยิ่งแล้วขึ้นสู่ธรรมนาวาให้มหาชนข้ามสงสารสาครได้แล้ว จึงปรินิพพานภายหลัง ข้อนี้สมควรแก่เรา.
                  ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรเสด็จมาแล้ว ทรงยืนที่เบื้องศีรษะของสุเมธดาบส ทรงลืมพระเนตรทั้งสองอันสมบูรณ์ด้วยประสาทมีวรรณะ ๕ ประการ ประหนึ่งว่าเปิดสีหบัญชรแก้วมณี ทรงเห็นสุเมธดาบสนอนอยู่เหนือหลังเปือกตม จึงทรงดำริว่า ดาบสนี้กระทำความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้นอนอยู่ ความปรารถนาของดาบสนี้จะสำเร็จหรือไม่หนอ จึงทรงส่งอนาคตังสญาณใคร่ครวญอยู่ ทรงทราบว่า ล่วงสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปแต่กัปนี้ไป ดาบสนี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ทั้งที่ทรงประทับยืนอยู่นั่นแหละ ทรงพยากรณ์ในท่ามกลางบริษัทว่า ท่านทั้งหลายเห็นดาบสผู้มีตบะสูงผู้นี้ซึ่งนอนอยู่บนหลังเปือกตมหรือไม่.
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็นแล้วพระเจ้าข้า.
               พระองค์จึงตรัสว่า
               ดาบสนี้กระทำความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้นอนอยู่ ความปรารถนาของดาบสนี้จักสำเร็จ ด้วยว่า ในที่สุดสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปแต่กัปนี้ไป ดาบสนี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม, ก็ในอัตภาพนั้น พระนครนามว่ากบิลพัสดุ์จักเป็นที่อยู่อาศัยของเขา พระเทวีพระนามว่ามายาจักเป็นพระมารดา พระราชาพระนามว่าสุทโธทนะจักเป็นพระบิดา พระเถระนามว่าอุปติสสะจักเป็นพระอัครสาวก พระเถระนามว่าโกลิตะจักเป็นทุติยสาวก พระเถระนามว่าอานนท์จักเป็นพุทธอุปัฏฐาก พระเถรีนามว่าเขมาจักเป็นอัครสาวิกา พระเถรีนามว่าอุบลวรรณาจักเป็นทุติยสาวิกา ดาบสนี้มีญาณแก่กล้าแล้วจักออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรใหญ่ รับข้าวปายาสที่ควงไม้นิโครธแล้ว บริโภคที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้วขึ้นสู่โพธิมัณฑ์ จักตรัสรู้พร้อมเฉพาะที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์.
                 สุเมธดาบสได้ฟังดังนั้น ได้มีความโสมนัสว่า นัยว่า ความปรารถนาของเราจักสำเร็จ. มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระทศพลทีปังกรแล้ว ต่างพากันร่าเริงยินดีว่า นัยว่าสุเมธดาบสเป็นพืชแห่งพระพุทธเจ้า เป็นหน่อแห่งพระพุทธเจ้า และพวกเขาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ธรรมดาว่ามนุษย์เมื่อจะข้ามแม่น้ำ เมื่อไม่อาจข้ามตามท่าตรงได้ ย่อมข้ามโดยท่าข้างใต้ฉันใด แม้เราทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อไม่ได้มรรคและผลในศาสนาของพระทศพลทีปังกร ก็พึงสามารถทำให้แจ้งมรรคและผลต่อหน้าท่าน ในกาลที่ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ดังนี้แล้วพากันตั้งความปรารถนาไว้.
               ฝ่ายพระทศพลทีปังกรสรรเสริญพระโพธิสัตว์แล้ว บูชาด้วยดอกไม้ ๘ กำมือ ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จหลีกไป. พระขีณาสพนับได้สี่แสนแม้เหล่านั้น ก็บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยของหอมและดอกไม้ กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป. ส่วนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายก็บูชาอย่างนั้นเหมือนกัน ไหว้แล้วพากันหลีกไป.
               ในเวลาที่คนทั้งปวงหลีกไปแล้ว พระโพธิสัตว์จึงลุกขึ้นจากที่นอนแล้วคิดว่า เราจักเลือกเฟ้นหาบารมีทั้งหลาย จึงนั่งขัดสมาธิบนยอดกองดอกไม้. เมื่อพระโพธิสัตว์นั่งอย่างนี้แล้ว เทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นให้สาธุการแล้วกล่าวกันว่า ท่านสุเมธดาบสผู้เป็นเจ้า ในกาลที่พระโพธิสัตว์ครั้งเก่าก่อนนั่งขัดสมาธิด้วยคิดว่าจักเฟ้นหาบารมีทั้งหลาย ชื่อว่าบุรพนิมิตอันใดย่อมปรากฏ แม้บุรพนิมิตเหล่านั้นทั้งหมดก็ปรากฏแล้วในวันนี้ ท่านจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย พวกเราก็รู้ข้อนั้นว่า นิมิตเหล่านี้ปรากฏแก่ผู้ใด ผู้นั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าโดยแน่แท้ ท่านจงประคองความเพียรของตนไว้ให้มั่นคงเถิด แล้วกล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์ด้วยคำสรรเสริญนานัปการ.

               พระโพธิสัตว์ได้ฟังพระดำรัสของพระทีปังกรทศพล และเทวดาในหมื่นจักรวาล เกิดความอุตสาหะยิ่งกว่าประมาณ จึงคิดว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระดำรัสไม่เปล่า ถ้อยคำของพระพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างอื่น เหมือนอย่างว่า ก้อนดินที่ขว้างไปในอากาศจะต้องตกแน่นอน สัตว์เกิดแล้วจะต้องตาย เมื่อราตรีสิ้นไป พระอาทิตย์ก็ต้องขึ้น ราชสีห์ออกจากที่อยู่ก็จะต้องบันลือสีหนาท หญิงมีครรภ์แก่ก็จะต้องคลอดเป็นของมีแน่นอนฉันใด ธรรมดาพระดำรัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของแน่นอนไม่เปล่า. เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่แท้.
              สุเมธดาบสนั้นกระทำการตกลงอย่างนี้ว่า เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน เพื่อที่จะใคร่ครวญถึงธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า จึงคิดว่าธรรมอันกระทำให้เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนหนอ อยู่เบื้องบนหรือเบื้องล่าง หรืออยู่ในทิศใหญ่และทิศน้อย 

เมื่อคิดค้นธรรมธาตุทั้งสิ้นไปโดยลำดับก็ได้เห็น ทานบารมี ข้อที่ ๑ ที่พระโพธิสัตว์แต่เก่าก่อนทั้งหลายถือปฏิบัติเป็นประจำ จึงกล่าวสอนตนอย่างนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญทานบารมีข้อแรกให้บริบูรณ์ เหมือนอย่างว่า หม้อน้ำที่คว่ำไว้ย่อมคายน้ำออกหมด ไม่นำกลับเข้าไปฉันใด ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่เหลียวแลทรัพย์ ยศ บุตรและภรรยาหรืออวัยวะน้อยใหญ่ ให้สิ่งที่เขาต้องการอยากได้ทั้งหมด แก่ยาจกผู้มาถึงกระทำมิให้มีส่วนเหลือ จักได้นั่งที่โคนต้นโพธิ์เป็นพระพุทธเจ้า ครั้นกล่าวสอนตนแล้ว จึงอธิษฐานทานบารมีข้อแรก กระทำให้มั่นแล้ว.
               ลำดับนั้น เมื่อสุเมธดาบสนั้นคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า จะไม่พึงมีประมาณเท่านี้เลย จึงใคร่ครวญให้ยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้เห็น ศีลบารมี ข้อที่ ๒ จึงได้มีความคิดอันนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป แม้ศีลบารมี ท่านก็ต้องบำเพ็ญให้บริบูรณ์ เหมือนอย่างว่า ธรรมดาว่าเนื้อทรายจามรีไม่เห็นแก่ชีวิต รักษาเฉพาะขนหางของตนเท่านั้นฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น จำเดิมแต่นี้ไป อย่าได้เห็นแม้แก่ชีวิต รักษาเฉพาะศีลเท่านั้นจักได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วได้อธิษฐานศีลบารมีข้อที่ ๒ กระทำให้มั่นแล้ว.
                 ลำดับนั้น เมื่อสุเมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายจะไม่พึงมีประมาณเท่านี้เลย จึงใคร่ครวญให้ยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้เห็น เนกขัมมบารมี ข้อที่ ๓ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญแม้เนกขัมมบารมีให้บริบูรณ์ เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้อยู่ในเรือนจำมาเป็นเวลานาน มิได้มีความรักใคร่ในเรือนจำนั้นเลย โดยที่แท้รำคาญอย่างเดียว ไม่อยากอยู่ ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงทำภพทั้งปวงให้เป็นเช่นกับเรือนจำ รำคาญอยากจะพ้นไปจากภพทั้งปวง มุ่งหน้าต่อเนกขัมมะคือการออกจากกามเท่านั้น ท่านจักได้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยอาการอย่างนี้ แล้วได้อธิษฐานเนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ กระทำให้มั่นแล้ว.
                   ลำดับนั้น เมื่อสุเมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายจะไม่พึงมีเพียงเท่านี้ จึงใคร่ครวญให้ยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้เห็น ปัญญาบารมี ข้อที่ ๔ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญแม้ปัญญาบารมีให้บริบูรณ์ ท่านอย่าได้เว้นใครๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นต่ำ ชั้นกลางและชั้นสูง พึงเข้าไปหาบัณฑิตแม้ทั้งหมดไต่ถามปัญหา. เหมือนอย่างว่า ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ไม่ละเว้นตระกูลไรๆ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชั้นต่ำเป็นต้น เที่ยวไปบิณฑบาตตามลำดับ ได้อาหารพอยังชีพโดยพลันฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น เข้าไปหาบัณฑิตทั้งปวง ไต่ถามปัญหา จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานปัญญาบารมีข้อที่ ๔ กระทำให้มั่นแล้ว.
                 ลำดับนั้น เมื่อสุเมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายจะไม่พึงมีเพียงเท่านั้น จึงใคร่ครวญให้ยิ่งขึ้นไปอีก ได้เห็น วิริยบารมี ข้อที่ ๕ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญแม้วิริยบารมีให้บริบูรณ์ เหมือนอย่างว่า พญาราชสีห์มฤคราชเป็นผู้มีความเพียรมั่นในอิริยาบถทั้งปวงฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น เป็นผู้มีความเพียรมั่นในอิริยาบถทั้งปวง ในภพทุกภพ เป็นผู้มีความเพียร ไม่ย่อหย่อน จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานวิริยบารมีข้อที่ ๕ กระทำให้มั่นแล้ว.
                 ลำดับนั้น เมื่อสุเมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายจะไม่พึงมีเพียงนี้เท่านั้น จึงใคร่ครวญให้ยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้เห็น ขันติบารมี ข้อที่ ๖ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญแม้ขันติบารมีให้บริบูรณ์ ท่านพึงเป็นผู้อดทนทั้งในการยกย่องนับถือและในการดูถูกดูหมิ่น. เหมือนอย่างว่า คนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็มิได้กระทำความรักและความขัดเคืองเพราะการกระทำอันนั้น ย่อมอด ย่อมทน ย่อมกลั้นไว้ได้ ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้อดทนได้ทั้งในการนับถือ ทั้งในการดูหมิ่น จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานขันติบารมีข้อที่ ๖ กระทำให้มั่นแล้ว.
                   ลำดับนั้น สุเมธดาบสจึงคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายจะไม่พึงมีเพียงนี้เท่านั้น แล้วใคร่ครวญให้ยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้เห็น สัจจบารมี ข้อที่ ๗ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญแม้สัจจบารมีให้บริบูรณ์ แม้เมื่ออสนีบาตจะตกลงบนกระหม่อมก็ตาม ท่านอย่าได้กล่าวมุสาวาททั้งรู้อยู่ ด้วยอำนาจฉันทะเป็นต้น เพื่อต้องการทรัพย์เป็นต้น. เหมือนอย่างว่าธรรมดาดาวประกายพรึกในฤดูทั้งปวง หาได้ละวิถีโคจรของตนโคจรไปในวิถีอื่นไม่ ย่อมจะโคจรไปในวิถีของตนเท่านั้นฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน อย่าได้ละสัจจะกล่าวมุสาวาทเลย จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานสัจจบารมีข้อที่ ๗ กระทำให้มั่นแล้ว.
                    ลำดับนั้น สุเมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายจะไม่พึงมีเพียงนี้เท่านั้น จึงใคร่ครวญให้ยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้เห็น อธิษฐานบารมี ข้อที่ ๘ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป ท่านจงบำเพ็ญแม้อธิษฐานบารมีให้บริบูรณ์ ท่านพึงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอธิษฐานที่ได้อธิษฐานไว้. เหมือนอย่างว่า ธรรมดาภูเขาถูกลมพัดในทิศทั้งปวง ไม่หวั่นไหว ไม่เขยื้อน คงตั้งอยู่ในที่ของตนฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่หวั่นไหวในการอธิษฐานคือการตั้งใจมั่นของตน จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานซึ่งอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ กระทำให้มั่นแล้ว.
                  ลำดับนั้น สุเมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายจะไม่พึงมีเพียงนี้เท่านั้น จึงใคร่ครวญให้ยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้เห็น เมตตาบารมี ข้อที่ ๙ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญแม้เมตตาบารมีให้บริบูรณ์ ท่านพึงเป็นผู้มีจิตเป็นอย่างเดียวกัน ทั้งในสิ่งที่เป็นประโยชน์และในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เหมือนอย่างว่า ธรรมดาน้ำย่อมไหลแผ่ความเย็นเป็นเช่นเดียวกัน ทั้งแก่คนชั่วทั้งแก่คนดีฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้มีจิตเป็นอย่างเดียวด้วยเมตตาจิตในสัตว์ทั้งปวงอยู่ จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานเมตตาบารมีข้อที่ ๙ กระทำให้มั่นแล้ว.
                   ลำดับนั้น สุเมธดาบสนั้นคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายจะไม่พึงมีเพียงเท่านั้น จึงพิจารณาให้ยิ่งขึ้นไปก็ได้เห็น อุเบกขาบารมี ข้อที่ ๑๐ แล้วได้มีความคิดดังนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป ท่านจงบำเพ็ญแม้อุเบกขาบารมีให้บริบูรณ์ พึงวางใจเป็นกลางทั้งในสุขและทั้งในทุกข์. เหมือนอย่างว่า ธรรมดาแผ่นดินเมื่อคนทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ย่อมทำใจเป็นกลางอยู่ ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน วางใจเป็นกลางอยู่ในสุขและทุกข์ ก็จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. ครั้นคิดแล้วจึงอธิษฐานอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑๐ กระทำให้มั่นแล้ว.
                   ต่อแต่นั้น สุเมธดาบสจึงคิดว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายอันเป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายพึงปฏิบัติในโลกนี้ มีเพียงนี้เท่านั้น เว้นบารมี ๑๐ เสียธรรมเหล่าอื่นย่อมไม่มี บารมีทั้ง ๑๐ นี้แม้ในอากาศเบื้องบนก็ไม่มี แม้ในแผ่นดินเบื้องล่างก็ไม่มี แม้ในทิศทั้งหลายมีทิศตะวันออกเป็นต้นก็ไม่มี แต่จะตั้งอยู่เฉพาะในภายในหทัยของเราเท่านั้น.
               ครั้นได้เห็นว่าบารมีเหล่านั้นตั้งอยู่เฉพาะในหทัยอย่างนั้น จึงอธิษฐานบารมีเหล่านั้นทั้งหมดกระทำให้มั่น พิจารณาอยู่แล้วๆ เล่าๆ พิจารณากลับไปกลับมา ยึดเอาตอนปลายทวนมาให้ถึงต้น ยึดเอาตอนต้นทวนให้ถึงตอนปลาย ยึดเอาตอนกลางให้จบลงตอนสุดข้างทั้งสอง ยึดเอาที่สุดจากข้างทั้งสองให้จบลงตอนกลาง.
               การบริจาคสิ่งของภายนอก จัดเป็นทานบารมี การบริจาคอวัยวะน้อยใหญ่ จัดเป็นทานอุปบารมี การบริจาคชีวิต จัดเป็นทานปรมัตถบารมี เพราะเหตุนั้น ท่านสุเมธดาบส จึงพิจารณาสมติงสบารมี คือบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ ประดุจคนหมุนเครื่องยนต์หีบน้ำมันไปมา และเหมือนเอาเขามหาเมรุให้เป็นโม่กวนมหาสมุทรในจักรวาลฉะนั้น.
               เมื่อสุเมธดาบสนั้นพิจารณาบารมี ๑๐ อยู่อย่างนั้น ด้วยเดชแห่งธรรม มหาปฐพีนี้หนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ก็ร้องลั่น สะท้านเลื่อนลั่นหวั่นไหว เหมือนมัดไม้อ้อที่ถูกช้างเหยียบ และเหมือนเครื่องยนต์หีบอ้อยที่กำลังหีบอ้อยอยู่ หมุนคว้างไม่ต่างอะไรกับวงล้อเครื่องปั้นหม้อ และวงล้อเครื่องยนต์หีบน้ำมัน.
                   เมื่อมหาปฐพีไหวอยู่ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในรัมมนครไม่สามารถจะทรงตัวอยู่ได้ ต่างสลบล้มลง ประหนึ่งว่าศาลาใหญ่ถูกลมยุคันตวาตโหมพัดฉะนั้น ภาชนะดินมีหม้อเป็นต้นกลิ้งกระทบกันและกันแตกละเอียด.
               มหาชนสะดุ้งกลัว จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบข้อนี้เลยว่า แผ่นดินนี้ นาคทำให้หมุน หรือว่าบรรดาภูต ยักษ์และเทวดาพวกใดพวกหนึ่งทำให้หมุน. อีกประการหนึ่ง มหาชนแม้ทั้งหมดนี้ถูกทำให้เดือดร้อน ความชั่วหรือความดีจักมีแก่โลกนี้ ขอพระองค์จงตรัสบอกเหตุนั้นแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด.
               ลำดับนั้น พระศาสดาครั้นได้ทรงสดับถ้อยคำของชนเหล่านั้น จึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายอย่ากลัวเลย อย่าคิดอะไรเลย ภัยอันมีต้นเหตุมาจากเหตุนี้ ไม่มีแก่พวกท่าน ผู้ที่เราพยากรณ์ให้ไว้ในวันนี้ว่า สุเมธบัณฑิตจักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมในอนาคตนั้น บัดนี้พิจารณาบารมี ๑๐ เมื่อเขาพิจารณาไตร่ตรองอยู่ เพราะเดชแห่งธรรม โลกธาตุตลอดทั้งหมื่นหนึ่งจึงไหวและร้องลั่นไปพร้อมกันทีเดียว.

               มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระตถาคตแล้ว ต่างร่าเริงยินดี พากันถือเอาดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ออกจากรัมมนครเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ บูชาด้วยดอกไม้และของหอมเป็นต้น ไหว้แล้วกระทำประทักษิณแล้วเข้าไปยังรัมมนครตามเดิม.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์พิจารณาบารมี ๑๐ อธิษฐานความเพียรกระทำให้มั่น แล้วลุกจากอาสนะไป.
                  ลำดับนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นประชุมกันบูชาพระโพธิสัตว์ผู้ลุกขึ้นจากอาสนะ ด้วยดอกไม้และของหอมอันเป็นทิพย์ ไหว้แล้วป่าวประกาศคำสรรเสริญอันเป็นมงคลมีอาทิว่า
               ข้าแต่ท่านสุเมธดาบสผู้เป็นเจ้า วันนี้ท่านตั้งความปรารถนายิ่งใหญ่ไว้ที่ใกล้บาทมูลของพระทีปังกรทศพล ความปรารถนานั้นจงสำเร็จแก่ท่าน โดยหาอันตรายมิได้ ความกลัวหรือความหวาดเสียว อย่าได้มีแก่ท่าน โรคแม้มีประมาณน้อยจงอย่าเกิดขึ้นในร่างกาย ท่านจงรีบเร่งบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์แล้วรู้แจ้งพระสัมมาสัมโพธิญาณ ต้นไม้ที่เผล็ดดอกออกผลย่อมเผล็ดดอกและออกผลตามฤดูกาล ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน อย่าได้ล่วงเลยฤดูกาลนั้น จงได้สัมผัสพระสัมโพธิญาณอันอุดมโดยพลัน.
               ก็แหละครั้นป่าวประกาศอย่างนี้แล้ว ได้กลับไปยังเทวสถานของตนๆ ตามเดิม.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ผู้อันเทวดาทั้งหลายสรรเสริญแล้วจึงคิดว่า เราจักบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุดสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ดังนี้แล้วอธิษฐานความเพียรกระทำให้มั่น แล้วได้เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าไปสู่ป่าหิมพานต์ทันที.

               ฝ่ายชนชาวรัมมนคร ครั้นเข้าไปยังนครแล้วก็ได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พระศาสดาได้ทรงแสดงธรรมแก่พวกเขา ให้มหาชนดำรงอยู่ในสรณะเป็นต้น แล้วเสด็จออกจากรัมมนครไป. 
               ต่อจากนั้น พระองค์ทรงดำรงอยู่ตลอดชั่วพระชนมายุ ทรงกระทำพุทธกิจครบทุกอย่างแล้ว ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุโดยลำดับ.

               ก็ในกาลต่อจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร ล่วงมาได้หนึ่งอสงไขย พระศาสดาพระนามว่า โกณฑัญญะ เสด็จอุบัติขึ้น. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์แสนโกฏิมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พระศาสดาทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วทรงแสดงธรรม. พระโพธิสัตว์นั้นทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว สละราชสมบัติออกบวช เรียนพระไตรปิฎก ทำสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดขึ้น มีฌานไม่เสื่อม ไปเกิดในพรหมโลก.

               ในกาลต่อจากพระโกณฑัญญพุทธเจ้านั้น ล่วงไปหนึ่งอสงไขย ในกัปเดียวกันนั่นเอง มีพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ บังเกิดขึ้นแล้ว คือ พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ.
                ในกาล พระมังคละ นั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายเป็นพราหมณ์นามว่าสุรุจิ คิดว่าจักนิมนต์พระศาสดา จึงเข้าไปเฝ้าฟังธรรมกถาอันไพเราะแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงรับภิกษาของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้.
               พระศาสดาตรัสถามว่า พราหมณ์ ท่านต้องการภิกษุเท่าไร? พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุผู้เป็นบริวารของพระองค์มีประมาณเท่าไร. ในคราวนั้น พระศาสดาทรงมีการประชุมเป็นครั้งแรกพอดี เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่ามีภิกษุแสนโกฏิ. พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์พร้อมกับภิกษุทั้งหมดจงทรงรับภิกษาของข้าพระองค์เถิด.
               พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว.
               พราหมณ์ทูลนิมนต์เพื่อให้เสวยในวันพรุ่งนี้แล้ว จึงไปเรือนคิดว่าเราอาจถวายยาคู ภัตและผ้าเป็นต้น แก่ภิกษุทั้งหลายประมาณเท่านี้ได้ แต่ที่สำหรับนั่งจักมีได้อย่างไร.
               ความคิดนั้นของเรา ทำให้เกิดความร้อนแก่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวเทวราชผู้ประทับอยู่ในที่สุดแปดหมื่นสี่พันโยชน์. ท้าวสักกะทรงดำริว่า ใครหนอมีความประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากที่นี้ จึงทรงตรวจดูด้วยทิพยจักษุ ก็ได้เห็นพระมหาบุรุษ จึงทรงดำริว่า พราหมณ์นามว่าสุรุจิ นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วคิดเพื่อต้องการที่นั่ง แม้เราก็ควรไปในที่นั้นแล้วถือเอาส่วนบุญ จึงทรงนิรมิตร่างเป็นช่างไม้ ถือมีดและขวานไปปรากฏเบื้องหน้าของมหาบุรุษกล่าวว่า ใครๆ มีกิจที่จะต้องทำด้วยการจ้างบ้าง.
               พระมหาบุรุษเห็นช่างไม้นั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ท่านจักทำงานอะไร.
               ท้าวสักกะตรัสว่า ขึ้นชื่อว่าศิลปะที่เราจะไม่รู้ ย่อมไม่มี ผู้ใดจะให้ทำงานใด จะเป็นบ้านหรือมณฑปก็ตาม เรารู้ที่จะให้งานนั้นแก่ผู้นั้น. พระมหาบุรุษกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เรามีงาน. ท้าวสักกะตรัสถามว่า งานอะไรนาย.
               พระมหาบุรุษกล่าวว่า เรานิมนต์ภิกษุแสนโกฏิมาฉันพรุ่งนี้ เราจักกระทำมณฑปสำหรับนั่งของภิกษุเหล่านั้น. ท้าวสักกะตรัสว่า ธรรมดาเรากระทำได้ ถ้าท่านสามารถให้ค่าจ้างเรา.
               พระมหาบุรุษกล่าวว่า เราสามารถ พ่อ.
               ท้าวสักกะจึงกล่าวว่า ดีแล้ว เราจักทำ แล้วไปแลดูสถานที่แห่งหนึ่ง. สถานที่ประมาณสิบสองสิบสามโยชน์ได้มีพื้นราบเรียบ เสมือนมณฑลกสิณ. ท้าวสักกะนั้นทรงแลดูแล้วคิดว่า ในที่มีประมาณเท่านี้ มณฑปอันล้วนแล้วด้วยรัตนะทั้ง ๗ จงผุดขึ้น. ทันใดนั้น มณฑปก็ชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นมา.
               มณฑปนั้นที่เสาอันล้วนด้วยทองคำ มีปุ่มล้วนด้วยเงิน ที่เสาอันล้วนด้วยเงิน มีปุ่มล้วนด้วยทองคำ ที่เสาอันล้วนด้วยแก้วมณี มีปุ่มล้วนด้วยแก้วประพาฬ ที่เสาล้วนด้วยแก้วประพาฬ มีปุ่มล้วนด้วยแก้วมณี ที่เสาอันล้วนด้วยรัตนะทั้ง ๗ มีปุ่มล้วนด้วยรัตนะทั้ง ๗. ต่อจากนั้น จึงทรงแลดูด้วยพระดำริว่า ตาข่ายกระดึงจงห้อยย้อยในระหว่างๆ ของมณฑป. พร้อมกับทรงมองดูเท่านั้น ตาข่ายก็ห้อยย้อยลง เสียงอันไพเราะของตาข่ายกระดึงซึ่งถูกลมอ่อนรำเพยพัดก็เปล่งเสียงออกมา ดุจเสียงดนตรีอันประกอบด้วยองค์ ๕ ดูราวกับเวลาที่สังคีตทิพย์บรรเลงอยู่ฉะนั้น.
               เมื่อท้าวสักกะทรงพระดำริว่า ขอให้พวงของหอมและพวงดอกไม้จงห้อยย้อยลงในระหว่างๆ พวงดอกไม้ทั้งหลายก็ห้อยย้อยลง. พระองค์ทรงพระดำริว่า ขออาสนะและแท่นรองนั่งของภิกษุนับได้แสนโกฏิ จงชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นมา ในทันใดนั้น สิ่งเหล่านั้นก็ผุดขึ้นมา. ทรงพระดำริว่า ที่ทุกๆ มุม ขอให้ตุ่มน้ำผุดขึ้นมามุมละใบ ตุ่มน้ำทั้งหลายก็ผุดขึ้นมา.
               ท้าวสักกะทรงนิรมิตสิ่งของมีประมาณเท่านี้เสร็จแล้ว จึงไปยังสำนักของพราหมณ์กล่าวว่า มาเถิด เจ้า ท่านจงตรวจดูมณฑปของท่าน แล้วจงให้ค่าจ้างเรา. พระมหาบุรุษจึงไปตรวจดูมณฑป และเมื่อกำลังตรวจดูอยู่นั่นแล สรีระทั้งสิ้นได้สัมผัสกับปีติมีวรรณะ ๕ ชนิดตลอดเวลา.
               ลำดับนั้น เขามองดูมณฑปแล้วได้มีความคิดดังนี้ว่า มณฑปนี้ ผู้ที่เป็นมนุษย์กระทำไม่ได้ แต่เพราะอัธยาศัยของเรา คุณของเรา ภพของท้าวสักกะจักร้อนขึ้นเป็นแน่ แต่นั้น ท้าวสักกะเทวราชจักสร้างมณฑปนี้ขึ้น. เขาคิดว่า การถวายทานเพียงวันเดียวเท่านั้นในมณฑปเห็นปานนี้ ไม่สมควรแก่เราเลย เราจักถวายสัก ๗ วัน.
               ก็ในวันสุดท้าย พระมหาบุรุษให้ล้างบาตรของภิกษุทุกรูป แล้วบรรจุเต็มด้วยเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อย เพื่อต้องการให้เป็นเภสัช แล้วได้ถวายพร้อมกับไตรจีวร ผ้าสาฎกที่เป็นจีวรที่ภิกษุผู้เป็นสังฆนวกะได้รับมีราคาถึงหนึ่งแสน.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนา ทรงใคร่ครวญอยู่ว่า บุรุษนี้ได้ถวายมหาทานเห็นปานนี้ เขาจักได้เป็นอะไรหนอ ได้ทรงเห็นว่า ในอนาคตกาล ในที่สุดแห่งสองอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ จึงตรัสเรียกพระมหาบุรุษมาแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า ล่วงกาลชื่อมีประมาณเท่านี้ ตัวท่านจักได้เป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่าโคตมะ.
               พระมหาบุรุษได้ฟังพยากรณ์นั้นแล้ว คิดว่า นัยว่าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้า เราจะต้องการอะไรด้วยการอยู่ครองเรือน เราจักบวช จึงละทิ้งสมบัติเห็นปานนั้น ประหนึ่งก้อนเขฬะ แล้วบวชในสำนักของพระศาสดา เรียนเอาพุทธพจน์ได้แล้ว ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิด ในเวลาสิ้นอายุได้บังเกิดในพรหมโลก.
               ในกาลหลังแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ามังคละพระองค์นั้นเสด็จปรินิพพาน กระทำหมื่นโลกธาตุให้มืดด้วยประการอย่างนี้แล้ว พระศาสดาพระนามว่า สุมนะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก

               คราวนั้นพระมหาสัตว์ได้เป็นพญานาคนามว่า อตุละ มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก. พระมหาสัตว์นั้นได้สดับว่าพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว อันหมู่ญาติห้อมล้อมออกจากนาคพิภพ ให้กระทำการบรรเลงด้วยดนตรีทิพย์ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งมีภิกษุแสนโกฏิเป็นบริวาร ยังมหาทานให้เป็นไป ถวายผ้าองค์ละคู่แล้วตั้งอยู่ในสรณคมน์ทั้งสาม. พระศาสดาแม้นั้นก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล.
               ในกาลภายหลังแห่งพระสุมนะพระองค์นั้น พระศาสดาพระนามว่า เรวตะ ได้เสด็จอุบัติขึ้น. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์ชื่อว่า อติเทวะ ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ตั้งอยู่ในสรณะทั้งสาม ประคองอัญชลีไว้เหนือศีรษะ ได้ฟังพระคุณในการละกิเลสของพระศาสดาพระองค์นั้น จึงได้บูชาด้วยผ้าอุตราสงค์คือผ้าห่ม. แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.

               ในกาลภายหลังแห่งพระเรวตะนั้น พระศาสดาพระนามว่า โสภิตะ ได้เสด็จอุบัติขึ้น ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์นามว่า อชิตะ ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วตั้งอยู่ในสรณะสาม ได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
                 ในกาลภายหลังแห่งพระโสภิตะนั้นล่วงไปได้อสงไขยหนึ่ง ในกัปเดียวกันมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ พระองค์ คือ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ และพระนารทะ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี  ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นเสนาบดีของยักษ์ตนหนึ่ง มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก. เป็นอธิบดีของยักษ์หลายแสนโกฏิ พระโพธิสัตว์นั้นได้สดับว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้มาถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล.

               ในกาลภายหลังแห่งพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า มีพระศาสดาพระนามว่า ปทุมะ เสด็จอุบัติขึ้น ครั้งนั้น เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในไพรสณฑ์นั้นนั่นเอง พระโพธิสัตว์เป็นราชสีห์ เห็นพระศาสดาทรงเข้านิโรธสมาบัติ มีจิตเลื่อมใสจึงไหว้แล้วทำประทักษิณ เกิดปีติโสมนัสบันลือสีหนาทขึ้น ๓ ครั้ง ตลอด ๗ วันมิได้ละปีติอันมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เพราะสุขอันเกิดจากปีตินั่นเอง จึงไม่ออกไปหากิน กระทำการบริจาคชีวิต ได้เข้าไปยืนเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่.
               เมื่อล่วงไปได้ ๗ วัน พระศาสดาทรงออกจากนิโรธ ทอดพระเนตรเห็นราชสีห์ ได้ทรงดำริว่า เขายังจิตให้เลื่อมใสแม้ในภิกษุสงฆ์ ก็จักไหว้พระสงฆ์ แล้วทรงดำริว่าขอภิกษุสงฆ์จงมา. ทันใดนั้นเอง ภิกษุทั้งหลายก็มา ฝ่ายราชสีห์ก็ทำจิตให้เลื่อมใสในพระภิกษุสงฆ์. พระศาสดาทรงตรวจดูใจของราชสีห์นั้นแล้วทรงพยากรณ์ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล.
               ในกาลภายหลังแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมะนั้น มีพระศาสดาพระนามว่า นารทะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษี เป็นผู้ปฏิบัติชำนาญในอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ได้กระทำการบูชาด้วยจันทน์แดง. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล.
               ก็ในกาลต่อจากพระนารทะพุทธเจ้า ในที่สุดแสนกัปแต่กัปนี้ไป ในกัปเดียวมีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวพระนามว่า ปทุมุตตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นผู้ครองแคว้นใหญ่ชื่อว่าชฏิละ ได้ถวายทานพร้อมทั้งจีวรแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล. ขึ้นชื่อว่าพวกเดียรถีย์ มิได้มีในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ. เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงได้ถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นสรณะ
                กาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระนั้น ล่วงไปได้สามหมื่นกัป ในกัปเดียวกันมีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระสุเมธะ และพระสุชาตะ ได้บังเกิดขึ้นแล้ว.
                 ครั้ง พระสุเมธะ นั้น พระโพธิสัตว์เป็นมาณพชื่อว่า อุตตระ สละทรัพย์แปดสิบโกฏิที่ฝังเก็บไว้นั่นแล ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ฟังธรรมแล้วตั้งอยู่ในสรณะสาม แล้วออกบวช. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล.

               กาลต่อจากพระสุเมธพุทธเจ้า มีพระศาสดาพระนามว่า สุชาตะ อุบัติขึ้น. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ได้สดับว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าฟังธรรม จึงถวายราชสมบัติในมหาทวีปทั้ง ๔ พร้อมกับรัตนะทั้ง ๗ แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วบวชในสำนักของพระศาสดา. ชาวรัฐทั้งสิ้นต่างถือเอาเงินที่เกิดขึ้นในรัฐ จัดการกิจของคนผู้ทะนุบำรุงวัดให้สำเร็จ แล้วได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ตลอดกาลเป็นนิจ. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล.
                     ในกาลต่อจากพระสุชาตพุทธเจ้า ในที่สุดหนึ่งพันแปดร้อยกัปแต่กัปนี้ไป ในกัปเดียวกันมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ พระองค์ คือ พระปิยทัสสี พระอรรถทัสสี และพระธรรมทัสสี.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ปิยทัสสี ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นมาณพชื่อว่า กัสสป เป็นผู้เรียนจบไตรเพท ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว จึงให้สร้างสังฆารามโดยบริจาคทรัพย์แสนโกฏิ ตั้งอยู่ในสรณะและศีล. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ต่อล่วงไปหนึ่งพันแปดร้อยกัป จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
               ในกาลต่อจากพระปิยทัสสีพุทธเจ้านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า อรรถทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นดาบสมีฤทธิ์มากชื่อว่า สุสีมะ นำเอาฉัตรที่ทำด้วยดอกมณฑารพมาจากเทวโลก แล้วบูชาพระศาสดา. แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล.
               ในกาลต่อจากพระอรรถทัสสีพุทธเจ้านั้น พระศาสดาพระนามว่า ธรรมทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกเทวราช ได้กระทำการบูชาด้วยดอกไม้หอมอันเป็นทิพย์และดนตรีทิพย์. พระศาสดา แม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล.
               ในกาลต่อจากพระธรรมทัสสีพุทธเจ้านั้น ในที่สุดเก้าสิบสี่กัปแต่นี้ไป ในกัปเดียวมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ พระองค์เดียวเท่านั้น เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นดาบสชื่อว่า มังคละ มีเดชกล้า สมบูรณ์ด้วยอภิญญาพละ นำเอาผลหว้าใหญ่มาถวายพระตถาคต. พระศาสดาเสวยผลหว้านั้นแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า ในที่สุดเก้าสิบสี่กัปจักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
                  ในกาลต่อจากพระสิทธัตถพุทธเจ้านั้น ในที่สุดเก้าสิบสองกัปแต่นี้ไปมีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์บังเกิดในกัปเดียวกัน คือ พระติสสะ และพระผุสสะ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ติสสะ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นกษัตริย์พระนามว่า สุชาตะ มีโภคสมบัติมาก มียศยิ่งใหญ่ บวชเป็นฤาษี ได้ถึงความเป็นผู้มีฤทธิ์มาก สดับว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว จึงถือเอาดอกมณฑารพ ดอกปทุมและดอกปาริฉัตรอันเป็นทิพย์ ไปบูชาพระตถาคตผู้เสด็จดำเนินไปในท่ามกลางบริษัท ๔ ได้กระทำเพดานดอกไม้ในอากาศ. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ในที่สุด ๙๒ กัปแต่นี้ไปจักได้เป็นพระพุทธเจ้า.

  กาลต่อจากพระติสสพุทธเจ้านั้นไป พระศาสดาพระนามว่า ผุสสะ (บางแห่งเป็นปุสสะ) ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นกษัตริย์พระนามว่า วิชิตาวี ทรงละราชสมบัติใหญ่ บวชในสำนักของพระศาสดา เรียนพระไตรปิฎกแล้วแสดงธรรมกถาแก่มหาชน และบำเพ็ญศีลบารมี. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
                 กาลต่อจากพระผุสสะพระองค์นั้น ในกัปที่ ๙๑ แต่นี้ไป พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นนาคราชชื่อว่า อตุละ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ได้ถวายตั่งใหญ่ทำด้วยทอง ขจิตด้วยแก้ว ๗ ประการแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์เขาว่า ในกัปที่ ๙๑ แต่นี้ไปจักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
                 ในกาลต่อจากพระวิปัสสีพระองค์นั้น ในกัปที่ ๓๑ แต่นี้ไปได้มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระสิขี และพระเวสสภู.
               พระสิขี ผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาพระนามว่า อรินทมะ ได้ถวายมหาทานพร้อมทั้งจีวรแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วถวายช้างแก้วซึ่งประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ แล้วได้ถวายกัปปิยภัณฑ์ให้มีขนาดเท่าตัวช้าง. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ในกัปที่ ๓๑ แต่นี้ไปจักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
                 ในกาลต่อจากพระสิขีพระองค์นั้น พระศาสดาพระนามว่า เวสสภู เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชาพระนามว่า สุทัสสนะ ถวายมหาทานพร้อมทั้งจีวรแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วบวชในสำนักของพระเวสสภูนั้น สมบูรณ์ด้วยอาจารคุณ มากไปด้วยความยำเกรงและความปีติในพระพุทธรัตนะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ในกัปที่ ๓๑ แต่นี้ไปจักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
                ในกาลต่อจาก พระเวสสภูนั้ น ในกัปนี้มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๔ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ และพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า กกุสันธะ ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชานามว่า เขมะ ถวายมหาทานพร้อมทั้งจีวร และเภสัชมียาหยอดตาเป็นต้นแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา แล้วบวช. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
                ในกาลต่อจากพระกกุสันธะนั้น พระศาสดาพระนามว่า โกนาคมนะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาพระนามว่า ปัพพตะ อันหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม เสด็จไปยังสำนักของพระศาสดา สดับพระธรรมเทศนาแล้ว นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ยังมหาทานให้เป็นไปแล้ว ถวายผ้าปัตตุณณะ (ผ้าไหมที่ซักแล้ว) ผ้าจีนปฏะ (ผ้าขาวในเมืองจีน) ผ้าโกไสย (ผ้าทอด้วยไหม) ผ้ากัมพล (ผ้าทำด้วยขนสัตว์) ผ้าทุกูละ (ผ้าทำด้วยเปลือกไม้) และเครื่องลาดขนสัตว์ทำด้วยทอง แล้วบวชในสำนักของพระศาสดา. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
                ในกาลต่อจากพระโกนาคมนะนั้น พระศาสดาพระนามว่า กัสสปะ อุบัติขึ้นแล้ว ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นมาณพชื่อว่า โชติปาละ สำเร็จไตรเพท เป็นผู้มีชื่อเสียงทั้งบนแผ่นดินและกลางหาว ได้เป็นมิตรของช่างหม้อชื่อว่าฆฏิการะ พระโพธิสัตว์นั้นไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมกับช่างหม้อนั้น ได้ฟังธรรมกถาแล้วบวช ลงมือทำความเพียร เล่าเรียนพระไตรปิฎกทำพระพุทธศาสนาให้งดงาม เพราะถึงพร้อมด้วยวัตรปฏิบัติน้อยใหญ่. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้า.

จบทูเรนิทาน

 

อวิทูเรนิทานกถา

               ก็เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในดุสิตบุรีนั่นแล ชื่อว่าความโกลาหล คือความแตกตื่นเรื่องพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้ว.
               จริงอยู่ ในโลกย่อมมีความโกลาหล ๓ ประการเกิดขึ้น คือ โกลาหลเรื่องกัป ๑ โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า ๑ โกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ ๑.
               บรรดาโกลาหลทั้งสามนั้น เทพชั้นกามาวจรชื่อว่าโลกพยูหะทราบว่าล่วงไปแสนปี เหตุเกิดตอนสิ้นกัปจักมี จึงปล่อยศีรษะสยายผม มีหน้าร้องไห้เอามือทั้งสองเช็ดน้ำตา นุ่งผ้าแดง ทรงเพศผิดรูปร่างเหลือเกิน เที่ยวบอกกล่าวไปในถิ่นมนุษย์อย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงแสนปีจากนี้ไป เหตุเกิดตอนสิ้นกัปจักมี โลกนี้จักพินาศ แม้มหาสมุทรจะเหือดแห้ง มหาปฐพีนี้กับขุนเขาสิเนรุ จักถูกไฟไหม้ จักพินาศ โลกาวินาศ จักมีจนกระทั่งพรหมโลก ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ขอพวกท่านจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จงบำรุงมารดาบิดา จงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้เป็นใหญ่ในตระกูล นี้ชื่อว่า โกลาหลเรื่องกัป.
               เหล่าโลกบาลเทวดาทราบว่า ก็เมื่อล่วงไปพันปี พระสัพพัญญูพุทธเจ้าจักอุบัติขึ้นในโลก จึงเที่ยวป่าวร้องว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย เมื่อล่วงพันปีแต่นี้ไป พระสัพพัญญูพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก นี้ชื่อว่า โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า.
               เทวดาทั้งหลายทราบว่า ล่วงไปร้อยปี พระเจ้าจักรพรรดิจักอุบัติขึ้น จึงเที่ยวป่าวร้องว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย โดยล่วงร้อยปีแต่นี้ไป พระเจ้าจักรพรรดิจักอุบัติขึ้นในโลก นี้ชื่อว่า โกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ.
               โกลาหลทั้ง ๓ ประการนี้เป็นเรื่องใหญ่.
               บรรดาโกลาหลทั้งสามนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นได้ฟังเสียงโกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้าแล้วจึงร่วมประชุมกัน ได้ทราบว่า สัตว์ชื่อโน้นจักได้เป็นพระพุทธเจ้า จึงเข้าไปหาเขาแล้วพากันอ้อนวอน และเมื่ออ้อนวอนอยู่ก็จะอ้อนวอนในเพราะบุรพนิมิตทั้งหลาย.
               ก็ในครั้งนั้น เทวดาแม้ทั้งปวงนั้นพร้อมกับท้าวจาตุมหาราช ท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวสุนิมมิต ท้าววสวัตดีและท้าวมหาพรหม พากันประชุมในจักรวาลเดียวกัน แล้วไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ในดุสิตพิภพ ต่างอ้อนวอนว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ มา หาได้ปรารถนาสักกสมบัติ มารสมบัติ พรหมสมบัติและจักรพรรดิสมบัติบำเพ็ญไม่ แต่ท่านปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ บำเพ็ญเพื่อต้องการจะรื้อขนสัตว์ออกจากโลก ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ บัดนี้นั้นเป็นกาลที่ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นสมัยที่ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์มิได้ให้ปฏิญญาแก่เทวดาทั้งหลายทันที จะตรวจดู ปัญจมหาวิโลกนะ คือสิ่งที่จะต้องเลือกใหญ่ ๕ ประการ คือกาล ทวีป ประเทศ ตระกูลและกำหนดอายุของมารดา.
               ใน ๕ ประการนั้น พระโพธิสัตว์จะตรวจดูกาลข้อแรกว่า เป็นกาลสมควรหรือกาลไม่สมควร.
               ในเรื่องกาลนั้น กาลแห่งอายุที่เจริญเกินกว่าแสนปี ชื่อว่าเป็นกาลไม่สมควร. เพราะเหตุไร? เพราะว่า ในกาลนั้น ชาติ ชราและมรณะของสัตว์ทั้งหลายไม่ปรากฏ และพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าพ้นจากไตรลักษณ์ย่อมไม่มี เมื่อพระพุทธเจ้าเหล่านั้นตรัสว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พวกเขาจะคิดว่าพระองค์ตรัสข้อนี้ชื่ออะไร จึงย่อมไม่เห็นสำคัญว่าจะควรฟังและควรเชื่อ แต่นั้น การตรัสรู้มรรคผลก็จะมีไม่ได้ เมื่อไม่มีการตรัสรู้มรรคผล ศาสนาคือคำสอนจะไม่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์. เพราะฉะนั้น กาลนั้นจึงเป็นกาลไม่สมควร.
               แม้กาลแห่งอายุหย่อนกว่าร้อยปี ก็ชื่อว่าเป็นกาลไม่สมควร เพราะเหตุไร? เพราะว่าในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายมีกิเลสหนาและโอวาทที่ให้แก่สัตว์ผู้มีกิเลสหนา ย่อมไม่ตั้งอยู่ในฐานเป็นโอวาท จะปราศจากไปเร็วพลัน เหมือนรอยไม้ขีดในน้ำ เพราะฉะนั้น แม้กาลนั้นก็เป็นกาลไม่สมควร.
               กาลแห่งอายุตั้งแต่แสนปีลงมาและตั้งแต่ร้อยปีขึ้นไป ชื่อว่าเป็นกาลสมควร และกาลนั้นก็เป็นกาลแห่งอายุร้อยปี.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ก็มองเห็นกาลว่า เป็นกาลที่ควรบังเกิด.
               จากนั้น เมื่อจะตรวจดูทวีป ได้ตรวจดูทวีปทั้ง ๔ พร้อมทั้งทวีปบริวาร จึงเห็นทวีปหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่บังเกิดในทวีปทั้งสามบังเกิดเฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้น.
               จากนั้นก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่าชมพูทวีปเป็นทวีปใหญ่ มีประมาณหมื่นโยชน์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายบังเกิดในประเทศไหนหนอ จึงตรวจดูโอกาสก็ได้เห็นมัชฌิมประเทศ.
               ชื่อว่า มัชฌิมประเทศ คือประเทศที่ท่านกล่าวไว้ในวินัยอย่างนี้ว่า ในทิศตะวันออก มีนิคมชื่อกชังคละ ถัดจากนั้นไปเป็นมหาสาลประเทศ ถัดจากมหาสาลประเทศนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีแม่น้ำชื่อว่าสัลลวดี ถัดจากแม่น้ำสัลลวดีนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศใต้ มีนิคมชื่อว่าเสตกัณณิกะ ถัดจากเสตกัณณิกนิคมนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศตะวันตก มีพราหมณคามชื่อว่าถูนะ ถัดจากนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศเหนือ มีภูเขาชื่อว่าอุสีรธชะ ถัดจากนั้นออกไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ.
               มัชฌิมประเทศนั้นยาวสามร้อยโยชน์ กว้างสองร้อยห้าสิบโยชน์ วัดโดยรอบได้เก้าร้อยโยชน์ ดังนั้น ในประเทศนั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอสีติมหาสาวก พระเจ้าจักรพรรดิและขัตติยมหาศาล พราหมณมหาศาลและคหบดีมหาศาล ผู้มเหสักข์เหล่าอื่นย่อมเกิดขึ้น และนครชื่อว่ากบิลพัสดุ์นี้ก็ตั้งอยู่ในมัชฌิมประเทศนี้ พระโพธิสัตว์จึงได้ถึงความตกลงใจว่า เราควรบังเกิดในนครนั้น.
               ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะเลือกดูตระกูล จึงเห็นตระกูลว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่บังเกิดในตระกูลแพศย์หรือตระกูลศูทร แต่จะบังเกิดในตระกูลทั้งสองเท่านั้นคือตระกูลกษัตริย์หรือตระกูลพราหมณ์ที่โลกยกย่องแล้ว ก็บัดนี้ ตระกูลกษัตริย์เป็นตระกูลที่โลกยกย่องแล้ว เราจักบังเกิดในตระกูลกษัตริย์นั้น พระราชาพระนามว่า สุทโธทนะ จักเป็นพระบิดาของเรา.
               ต่อจากนั้นจึงเลือกดูมารดาได้เห็นว่า ธรรมดามารดาของพระพุทธเจ้าย่อมไม่เป็นหญิงเหลาะแหละ ไม่เป็นนักเลงสุรา แต่จะเป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัป เป็นผู้มีศีลห้าไม่ขาดเลย จำเดิมแต่เกิดมา. ก็พระเทวีพระนามว่ามหามายานี้ทรงเป็นเช่นนี้ พระนางมหามายา นี้จักเป็นพระมารดาของเรา เมื่อตรวจดูว่าพระนางจะมีพระชนมายุเท่าไร ก็เห็นว่าหลังจาก ๑๐ เดือนไปแล้วจะมีพระชนมายุได้ ๗ วัน.
               พระโพธิสัตว์ตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ ประการนี้ ด้วยประการดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ถึงกาลที่เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อจะกระทำการสงเคราะห์เทวดาทั้งหลาย จึงได้ให้ปฏิญญาแล้วส่งเทวดาเหล่านั้นไปด้วยคำว่า ขอพวกท่านไปได้ อันเทวดาชั้นดุสิตห้อมล้อมแล้วเข้าไปสู่นันทนวัน ในดุสิตบุรี.
               จริงอยู่ ในเทวโลกทุกชั้นมีนันทนวันทั้งนั้น ในนันทนวันนั้น เทวดาทั้งหลายจะเที่ยวคอยเตือนให้พระโพธิสัตว์นั้นระลึกถึงโอกาสแห่งกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ในกาลก่อนว่า ท่านจุติจากนี้แล้วจงไปสู่สุคติเถิด ท่านจุติจากนี้แล้วจงไปสู่สุคติเถิด.
               พระโพธิสัตว์นั้นอันเทวดาทั้งหลายผู้เตือนให้ระลึกถึงกุศลอย่างนี้ ห้อมล้อมเที่ยวไปอยู่ในนันทนวันนั่นแล ได้จุติแล้วถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางมหามายาเทวี.
               เพื่อที่จะให้เรื่องการถือปฏิสนธินั้นชัดแจ้ง จึงมีถ้อยคำบรรยายโดยลำดับ ดังต่อไปนี้ :-
               ได้ยินว่า ครั้งนั้น ในนครกบิลพัสดุ์ได้มีการนักขัตฤกษ์เดือน ๘ อย่างเอิกเกริก มหาชนเล่นงานนักขัตฤกษ์กัน. ฝ่ายพระนางมหามายาเทวี ตั้งแต่วันที่ ๗ ก่อนวันเพ็ญ ทรงร่วมเล่นงานนักขัตฤกษ์ที่เพียบพร้อมด้วยดอกไม้และของหอมอันสง่าผ่าเผย ไม่มีการดื่มสุรา. ในวันที่ ๗ ตั้งแต่เช้าตรู่ สรงสนานด้วยน้ำเจือน้ำหอม ทรงสละพระราชทรัพย์สี่แสน ถวายมหาทานแล้วทรงประดับด้วยเครื่องราชอลังการทั้งปวง เสวยพระกระยาหารอย่างดี ทรงอธิษฐานองค์อุโบสถ เสด็จเข้าห้องอันมีสิริที่ประดับตกแต่งแล้ว บรรทมเหนือพระสิริไสยาสน์ ก้าวลงสู่ความหลับ ได้ทรงพระสุบินดังนี้ว่า
               นัยว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ยกพระนางขึ้นไปพร้อมกับพระที่ไสยาสน์ แล้วนำไปยังป่าหิมพานต์วางลงบนพื้นมโนศิลามีประมาณ ๖๐ โยชน์ ภายใต้ต้นสาละใหญ่มีขนาด ๗ โยชน์ แล้วได้ยืนอยู่ ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง.
               ลำดับนั้น เหล่าพระเทวีของท้าวมหาราชเหล่านั้นพากันมานำพระเทวีไปยังสระอโนดาต ให้สรงสนาน เพื่อที่จะชำระล้างมลทินของมนุษย์ออก แล้วให้ทรงนุ่งห่มผ้าทิพย์ ให้ทรงลูบไล้ด้วยของหอม ให้ทรงประดับดอกไม้ทิพย์. ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น มีภูเขาเงินลูกหนึ่ง ภายในภูเขาเงินนั้นมีวิมานทอง พวกเขาให้ตั้งพระที่ไสยาสน์อันเป็นทิพย์ มีเบื้องพระเศียรอยู่ทางทิศตะวันออก ในวิมานทองนั้น แล้วให้บรรทม.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เป็นช้างตัวประเสริฐสีขาว ท่องเที่ยวไปในภูเขาทองลูกหนึ่งซึ่งมีอยู่ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น ได้ลงจากภูเขาทองนั้นแล้วขึ้นไปยังภูเขาเงิน เดินมาทางทิศเหนือ ได้เอางวงซึ่งมีสีดังพวงเงินจับดอกปทุมสีขาว เปล่งเสียงโกญจนาทเข้าไปยังวิมานทอง กระทำประทักษิณพระที่ไสยาสน์ของพระมารดา ๓ ครั้ง ได้เป็นเสมือนผ่าพระปรัศว์เบื้องขวาเข้าสู่พระครรภ์.
               พระโพธิสัตว์ได้ถือปฏิสนธิด้วยนักขัตฤกษ์เดือน ๘ หลัง ด้วยประการฉะนี้.
               วันรุ่งขึ้น พระเทวีทรงตื่นบรรทมแล้วกราบทูลพระสุบินนั้นแด่พระราชา. พระราชารับสั่งให้เชิญพราหมณ์ชั้นหัวหน้าประมาณ ๖๔ คนเข้าเฝ้า ให้ปูลาดอาสนะอันควรค่ามากบนพื้นที่ฉาบทาด้วยโคมัยสด มีเครื่องสักการะอันเป็นมงคลที่กระทำด้วยข้าวตอกเป็นต้น ให้ใส่ข้าวปายาสชั้นเลิศที่ปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวดเต็มถาดทองและเงิน เอาถาดทองและเงินนั้นแหละครอบแล้วได้ประทานแก่เหล่าพราหมณ์ผู้นั่งอยู่บนอาสนะนั้น และทรงให้พราหมณ์เหล่านั้นอิ่มหนำด้วยสิ่งของอื่นๆ มีการประทานผ้าใหม่ และแม่โคแดงเป็นต้น.
               ทีนั้น จึงรับสั่งให้บอกพระสุบินแก่พราหมณ์เหล่านั้นผู้อิ่มหนำด้วยสิ่งที่ต้องการทุกอย่าง แล้วตรัสถามว่า จักมีเหตุการณ์อะไร.
               พราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงพระปริวิตกเลย พระเทวีทรงตั้งพระครรภ์แล้ว และพระครรภ์ที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นครรภ์บุรุษ มิใช่ครรภ์สตรี พระองค์จักมีพระโอรส ถ้าพระโอรสนั้นทรงครองเรือน จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกจากเรือนทรงผนวช จักได้เป็นพระพุทธเจ้ามีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก.
               ก็ในขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดานั่นแหละ เหมือนโลกธาตุทั้งสิ้นได้สะเทือนเลื่อนลั่นหวั่นไหวขึ้นพร้อมกันทันที.
               ปุพพนิมิต ๓๒ ประการ ได้ปรากฏขึ้นแล้วในหมื่นจักรวาล ได้แสงสว่างหาประมาณมิได้แผ่ซ่านไป, พวกคนตาบอดกลับได้ดวงตา ประหนึ่งว่ามีความประสงค์จะดูพระสิรินั้นของพระโพธิสัตว์นั้น, พวกคนหูหนวกได้ยินเสียง, พวกคนใบ้พูดจาได้, พวกคนค่อมก็มีตัวตรง, พวกคนง่อยก็กลับเดินได้ด้วยเท้า, สัตว์ทั้งปวงที่ถูกจองจำก็หลุดพ้นจากเครื่องจองจำมีขื่อคาเป็นต้น ไฟในนรกทั้งปวงก็ดับ, ในเปรตวิสัย ความหิวระหายก็ระงับ, เหล่าสัตว์เดียรัจฉานก็ไม่มีความกลัว. โรคของสัตว์ทั้งปวงก็สงบ, สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างก็พูดจาด้วยถ้อยคำอันน่ารัก, ม้าทั้งหลายต่างหัวเราะด้วยอาการอันไพเราะ, ช้างทั้งหลายต่างก็ร้อง, ดนตรีทุกชนิดต่างก็เปล่งเสียงกึกก้องของตนๆ, เครื่องอาภรณ์ที่สวมอยู่ในมือเป็นต้นของพวกมนุษย์ ไม่กระทบกันเลย ก็เปล่งเสียงได้, ทั่วทุกทิศแจ่มใส, สายลมอ่อนเย็นทำความสุขให้เกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลายก็รำเพยพัด, เมฆฝนที่มิใช่กาลก็ตกลงมา, น้ำก็พุแม้จากแผ่นดินไหลไป, พวกนกก็งดการบินไปในอากาศ, แม่น้ำทั้งหลายก็หยุดนิ่งไม่ไหล. มหาสมุทรมีน้ำมีรสหวาน, พื้นน้ำก็ดาดาษด้วยปทุม ๕ สี มีทั่วทุกแห่ง, ดอกไม้ทุกชนิดทั้งที่เกิดบนบกและเกิดในน้ำก็เบ่งบาน, ดอกปทุมชนิดลำต้นก็บานที่ลำต้น, ดอกปทุมชนิดกิ่งก็บานที่กิ่ง, ดอกปทุมชนิดเครือเถาก็บานที่เครือเถา, ดอกปทุมชนิดก้านก็ชำแรกพื้นศิลาทึบ เป็นดอกบัวซ้อนๆ กันออกมา, ดอกปทุมชนิดห้อยในอากาศก็บังเกิดขึ้น, ฝนดอกไม้ก็ตกลงมารอบด้าน, ดนตรีทิพย์ต่างก็บรรเลงในอากาศ,
               โลกธาตุทั่วทั้งหมื่นได้เป็นประหนึ่งพวงมาลัยที่เขาหมุนแล้วขว้างไป เป็นประหนึ่งกำดอกไม้ที่เขาบีบแล้วผูกมัดไว้ เป็นเสมือนอาสนะดอกไม้ที่เขาตกแต่งประดับประดาไว้ และเป็นเสมือนพัดวาลวิชนีที่กำลังโบก ซึ่งมีระเบียบดอกเป็นอันเดียวกัน จึงได้อบอวลไปด้วยความหอมของดอกไม้และธูป ถึงความโสภาคย์ยิ่งนัก.
               จำเดิมแต่การถือปฏิสนธิของพระโพธิสัตว์ผู้ถือปฏิสนธิแล้วอย่างนี้ เพื่อที่จะป้องกันอันตรายแก่พระโพธิสัตว์และมารดาของพระโพธิสัตว์ เทวบุตร ๔ องค์ถือพระขรรค์คอยให้การอารักขา. ความคิดเกี่ยวกับราคะในบุรุษทั้งหลาย มิได้เกิดขึ้นแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์ พระนางมีแต่ถึงความเลิศด้วยลาภและความเลิศด้วยยศ มีความสุข มีพระวรกายไม่ลำบาก และทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ผู้อยู่ในภายในพระครรภ์ เหมือนเส้นด้ายสีเหลืองที่ร้อยไว้ในแก้วมณีใสฉะนั้น.
               ก็เพราะเหตุที่ครรภ์ที่พระโพธิสัตว์อยู่ เป็นเสมือนห้องพระเจดีย์ สัตว์อื่นไม่อาจอยู่หรือใช้สอยได้ เพราะฉะนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วัน พระมารดาของพระโพธิสัตว์จึงสวรรคตแล้วไปอุบัติในดุสิตบุรี. เหมือนอย่างว่า หญิงอื่นๆ ไม่ถึง ๑๐ เดือนบ้าง เลยไปบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง คลอดบุตรฉันใด พระมารดาของพระโพธิสัตว์หาเหมือนอย่างนั้นไม่. ก็พระมารดาของพระโพธิสัตว์นั้นบริหารพระโพธิสัตว์ไว้ด้วยพระครรภ์ตลอด ๑๐ เดือน แล้วประทับยืนประสูติ ข้อนี้เป็นธรรมดาของพระมารดาแห่งพระโพธิสัตว์.
               ฝ่ายพระมหามายาเทวีทรงบริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์ตลอด ๑๐ เดือนประดุจบริหารน้ำมันด้วยบาตรฉะนั้น มีพระครรภ์แก่เต็มที่แล้ว มีพระราชประสงค์จะเสด็จไปยังเรือนแห่งพระญาติ จึงกราบทูลแด่พระเจ้าสุทโธทนมหาราชว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันปรารถนาจะไปยังเทวทหนครอันเป็นของตระกูล พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงรับว่าได้ แล้วรับสั่งให้ทำหนทางจากนครกบิลพัสดุ์จนถึงนครเทวทหะให้ราบเรียบ ให้ประดับด้วยเครื่องประดับมีต้นกล้วย หม้อน้ำเต็ม ธงชายและธงแผ่นผ้าเป็นต้น ให้พระเทวีประทับนั่งในสีวิกาทอง ให้อำมาตย์พันคนหาม ทรงส่งไปด้วยบริวารมากมาย.
               ก็ป่าสาลวันอันเป็นมงคลชื่อว่าลุมพินีวัน แม้ของชนชาวพระนครทั้งสอง ได้มีอยู่ในระหว่างนครทั้งสอง. สมัยนั้น ป่าสาลวันทั้งสิ้นมีดอกบานเป็นถ่องแถวเดียวกัน ตั้งแต่โคนจนถึงปลายกิ่ง. ตามระหว่างกิ่งและระหว่างดอก มีหมู่ภมร ๕ สีและหมู่นกนานัปการเที่ยวร้องอยู่ด้วยเสียงอันไพเราะ ลุมพินีวันทั้งสิ้นได้เป็นเสมือนจิตรลดาวัน เป็นประหนึ่งสถานที่มาดื่มซึ่งเขาจัดไว้อย่างดีสำหรับพระราชาผู้มีอานุภาพมาก.
               พระเทวีทอดพระเนตรเห็นดังนั้น เกิดมีพระประสงค์จะทรงเล่นในสาลวัน. อำมาตย์ทั้งหลายจึงพาพระเทวีเข้าไปยังสาลวัน. พระนางเสด็จเข้าถึงโคนต้นสาละอันเป็นมงคลแล้ว ได้มีพระประสงค์จะจับกิ่งสาละ กิ่งสาละได้น้อมลงเข้าไปใกล้พระหัตถ์ของพระเทวี ประหนึ่งยอดหวายที่ทอดลงอย่างอ่อนช้อยฉะนั้น. พระนางทรงเหยียดพระหัตถ์จับกิ่ง. ก็ในขณะนั้นเอง ลมกัมมัชวาตของพระเทวีเกิดปั่นป่วน ลำดับนั้น มหาชนจึงวงม่านเพื่อพระนางแล้วถอยออกไป
               ก็เมื่อพระนางทรงยืนจับกิ่งสาละอยู่นั่นแล ได้ประสูติแล้ว.
               ในขณะนั้นนั่นเอง ท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ พระองค์ก็ถือข่ายทองคำมาถึง ท้าวมหาพรหมเหล่านั้นเอาข่ายทองคำนั้นรับพระโพธิสัตว์วางไว้เบื้องพระพักตร์ของพระมารดาพลางทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ขอพระองค์ทรงดีพระทัยเถิด พระราชบุตรของพระองค์มีศักดาใหญ่อุบัติขึ้นแล้ว.
               เหมือนอย่างว่า สัตว์เหล่าอื่นออกจากท้องมารดาแล้ว เปื้อนด้วยสิ่งปฏิกูลไม่สะอาดคลอดออกมาฉันใด พระโพธิสัตว์หาเป็นเหมือนฉันนั้นไม่.
               ก็พระโพธิสัตว์นั้นเหยียดมือทั้งสองและเท้าทั้งสองยืนอยู่ ดุจพระธรรมกถึกลงจากธรรมาสน์ และเหมือนบุรุษลงจากบันได ไม่แปดเปื้อนด้วยของไม่สะอาดใดๆ ซึ่งมีอยู่ในครรภ์ของมารดา เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ โชติช่วงอยู่ประดุจแก้วมณีที่เขาวางไว้บนผ้ากาสิกพัสตร์ฉะนั้น คลอดออกจากครรภ์พระมารดา.
               เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ตาม เพื่อจะสักการะพระโพธิสัตว์และพระมารดาของพระโพธิสัตว์ สายธารน้ำสองสายจึงพลุ่งจากอากาศ ทำให้ได้รับความสดชื่นในร่างกายของพระโพธิสัตว์และพระมารดาของพระโพธิสัตว์.
               ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้รับพระโพธิสัตว์นั้นจากหัตถ์ของท้าวมหาพรหมผู้ยืนเอาข่ายทองคำรับอยู่ ด้วยเครื่องลาดทำด้วยหนังเสือดาวอันมีสัมผัสสบาย ซึ่งสมมติกันว่าเป็นมงคล พวกมนุษย์เอาพระยี่ภู่ทำด้วยผ้าทุกูลพัสตร์รับจากหัตถ์ของท้าวมหาราชเหล่านั้น.
               พอพ้นจากมือของพวกมนุษย์ พระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบนแผ่นดินทอดพระเนตรดูทิศตะวันออก จักรวาลหลายพันได้เป็นลานอันเดียวกัน เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในที่นั้นพากันบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น กล่าวกันว่า ข้าแต่มหาบุรุษ คนอื่นผู้จะเสมอเหมือนท่านไม่มีในโลกนี้ ในโลกนี้จักมีผู้ยิ่งกว่ามาแต่ไหน.
               พระโพธิสัตว์มองตรวจไปโดยลำดับตลอดทั้ง ๑๐ ทิศ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศ ทิศน้อย ๔ ทิศ เบื้องล่างและเบื้องบนด้วยประการอย่างนี้แล้ว มิได้ทรงเห็นใครๆ ผู้แม้นเหมือนกับตน ทรงดำริว่านี้ทิศเหนือ จึงเสด็จโดยย่างพระบาทไป ๗ ก้าว มีท้าวมหาพรหมคอยกั้นเศวตฉัตร ท้าวสุยามะถือพัดวาลวิชนี และเทวดาอื่นๆ ถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่เหลือเดินตามเสด็จ. จากนั้นประทับยืน ณ พระบาทที่ ๗ ทรงบันลือสีหนาทเปล่งอาสภิวาจาเป็นต้นว่า เราเป็นผู้เลิศของโลก ดังนี้.
               จริงอยู่ พระโพธิสัตว์พอคลอดออกมาจากครรภ์ของพระมารดาเท่านั้น เปล่งวาจาได้ใน ๓ อัตภาพ คืออัตภาพเป็น มโหสถ อัตภาพเป็น พระเวสสันดร และอัตภาพนี้.
               ได้ยินว่า ในอัตภาพเป็นมโหสถ เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นจะคลอดออกจากครรภ์มารดาเท่านั้น ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาวางแก่นจันทน์ลงในมือแล้วเสด็จไป พระโพธิสัตว์นั้นกำแก่นจันทน์นั้นไว้แล้วจึงคลอดออกมา. ลำดับนั้น มารดาถามพระโพธิสัตว์นั้นว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าถืออะไรมาด้วย? พระโพธิสัตว์กล่าวว่า โอสถจ้ะแม่ ดังนั้น บิดามารดาจึงตั้งชื่อเขาว่า โอสถกุมาร เพราะถือโอสถมา.
               บิดามารดาเอาโอสถนั้นใส่ไว้ในตุ่ม โอสถนั้นนั่นแหละได้เป็นยาระงับสารพัดโรคแก่คนตาบอดหูหนวกเป็นต้นที่ผ่านมาๆ. ต่อมา เพราะอาศัยคำพูดที่เกิดขึ้นว่า โอสถนี้ โอสถนี้มีคุณมหันต์ จึงได้เกิดมีชื่อว่า มโหสถ.
               ส่วนในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร พระโพธิสัตว์เมื่อจะประสูติจากพระครรภ์มารดา ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาประสูติแล้วตรัสว่า พระมารดา อะไรๆ ในเรือนมีไหม ลูกจักให้ทาน. ลำดับนั้น พระมารดาของพระองค์ตรัสว่า พ่อ ลูกบังเกิดในตระกูลที่มีทรัพย์ แล้วให้วางถุงทรัพย์หนึ่งพันไว้ จึงวางมือของพระโอรสไว้เหนือฝ่าพระหัตถ์ของพระนาง.
               ส่วนในอัตภาพนี้ พระโพธิสัตว์บันลือสีหนาทนี้ พระโพธิสัตว์พอประสูติจากพระครรภ์มารดาเท่านั้น ก็ทรงเปล่งพระวาจาได้ในอัตภาพทั้ง ๓ ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้.
               ก็แม้ในขณะที่พระโพธิสัตว์นั้นประสูติ ได้มีบุรพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้น เหมือนในขณะถือปฏิสนธิ ก็สมัยใด พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายประสูติในลุมพินีวัน สมัยนั้นนั่นแหละ พระเทวีมารดาพระราหุล พระอานันทเถระ ฉันนอำมาตย์ กาฬุทายีอำมาตย์ กัณฐกะอัศวราช มหาโพธิพฤกษ์ และหม้อขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ขุม ก็เกิดขึ้นพร้อมกัน. ในหม้อขุมทรัพย์ทั้ง ๔ นั้น ขุมทรัพย์หม้อหนึ่งมีขนาดคาวุตหนึ่ง ขุมทรัพย์หม้อหนึ่งมีขนาดกึ่งโยชน์ ขุมทรัพย์หม้อหนึ่งมีขนาด ๓ คาวุต ขุมทรัพย์หม้อหนึ่งมีขนาดหนึ่งโยชน์ โดยส่วนลึก ไปจดที่สุดของแผ่นดินทีเดียว เพราะเหตุนั้น ทั้ง ๗ เหล่านี้จึงจัดเป็น สหชาต.
               ชนชาวเมืองทั้งสองนครได้พาพระโพธิสัตว์ไปยังนครกบิลพัสดุ์เลยทีเดียว ก็วันนั้นเอง หมู่เทพในภพดาวดึงส์ต่างร่าเริงยินดีว่า พระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชในนครกบิลพัสดุ์ ประสูติแล้ว พระราชกุมารนี้จักนั่งที่ควงไม้โพธิ์ แล้วจักได้เป็นพระพุทธเจ้า จึงพากันโบกสะบัดผ้าเป็นต้นเล่นสนุกกัน.
               สมัยนั้น ดาบสชื่อว่า กาฬเทวิล ผู้คุ้นเคยกับราชสกุลของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช เป็นผู้ได้สมาบัติ ๘ กระทำภัตกิจแล้วไปยังดาวดึงส์พิภพ เพื่อต้องการพักผ่อนกลางวัน นั่งพักผ่อนกลางวันอยู่ในดาวดึงส์พิภพนั้น เห็นเทวดาเหล่านั้นเล่นสนุกกันอยู่อย่างนั้น จึงถามว่า เพราะเหตุไร ท่านทั้งหลายจึงมีใจร่าเริงเล่นสนุกกันอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงบอกเหตุนั่นแก่เราบ้าง.
               เทวดาทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ พระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชประสูติแล้ว พระราชบุตรนั้นจักประทับที่โพธิมัณฑ์เป็นพระพุทธเจ้า ประกาศพระธรรมจักร พวกเราจักได้เห็นพระพุทธลีลาอันหาประมาณมิได้ของพระองค์ และจักได้ฟังธรรม เพราะเหตุนั้น เราทั้งหลายจึงได้เป็นผู้ยินดีด้วยเหตุนี้.
               พระดาบสได้ฟังคำของเทวดาเหล่านั้นแล้ว จึงรีบลงมาจากเทวโลก เข้าไปยังพระราชนิเวศน์ นั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้วทูลว่า มหาบพิตร ได้ยินว่าพระราชบุตรของพระองค์ประสูติแล้ว อาตมภาพอยากจะเห็นพระราชบุตรนั้น.
               พระราชาทรงให้นำพระกุมารผู้แต่งตัวแล้วมา เริ่มที่จะให้ไหว้พระดาบส พระบาททั้งสองของพระโพธิสัตว์ กลับไปประดิษฐานบนชฎาของพระดาบส.
               จริงอยู่ บุคคลอื่นชื่อว่าผู้สมควรที่พระโพธิสัตว์จะพึงไหว้โดยอัตภาพนั้น ย่อมไม่มี ก็ถ้าผู้ไม่รู้ จะพึงวางศีรษะของพระโพธิสัตว์ลงแทบบาทมูลของพระดาบส ศีรษะของพระดาบสนั้นจะแตกออก ๗ เสี่ยง.
               พระดาบสคิดว่า เราไม่ควรจะทำตนของเราให้พินาศ จึงลุกขึ้นจากอาสนะ ประคองอัญชลีแก่พระโพธิสัตว์.
               พระราชาทรงเห็นความอัศจรรย์ข้อนั้น จึงทรงไหว้พระราชบุตรของพระองค์.
               พระดาบสระลึกได้ ๘๐ กัป คือในอดีต ๔๐ กัป ในอนาคต ๔๐ กัป เห็นลักษณสมบัติของพระโพธิสัตว์แล้วรำพึงว่า เธอจักได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่หนอ จึงใคร่ครวญดูรู้ว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย จึงได้กระทำการยิ้มแย้มอันเป็นเหตุให้รู้ว่า พระราชบุตรนี้เป็นอัจฉริยบุรุษ แต่นั้นจึงใคร่ครวญดูว่า เราจักได้เห็นอัจฉริยบุรุษผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่หนอ ได้เห็นว่าเราจักไม่ได้ทันเห็น จักตายเสียในระหว่างนั้นแหละ จักบังเกิดในอรูปภพที่พระพุทธเจ้าร้อยองค์ก็ดี พันองค์ก็ดี ไม่อาจเสด็จไปให้ตรัสรู้ได้ แล้วคิดว่า เราจักไม่ได้ทันเห็นอัจฉริยบุรุษชื่อผู้เห็นปานนี้เป็นพระพุทธเจ้า เราจักมีความเสื่อมอย่างมหันต์หนอ จึงได้ร้องไห้แล้ว.
               คนทั้งหลายเห็นแล้วจึงเรียนถามท่านว่า พระคุณเจ้าของพวกเราหัวเราะอยู่เมื่อกี้ กลับร้องไห้อีกเล่า ท่านผู้เจริญ อันตรายไรๆ จักมีแด่พระลูกเจ้าของพวกเราหรือหนอ?
               พระดาบสบอกว่า พระราชบุตรนี้ไม่มีอันตราย จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย. คนทั้งหลายจึงเรียนถามว่า ท่านผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงร้องไห้เล่า.
               พระดาบสบอกว่า เราโศกเศร้าถึงตนว่าจักไม่ได้ทันเห็นบุรุษผู้เห็นปานนี้เป็นพระพุทธเจ้า เราจักมีความเสื่อมอย่างมหันต์หนอ จึงได้ร้องไห้.
               ลำดับนั้น ท่านจึงใคร่ครวญดูว่า บรรดาพวกญาติของเรา ญาติไรๆ จักได้ทันเห็นบุรุษนี้เป็นพระพุทธเจ้าบ้างไหม ก็ได้เห็นนาลกทารกผู้เป็นหลานของตน. ท่านจึงไปยังเรือนของน้องสาวแล้วถามว่า นาลกะ บุตรของเจ้าอยู่ไหน.
               น้องสาวตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า เขาอยู่ในเรือน เจ้าค่ะ.
               พระดาบสกล่าวว่า จงไปเรียกเขามา ครั้นให้เรียกมาแล้ว จึงพูดกะกุมารผู้มายังสำนักของตนว่า นี่แน่ะพ่อหลานชาย พระราชบุตรประสูติในราชสกุลของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระราชบุตรนั่นเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร ล่วงไป ๓๕ ปีจักได้เป็นพระพุทธเจ้า เจ้าจักได้ทันเห็นพระองค์ เจ้าจงบวชเสียในวันนี้ทีเดียว.
               ฝ่ายทารกผู้เกิดในตระกูลมีทรัพย์ ๘๗ โกฏิคิดว่า หลวงลุงจักไม่ชักชวนเราในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ทันใดนั้นเองจึงให้คนไปซื้อผ้ากาสายะและบาตรดินมาจากตลาด แล้วปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ประคองอัญชลีมุ่งหน้าไปทางพระโพธิสัตว์ โดยคิดว่า เราบวชอุทิศท่าน ผู้อุดมบุคคลในโลก ดังนี้แล้วกราบไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เอาบาตรใส่ถุงคล้องจะงอยบ่า เข้าป่าหิมพานต์ กระทำสมณธรรม.
               ท่านนาลกะนั้นเข้าไปเฝ้าพระตถาคตผู้ได้บรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ตรัส นาลกปฏิปทา แล้วกลับเข้าป่าหิมพานต์อีก บรรลุพระอรหัตแล้วปฏิบัติปฏิปทาอย่างอุกฤษฎ์ รักษาอายุอยู่ได้ ๗ เดือนเท่านั้น ยืนพิงภูเขาทองลูกหนึ่ง อยู่ท่าเดียว ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์แล พระประยูรญาติทั้งหลายให้สนานพระเศียรในวันที่ ๕ แล้วคิดกันว่าจักเฉลิมพระนาม จึงให้ฉาบทาพระราชมณเฑียรด้วยคันธชาติ ๔ ชนิด โปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ ๕ ให้จัดข้าวปายาสล้วนๆ แล้วเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนผู้เรียนจบไตรเพท ให้นั่งในพระราชมณเฑียร ให้ฉันโภชนะอย่างดี กระทำสักการะอย่างมากมายแล้วให้ทายพระลักษณะว่าอะไรจักเกิดมีหนอแล.
               บรรดาพราหมณ์เหล่านั้น  ครั้งนั้น พราหมณ์ ๘ คนนั้น คือรามพราหมณ์ ธชพราหมณ์ ลักขณพราหมณ์ มันตีพราหมณ์ ยัญญพราหมณ์ สุโภชพราหมณ์ สุยามพราหมณ์ และสุทัตตพราหมณ์ เป็นผู้จบเวทางคศาสตร์มีองค์ ๖ กระทำให้แจ้งซึ่งมนต์แล้ว ด้วยประการฉะนี้.
               พราหมณ์เฉพาะ ๘ คนนี้นี่แลได้เป็นผู้ทำนายพระลักษณะ. แม้พระสุบินในวันที่ถือปฏิสนธิ พราหมณ์ทั้ง ๘ คนนี้นั่นแหละก็ได้ทำนายแล้ว.
               บรรดาพราหมณ์ทั้ง ๘ คนนั้น ๗ คนชูขึ้น ๒ นิ้วทำนายพระโพธิสัตว์นั้นเป็น ๒ สถานว่า ผู้ประกอบด้วยพระลักษณะเหล่านี้ ถ้าอยู่ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าบวชจักได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วบอกสิริสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหมด.
               แต่มาณพชื่อโกณฑัญญะ โดยโคตร เป็นหนุ่มกว่าพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ตรวจดูลักษณสมบัติอันประเสริฐของพระโพธิสัตว์แล้วชูขึ้นนิ้วเดียว พยากรณ์โดยสถานเดียวเท่านั้นว่า พระกุมารนี้ไม่มีเหตุที่จะดำรงอยู่ท่ามกลางเรือน พระกุมารนี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้า มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้ว โดยส่วนเดียว.
               อันโกณฑัญญมาณพนี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้ เป็นสัตว์ผู้จะเกิดในภพสุดท้าย มีปัญญาเหนือคนทั้ง ๗ นอกนี้ ได้เห็นคติเดียวเท่านั้นกล่าวคือ พระโพธิสัตว์ผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้จะเป็นพระพุทธเจ้าโดยแน่นอน เพราะเหตุนั้น จึงชูขึ้นนิ้วเดียวแล้วพยากรณ์อย่างนั้น.
               ลำดับนั้น พราหมณ์ทั้งหลายเมื่อจะเฉลิมพระนามของพระโพธิสัตว์นั้น จึงขนานพระนามว่าสิทธัตถะ เพราะกระทำให้สำเร็จความต้องการแก่โลกทั้งปวง.
               ลำดับนั้น พราหมณ์เหล่านั้นจึงไปยังเรือนของตนๆ เรียกลูกๆ มาบอกว่า นี่แน่ะพ่อทั้งหลาย พวกเราเป็นคนแก่จะอยู่ถึงพระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช บรรลุพระสัพพัญญุตญาณหรือไม่ (ก็ไม่รู้) เมื่อพระราชกุมารนั้นบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว พวกเจ้าพึงบวชในสำนักของพระองค์.
               พราหมณ์ทั้ง ๗ คนนั้นดำรงอยู่ตราบชั่วอายุแล้วได้ไปตามกรรม ส่วนโกณฑัญญมาณพเท่านั้นยังมีชีวิตอยู่.
               โกณฑัญญมาณพนั้น เมื่อพระมหาสัตว์อาศัยความเจริญแล้วออกมหาภิเนษกรมณ์บวชแล้ว เสด็จถึงอุรุเวลาประเทศโดยลำดับ ทรงพระดำริว่า ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริงหนอ ที่นี้สมควรที่จะบำเพ็ญเพียรของกุลบุตรผู้มีความต้องการจะบำเพ็ญเพียร จึงเสด็จเข้าไปอยู่ ณ ที่นั้น. เขาได้ฟังข่าวว่า พระมหาบุรุษทรงผนวชแล้ว จึงเข้าไปหาพวกบุตรของพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอย่างนี้ว่า ได้ยินข่าวว่า พระสิทธัตถกุมารทรงผนวชแล้ว พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย ถ้าบิดาของท่านทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่ ก็จะพึงออกบวชวันนี้ ถ้าแม้ท่านทั้งหลายจะต้องการจงมาซิ พวกเราจักบวชตามพระมหาบุรุษนั้น.
               พวกเขาทั้งหมดไม่สามารถจะมีฉันทะเป็นอันเดียวกันได้ บรรดาชนทั้ง ๗ นั้น ๓ คนไม่บวช ๔ คนนอกนี้บวช โดยตั้งให้โกณฑัญญพราหมณ์เป็นหัวหน้า. พราหมณ์ทั้ง ๕ คนนั้นจึงมีชื่อว่า พระปัญจวัคคีย์เถระ.
               ก็ในครั้งนั้น พระเจ้าสุทโธทนะตรัสถามว่า บุตรของเราเห็นอะไรจึงจักบวช. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า เห็นบุพนิมิตทั้ง ๔. ตรัสถามว่า บุพนิมิตอะไรบ้าง. กราบทูลว่า คนแก่ คนเจ็บ คนตายและบรรพชิต.
               พระราชาตรัสว่า จำเดิมแต่นี้ไป พวกท่านอย่าได้ให้คนเห็นปานนี้เข้าไปยังสำนักแห่งบุตรของเรา เราไม่มีกิจกรรมที่จะให้บุตรของเราเป็นพระพุทธเจ้า เรามีความประสงค์จะเห็นบุตรของเราครอบครองราชสมบัติจักรพรรดิอันมีความเป็นอิสริยาธิบดีในทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร ห้อมล้อมด้วยบริษัทอันมีปริมณฑล ๓๖ โยชน์ ท่องเที่ยวไปในพื้นท้องฟ้า.
               ก็แหละครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว เพื่อที่จะห้ามมิให้บุพนิมิตทั้ง ๔ ประการนี้มาสู่คลองจักษุพระกุมาร จึงทรงตั้งการอารักขาไว้ในที่ทุกๆ คาวุตในทิศทั้ง ๔.
               ก็วันนั้น เมื่อตระกูลพระญาติแปดหมื่นตระกูลประชุมกันในมงคลสถานแล้ว พระญาติองค์หนึ่งๆ ได้อนุญาตบุตรคนหนึ่งๆ ว่า พระราชกุมารนี้จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระราชาก็ตาม พวกเราจักให้บุตรคนละคน ถ้าแม้จักได้เป็นพระพุทธเจ้า จักเป็นผู้อันหมู่ขัตติยสมณะห้อมล้อมเที่ยวไป ถ้าแม้จักเป็นพระราชา จักเป็นผู้อันขัตติยกุมารห้อมล้อม กระทำไว้ในเบื้องหน้าเที่ยวไป.
               ฝ่ายพระราชาก็ทรงตั้งนางนมผู้ปราศจากสรรพโรค สมบูรณ์ด้วยรูปอันอุดมแก่พระโพธิสัตว์.
               พระโพธิสัตว์เจริญด้วยบริวารใหญ่ ด้วยสิริโสภาคย์อันยิ่งใหญ่.
               อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทรงมีงานพระราชพิธีชื่อว่า วัปปมงคล. วันนั้น ประชาชนต่างประดับประดาพระนครทั้งสิ้นประดุจเทพนคร คนทั้งหมดมีทาสและกรรมกรเป็นต้นนุ่งห่มผ้าใหม่ ประดับด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ประชุมกันในราชสกุล เทียมไถถึงพันคันในงานพระราชพิธี.
               ก็ในวันนั้น ไถ ๑๐๘ คันหย่อนไว้คันหนึ่ง (คือ ๑๐๗ คัน) พร้อมทั้งโคผู้ผูกเชือกสายตะพาย หุ้มด้วยเงิน. ส่วนไถที่พระราชาทรงถือ หุ้มด้วยทองคำสุกปลั่ง. แม้เขา เชือกสายตะพายและปฏักของโคผู้ทั้งหลาย หุ้มด้วยทองคำทั้งนั้น.
               พระราชาเสด็จออกด้วยบริวารใหญ่ ได้ทรงพาพระราชบุตรไปด้วย.
               ในสถานที่ประกอบพระราชพิธี มีต้นหว้าต้นหนึ่ง มีใบหนาแน่น มีร่มเงาชิดสนิท. พระราชาทรงให้ปูลาดพระที่บรรทมของพระกุมาร ณ ภายใต้ต้นหว้านั้น ให้ผูกเพดานขจิตด้วยดาวทองไว้เบื้องบน ให้แวดวงด้วยปราการคือพระวิสูตร วางการอารักขาเสร็จแล้ว พระองค์ทรงประดับเครื่องราชอลังการทั้งปวง ห้อมล้อมด้วยหมู่อำมาตย์เสด็จไปยังสถานที่จรดพระนังคัล ณ ที่นั้นพระราชาทรงถือพระนังคัลทองคำ อำมาตย์ทั้งหลายถือไถเงิน ๑๐๗ คัน พวกชาวนาถือไถที่เหลือ. พวกเขาถือไถเหล่านั้นไถไปรอบๆ ส่วนพระราชาทรงไถจากด้านในไปสู่ด้านนอก ไถจากด้านนอกไปสู่ด้านใน. ในที่แห่งหนึ่งมีมหาสมบัติ. พวกนางนมที่นั่งห้อมล้อมพระโพธิสัตว์ คิดว่าจักไปดูสมบัติของพระราชา จึงออกจากพระวิสูตรไปข้างนอก.
               พระโพธิสัตว์ทรงแลดูไปรอบๆ ไม่เห็นมีใครเลย จึงเสด็จลุกขึ้นโดยเร็ว ทรงนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก ทำปฐมฌานให้เกิดขึ้นแล้ว. พวกนางนมเที่ยวไปในระหว่างเวลากินอาหาร จึงชักช้าไปหน่อยหนึ่ง. เงาของต้นไม้ที่เหลือคล้อยไป แต่เงาของต้นหว้านั้นคงตั้งอยู่เป็นปริมณฑล. พวกนางนมคิดได้ว่า พระลูกเจ้าประทับอยู่พระองค์เดียว จึงรีบยกพระวิสูตรขึ้นเข้าไปภายใน เห็นพระโพธิสัตว์นั่งขัดสมาธิบนพระที่บรรทม และเห็นปาฏิหาริย์นั้น จึงไปกราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระกุมารประทับนั่งอย่างนี้ เงาของต้นไม้อื่นๆ คล้อยไปแล้ว แต่เงาของต้นหว้าคงตั้งเป็นปริมณฑลอยู่.
               พระราชารีบเสด็จมา ทรงเห็นปาฏิหาริย์ จึงทรงไหว้พระโอรสโดยตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ นี้เป็นการไหว้เจ้าครั้งที่สอง.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์มีพระชนมายุ ๑๖ พรรษาโดยลำดับ. พระราชาให้สร้างปราสาทสามหลังอันเหมาะสมแต่ฤดูทั้งสาม เพื่อพระโพธิสัตว์ คือหลังหนึ่งมี ๙ ชั้น หลังหนึ่งมี ๗ ชั้น หลังหนึ่ง ๕ ชั้นและให้หญิงฟ้อนรำสี่หมื่นนางคอยบำเรอรับใช้. พระโพธิสัตว์อันหญิงฟ้อนรำผู้ประดับกายงดงามห้อมล้อม เหมือนเทพบุตรอันหมู่นางอัปสรห้อมล้อมอยู่ ฉะนั้น ถูกบำเรออยู่ด้วยดนตรีไม่มีบุรุษเจือปน เสวยมหาสมบัติอยู่ในปราสาททั้งสามตามคราวแห่งฤดู. ส่วนพระเทวีมารดาพระราหุลเป็นพระอัครมเหสีของพระองค์.
               เมื่อพระองค์เสวยสมบัติอยู่อย่างนั้น วันหนึ่ง ได้มีการพูดกันขึ้นในระหว่างหมู่พระญาติดังนี้ว่า พระสิทธัตถะทรงเที่ยวขวนขวายอยู่แต่การเล่นเท่านั้น ไม่ทรงศึกษาศิลปศาสตร์อะไรๆ เมื่อมีสงครามมาประชิดเข้า จักกระทำอย่างไร.
               พระราชารับสั่งให้เรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ พวกญาติๆ ของลูกพากันพูดว่า สิทธัตถะไม่ศึกษาศิลปศาสตร์อะไรๆ ขวนขวายแต่การเล่นเท่านั้นเที่ยวไป ในเรื่องนี้ ลูกจะเข้าใจอย่างไร ในเวลาประจวบกับพวกศัตรู.
               พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องศึกษาศิลปศาสตร์ ขอพระองค์ได้โปรดให้เที่ยวตีกลองป่าวร้องไปในพระนคร เพื่อให้มาดูศิลปะของข้าพระองค์ ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ไป ข้าพระองค์จักแสดงศิลปศาสตร์แก่หมู่พระญาติ. พระราชาได้ทรงกระทำตามนั้น พระโพธิสัตว์ให้ประชุมนักแม่นธนูผู้สามารถยิงอย่างสายฟ้าแลบ และผู้สามารถยิงขนหางสัตว์ แล้วทรงแสดงศิลปะทั้ง ๑๒ ชนิดแก่พระญาติ ซึ่งไม่ทั่วไปกับพวกนักแม่นธนูอื่นๆ ในท่ามกลางมหาชน.
               เรื่องนั้นพึงทราบตามนัยที่มีมาใน สรภังคชาดก นั่นแล.
               ครั้งนั้น หมู่พระญาติของพระองค์ได้หมดข้อสงสัย.
               อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์มีพระประสงค์จะเสด็จไปยังอุทยานภูมิ จึงตรัสเรียกนายสารถีมาแล้วตรัสว่า จงเทียมรถ. นายสารถีนั้นรับพระบัญชาแล้ว ประดับรถชั้นสูงสุดอันควรค่ามากด้วยเครื่องประดับทั้งปวงแล้วเทียมม้าสินธพที่เป็นมงคล ๔ ตัว มีสีดังกลีบดอกโกมุทเสร็จแล้ว จึงทูลบอกแก่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นรถอันเป็นเช่นกับเทพวิมาน ได้เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปทางอุทยาน.
               เทวดาทั้งหลายคิดว่า กาลที่จะตรัสรู้พร้อมเฉพาะของพระสิทธัตถกุมาร ใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราจักแสดงบุพนิมิต จึงแสดงเทวบุตรองค์หนึ่ง ให้เป็นคนแก่ชรา มีฟันหัก ผมหงอก หลังโกง มีร่างกายค้อมลง ถือไม้เท้า สั่นงกๆ เงิ่นๆ.
               พระโพธิสัตว์และนายสารถีก็ได้ทอดพระเนตรเห็น และแลเห็นคนแก่ชรานั้น. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้ตรัสถามนายสารถี โดยนัยอันมาใน มหาปทานสูตร ว่า นี่แน่ะสหาย บุรุษนั่นชื่อไร แม้ผมของเขาก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ ดังนี้ ได้ทรงสดับคำของนายสารถีนั้นแล้วทรงดำริว่า แน่ะผู้เจริญ ความเกิดนี้น่าติเตียนจริงหนอ, เพราะชื่อว่าความแก่จักปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดแล้วดังนี้ มีพระทัยสลด เสด็จกลับจากที่นั้นขึ้นสู่ปราสาททันที.
               พระราชาตรัสถามว่า เพราะเหตุไร บุตรของเราจึงกลับเร็ว?
               นายสารถีกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เพราะเห็นคนแก่ พระเจ้าข้า.
               พระราชาตรัสว่า พวกเขาพูดกันว่า เพราะเห็นคนแก่จักบวช เพราะเหตุไร พวกเจ้าจึงจะทำเราให้ฉิบหายเสียเล่า จงรีบจัดนางฟ้อนรำให้ลูกเราดู เธอเสวยสมบัติอยู่ จักไม่ระลึกถึงการบวช แล้วทรงเพิ่มการอารักขาให้มากขึ้น วางการอารักขาไว้ในที่ทุกๆ กึ่งโยชน์ ในทิศทั้งปวง.
               วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์เสด็จไปยังอุทยานเหมือนอย่างเดิม ทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บที่เทวดานิมิตขึ้น จึงตรัสถามโดยนัยก่อนนั่นแหละ มีพระทัยสลด เสด็จกลับขึ้นสู่ปราสาท. ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถามแล้วทรงจัดแจงโดยนัยดังกล่าวในหนหลังนั่นแหละ แต่เพิ่มการอารักขาขึ้นอีก ทรงวางการอารักขาไว้ในที่มีประมาณ ๓ คาวุตโดยรอบ.
               ต่อมาอีกวัน พระโพธิสัตว์เสด็จไปอุทยานเหมือนเดิม ทอดพระเนตรเห็นคนตายที่เทวดานิมิตขึ้น ตรัสถามโดยนัยก่อนนั่นแหละ มีพระทัยสลด หวนกลับขึ้นสู่ปราสาท. ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถามแล้วทรงจัดแจงโดยนัยดังกล่าวในหนหลังนั่นแหละ จึงทรงเพิ่มการอารักขาขึ้นอีก ทรงวางการอารักขาไว้ในที่ประมาณหนึ่งโยชน์โดยรอบ.
               วันรุ่งขึ้นต่อมา พระโพธิสัตว์เสด็จไปอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นบรรพชิตนุ่งห่มเรียบร้อยที่เทวดานิมิตไว้อย่างนั้นเหมือนกัน จึงตรัสถามนายสารถีว่า สหาย ผู้นี้ชื่อไร?
               สารถีไม่รู้จักบรรพชิตหรือคุณธรรมของบรรพชิต เพราะยังไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นก็จริง ถึงกระนั้น เพราะอานุภาพของเทวดา เขากล่าวว่า ข้าแต่สมมติเทพ ผู้นี้ชื่อว่าบรรพชิต แล้วพรรณนาคุณของการบวช.
               พระโพธิสัตว์ยังความพอพระทัยให้เกิดขึ้นในการบวช ได้เสด็จไปยังอุทยานตลอดวันนั้น.
               ฝ่ายพระทีฆภาณกาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ได้เสด็จไปเห็นนิมิตทั้ง ๔ โดยวันเดียวเท่านั้น.
               พระโพธิสัตว์นั้นทรงเล่นอยู่ในอุทยานนั้นตลอดทั้งวัน แล้วสรงสนานในสระโบกขรณีอันเป็นมงคล เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ประทับนั่งบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล มีพระประสงค์จะให้เขาแต่งพระองค์.
               ทีนั้น พวกบริจาริกาของพระองค์ถือเอาผ้าสีต่างๆ เครื่องอาภรณ์หลายชนิดนานัปการและดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ มายืนห้อมล้อมอยู่โดยรอบ.
               ขณะนั้น อาสนะที่ท้าวสักกะประทับนั่งได้มีความร้อนขึ้น ท้าวสักกะนั้นทรงใคร่ครวญอยู่ว่า ใครหนอมีความต้องการจะให้เราเคลื่อนจากที่นี้ ทรงทราบว่าพระโพธิสัตว์มีพระประสงค์จะให้ตกแต่งพระองค์ จึงตรัสเรียกพระวิสสุกรรมมาตรัสว่า นี่แน่ะวิสสุกรรมผู้สหาย วันนี้ สิทธัตถกุมารจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ในเวลาเที่ยงคืน การประดับนี้เป็นการประดับครั้งสุดท้ายของพระองค์ ท่านจงไปยังอุทยานประดับตกแต่งพระมหาบุรุษ ด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์.
               พระวิสสุกรรมนั้นรับเทวบัญชาแล้ว เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ทันที ด้วยเทวานุภาพเป็นเหมือนกับช่างกัลบกของพระองค์ทีเดียว เอาผ้าทิพย์พันพระเศียรของพระโพธิสัตว์. โดยการสัมผัสมือเท่านั้น พระโพธิสัตว์ก็ได้ทราบว่า ผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ ผู้นี้เป็นเทวบุตร.
               เมื่อพอเขาเอาผ้าพันผืนพันพระเศียรเข้า ผ้าพันผืนก็นูนขึ้นโดยอาการคล้ายแก้วมณีบนพระโมลี เมื่อเขาพันอีก ผ้าพันผืนก็นูนขึ้น เพราะเหตุนั้น เมื่อเขาพัน ๑๐ ครั้ง ผ้าหมื่นผืนก็นูนสูงขึ้น.
               ใครๆ ไม่ควรคิดว่า พระเศียรเล็ก ผ้ามาก พอกนูนขึ้นได้อย่างไร. เพราะบรรดาผ้าเหล่านั้น ผ้าที่ใหญ่กว่าทุกผืน มีขนาดเท่าดอกมะขามป้อม ผ้าที่เหลือมีขนาดเท่าดอกกระทุ่ม พระเศียรของพระโพธิสัตว์ได้เป็นเหมือนดอกสารภีที่หนาแน่นด้วยเกสรฉะนั้น.
               ลำดับนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงแล้ว เมื่อพวกนักดนตรีทั้งปวงแสดงปฏิภาณของตนๆ เมื่อพวกพราหมณ์สรรเสริญด้วยคำมีอาทิว่า ขอพระองค์จงทรงยินดีในชัยชนะ เพราะพวกคนที่ถือการได้ยินได้ฟังว่าเป็นมงคลเป็นต้น สรรเสริญด้วยการประกาศสดุดีด้วยคำอันเป็นมงคลนานัปการ พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นรถอันประเสริฐซึ่งประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวง.
               สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงสดับว่า มารดาราหุลประสูติพระโอรส จึงส่งสาสน์ไปว่า ท่านทั้งหลายจงบอกความดีใจของเราแก่ลูกของเราด้วย.
               พระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับข่าวสาสน์นั้นแล้วตรัสว่า ราหุ (ห่วง) เกิดแล้ว เครื่องจองจำเกิดแล้ว.
               พระราชาตรัสถามว่า บุตรของเราได้พูดอะไรบ้าง ครั้นได้สดับคำนั้นแล้วจึงตรัสว่า ตั้งแต่นี้ไป หลานของเราจงมีชื่อว่า ราหุลกุมาร.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็เสด็จขึ้นทรงรถอันประเสริฐ เสด็จเข้าสู่พระนครด้วยพระยศอันยิ่งใหญ่ ด้วยพระสิริโสภาคย์อันรื่นรมย์ใจยิ่งนัก.
               สมัยนั้น นางขัตติยกัญญาพระนามว่า กีสาโคตมี เสด็จอยู่ ณ พื้นปราสาทชั้นบนอันประเสริฐ เห็นความสง่าแห่งพระรูปโฉมของพระโพธิสัตว์ผู้กระทำประทักษิณพระนคร ทรงเกิดปีติโสมนัส จึงทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
               บุรุษเช่นนี้ เป็นบุตรของมารดาใด มารดานั้นก็ดับได้แน่ (หมายถึง สบายใจ, เย็นใจ) เป็นบุตรของบิดาใด บิดานั้นก็ดับได้แน่ เป็นสามีของนารีใด นารีนั้นก็ดับได้แน่.
               พระโพธิสัตว์สดับคำอันเป็นคาถานั้น ทรงดำริว่า พระนางกีสาโคตมีนี้ตรัสอย่างนี้ว่า หทัยของมารดา หทัยของบิดา หทัยของภริยา ผู้เห็นอัตภาพเห็นปานนี้ ย่อมดับทุกข์ได้ เมื่ออะไรหนอดับ หทัยจึงชื่อว่าดับทุกข์ได้.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ผู้มีหทัยคลายความกำหนัดในกิเลสทั้งหลาย ได้มีพระดำริดังนี้ว่า เมื่อไฟคือราคะดับ หทัยชื่อว่าดับก็มี เมื่อไฟคือโทสะดับ หทัยชื่อว่าดับก็มี เมื่อไฟคือโมหะดับ หทัยชื่อว่าดับก็มี เมื่อความเร่าร้อนเพราะกิเลสทั้งปวงมีมานะทิฏฐิเป็นต้นดับ หทัยชื่อว่าดับก็มี พระนางให้เราฟังคำที่ดี ความจริง เรากำลังเที่ยวแสวงหาความดับอยู่ วันนี้แล เราควรทิ้งการครองเรือนออกไปบวชแสวงหาความดับ. นี้จงเป็นส่วนแห่งอาจารย์สำหรับพระนางเถิด แล้วปลดแก้วมุกดาหารมีค่าหนึ่งแสนจากพระศอ ส่งไปประทานแก่พระนางกีสาโคตมี.
               พระนางเกิดความโสมนัสว่า สิทธัตถกุมารมีจิตปฏิพัทธ์เราจึงส่งเครื่องบรรณาการมาให้.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นสู่ปราสาทของพระองค์ ด้วยพระสิริโสภาคย์อันยิ่งใหญ่ เสด็จบรรทมบนพระที่สิริไสยาสน์ ในทันใดนั้นเอง เหล่าสตรีนักฟ้อนผู้ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ผู้ศึกษามาดีแล้วในการฟ้อนและการขับเป็นต้น ทั้งงามเลิศด้วยรูปโฉม ประดุจนางเทพกัญญา ถือดนตรีนานาชนิดมาแวดล้อมทำพระโพธิสัตว์ให้อภิรมย์ยินดี ต่างพากันประกอบการฟ้อนรำขับร้องและการบรรเลง.
               พระโพธิสัตว์ไม่ทรงอภิรมย์ยินดีในการฟ้อนรำเป็นต้น เพราะทรงมีพระหฤทัยเบื่อหน่ายในกิเลสทั้งหลาย ครู่เดียวก็เสด็จเข้าสู่นิทรา.
               ฝ่ายสตรีเหล่านั้นคิดกันว่า พวกเราประกอบการฟ้อนรำเป็นต้นเพื่อประโยชน์แก่พระราชกุมารใด พระราชกุมารนั้นเสด็จเข้าสู่นิทราแล้ว บัดนี้พวกเราจะลำบากไปเพื่ออะไร ต่างพากันวางเครื่องดนตรีที่ถือไว้ๆ แล้วก็นอนหลับไป ดวงประทีป น้ำมันหอมยังคงลุกสว่างอยู่.
               พระโพธิสัตว์ทรงตื่นบรรทม ทรงนั่งขัดสมาธิบนหลังพระที่บรรทม ได้ทอดพระเนตรเห็นสตรีเหล่านั้นนอนหลับทับเครื่องดนตรีอยู่ บางพวกมีน้ำลายไหล มีตัวเปรอะเปื้อนน้ำลาย บางพวกกัดฟัน บางพวกนอนกรน บางพวกละเมอ บางพวกอ้าปาก บางพวกผ้าหลุดลุ่ยปรากฏอวัยวะเพศอันน่าเกลียด.
               พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นอาการผิดแผกของสตรีเหล่านั้น ได้ทรงมีพระหฤทัยเบื่อหน่ายในกามทั้งหลายยิ่งกว่าประมาณ พื้นใหญ่นั้นตกแต่งประดับประดาไว้แม้จะเป็นเช่นกับภพของท้าวสักกะ ก็ปรากฏแก่พระองค์ประหนึ่งว่า ป่าช้าผีดิบซึ่งเต็มด้วยซากศพนานาชนิด ภพทั้ง ๓ ปรากฏเหมือนเรือนถูกไฟไหม้ จึงเปล่งอุทานว่า วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ. พระทัยของพระองค์ทรงน้อมไปเพื่อบรรพชายิ่งขึ้น.

พระโพธิสัตว์นั้นทรงดำริว่า เราออก มหาภิเนษกรมณ์ เสียในวันนี้ทีเดียว จึงเสด็จลุกขึ้นจากพระที่บรรทม เสด็จไปใกล้ประตูตรัสว่า ใครอยู่ที่นั่น. นายฉันนะนอนเอาศีรษะหนุนธรณีประตูอยู่กราบทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ข้าพระองค์ ฉันนะ. ตรัสว่า วันนี้เรามีประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมณ์ จงจัดหาม้าให้เราตัวหนึ่ง.
               เขาทูลรับว่า ได้ พระเจ้าข้า แล้วถือเอาเครื่องม้าไปยังโรงม้า เมื่อดวงประทีปน้ำมันหอมยังลุกโพลงอยู่ เห็นพญาม้ากัณฐกะยืนอยู่บนภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ ภายใต้เพดานแผ่นดอกมะลิ คิดว่า วันนี้ เราควรจัดม้าตัวนี้แหละถวาย จึงได้จัดม้ากัณฐกะ.
               ม้ากัณฐกะนั้นเมื่อนายฉันนะจัดเตรียมอยู่ ได้รู้ว่าการจัดเตรียมคราวนี้กระชับแน่นจริง ไม่เหมือนการจัดเตรียมในคราวเสด็จประพาสเล่นในสวนเป็นต้น ในวันอื่นๆ วันนี้พระลูกเจ้าของเรา จักมีพระประสงค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์. ทีนั้นก็มีใจยินดีจึงร้องดังลั่น เสียงนั้นจะพึงกลบไปทั่วทั้งพระนคร แต่เทวดาทั้งหลายกั้นเสียงนั้นไว้มิให้ใครๆ ได้ยิน.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงใช้นายฉันนะไปแล้วทรงดำริว่า เราจักเยี่ยมดูลูกเสียก่อน จึงเสด็จลุกขึ้นจากบัลลังก์ที่ประทับ เสด็จไปยังที่อยู่ของพระมารดาพระราหุล ทรงเปิดประตูห้อง ขณะนั้นดวงประทีปน้ำมันหอมยังลุกไหม้อยู่ในภายในห้อง พระมารดาพระราหุลทรงบรรทมวางพระหัตถ์เหนือเศียรพระโอรส บนที่บรรทมอันเกลื่อนกล่นด้วยดอกมะลิซ้อนและดอกมะลิลาเป็นต้น.
               พระโพธิสัตว์ประทับยืนวางพระบาทบนธรณีประตู ทอดพระเนตรดูแล้วทรงดำริว่า ถ้าเราจักเอามือพระเทวีออกแล้วจับลูกของเราไซร้ พระเทวีก็จักตื่นบรรทม เมื่อเป็นอย่างนั้น อันตรายจักมีแก่เรา เราจักเป็นพระพุทธเจ้าเสียก่อนจึงจักมาเยี่ยมดูลูก ครั้นทรงดำริแล้วจึงเสด็จลงจากพื้นปราสาทไป.
               ก็คำที่กล่าวไว้ในอรรถกถาชาดกว่า ตอนนั้น พระราหุลกุมารประสูติได้ ๗ วัน ดังนี้ ไม่มีอยู่ในอรรถกถาที่เหลือ เพราะฉะนั้น พึงถือเอาคำนี้แหละ.
               พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากพื้นปราสาทอย่างนี้แล้ว เสด็จเข้าไปใกล้ม้าตรัสอย่างนี้ว่า นี่แน่ะพ่อกัณฐกะ วันนี้ เจ้าจงให้เราข้ามฝั่งสักคืนหนึ่งเถิด เราอาศัยเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จักยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามฝั่งด้วย.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ก็กระโดดขึ้นหลังม้ากัณฐกะ. ม้ากัณฐกะโดยความยาวเริ่มแต่คอวัดได้ ๑๘ ศอก ประกอบด้วยส่วนสูงอันเหมาะสมกับความยาวนั้น สมบูรณ์ด้วยกำลังและความเร็ว ตัวขาวปลอดประดุจสังข์ที่ขัดแล้ว. ถ้าม้ากัณฐกะนั้นพึงร้องหรือกระทำเสียงที่เท้า เสียงก็จะพึงกลบไปทั่วทั้งพระนคร เพราะฉะนั้น เทวดาทั้งหลายจึงปิดเสียงร้องของม้านั้นโดยประการที่ใครๆ จะไม่ได้ยิน ด้วยอานุภาพของตน แล้วเอาฝ่ามือเข้าไปรองรับในวาระที่ม้าก้าวเท้าเหยียบไปๆ. พระโพธิสัตว์เสด็จอยู่ท่ามกลางหลังม้าตัวประเสริฐ ให้นายฉันนะจับหางม้า เสด็จถึงยังที่ใกล้ประตูใหญ่ตอนเที่ยงคืน.
               ก็ในกาลนั้น พระราชาทรงให้กระทำบานประตูสองบาน แต่ละบานจะต้องใช้บุรุษหนึ่งพันคนเปิด ด้วยทรงพระดำริว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ บุตรของเราจักไม่อาจเปิดประตูเมืองออกไปได้ ไม่ว่าเวลาไหนๆ. แต่พระโพธิสัตว์ทรงสมบูรณ์ด้วยพละกำลัง เมื่อเทียบกับช้าง ทรงกำลังเท่าช้างถึงพันโกฏิเชือก เมื่อเทียบกับบุรุษ ทรงกำลังเท่าบุรุษถึงหมื่นโกฏิ. พระองค์จึงทรงดำริว่า ถ้าใครไม่เปิดประตู วันนี้เรานั่งอยู่บนหลังม้ากัณฐกะนี่แหละ จักเอาขาอ่อนหนีบม้ากัณฐกะพร้อมทั้งนายฉันนะผู้ยืนจับหางอยู่ โดดข้ามกำแพงสูง ๑๘ ศอกไป.
               ฝ่ายนายฉันนะก็คิดว่า ถ้าประตูไม่เปิด เราจักให้พระลูกเจ้าผู้เป็นนายของตนประทับนั่งบนคอ เอาแขนขวาโอบรอบท้องม้ากัณฐกะกระทำให้อยู่ในระหว่างรักแร้ โดดข้ามกำแพงออกไป.
               ฝ่ายม้ากัณฐกะก็คิดว่า ถ้าประตูไม่เปิด เราจักยกนายของตนทั้งที่นั่งอยู่บนหลัง พร้อมทั้งนายฉันนะผู้ยืนจับหางอยู่ โดดข้ามกำแพงออกไป. ถ้าประตูไม่เปิด ชนทั้งสามนั้นคนใดคนหนึ่งพึงทำให้สำเร็จตามที่คิดไว้ได้แน่ แต่เทวดาผู้สิงอยู่ที่ประตูเปิดประตูให้.
               ในขณะนั้นนั่นเอง มารผู้มีบาปคิดว่าจักให้พระโพธิสัตว์กลับ จึงมายืนอยู่ในอากาศแล้วทูลว่า ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านอย่าออกเลย ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ไป จักรรัตนะจักปรากฏแก่ท่าน ท่านจักครอบครองราชสมบัติในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร จงกลับเถิด ท่านผู้นิรทุกข์.
               พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร? มารตอบว่า เราเป็นวสวัตดีมาร.
               พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนมาร เรารู้ว่าจักรรัตนะจะปรากฏแก่เรา เราไม่มีความต้องการราชสมบัติ เราจักเป็นพระพุทธเจ้า ทำหมื่นโลกธาตุให้บันลือ.
               มารกล่าวว่า จำเดิมแต่บัดนี้ไป ในเวลาที่ท่านคิดถึงกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตกก็ตาม เราจักรู้ ดังนี้ คอยหาช่องติดตามไปเหมือนเงาฉะนั้น.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ไม่ทรงห่วงใยละทิ้งจักรพรรดิราชสมบัติอันอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ ประหนึ่งทิ้งก้อนเขฬะ เสด็จออกจากพระนครด้วยสักการะยิ่งใหญ่ ก็ในวันเพ็ญเดือน ๘ เมื่อนักขัตฤกษ์ในเดือน ๘ หลังกำลังดำเนินไปอยู่ พระโพธิสัตว์เสด็จออกไปแล้ว มีพระประสงค์จะแลดูพระนครอีกครั้ง ก็แหละเมื่อพระโพธิสัตว์นั้นมีความคิดพอเกิดขึ้นอย่างนี้เท่านั้น มหาปฐพีเหมือนจะกราบทูลว่า ข้าแต่มหาบุรุษ พระองค์ไม่ต้องหันกลับมาทำการทอดพระเนตรดอก ได้แยกขาดออกหมุนกลับให้ ประดุจวงล้อของนายช่างหม้อ.
               พระโพธิสัตว์ประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปทางพระนคร ทอดพระเนตรดูพระนครแล้วทรงแสดงเจดีย์สถานที่กลับม้ากัณฐกะ ณ ปฐพีประเทศนั้น แล้วทรงกระทำม้ากัณฐกะให้บ่ายหน้าไปในทางที่จะเสด็จ ได้เสด็จไปแล้วด้วยสักการะอันยิ่งใหญ่ ด้วยความงามสง่าอันโอฬาร.
               ได้ยินว่า ในครั้งนั้น เทวดาทั้งหลายชูคบเพลิงไปข้างหน้าพระโพธิสัตว์นั้นหกหมื่นดวง ข้างหลังหกหมื่นดวง ข้างขวาหกหมื่นดวงและข้างซ้ายหกหมื่นดวง. เทวดาอีกพวกหนึ่งชูคบเพลิงหาประมาณมิได้ที่ขอบปากจักรวาล. เทวดากับนาคและครุฑเป็นต้นอีกพวกหนึ่ง เดินบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ จุณและธูปอันเป็นทิพย์. ท้องฟ้านภาดลได้เนืองแน่นไปด้วยดอกปาริฉัตรและดอกมณฑารพ เหมือนเนืองแน่นด้วยสายธารน้ำ ในเวลามีเมฆฝนอันหนาทึบ. ทิพยสังคีตทั้งหลายได้บรรเลงแล้ว ดนตรีหกล้านแปดแสนชนิดได้บรรเลงโดยรอบๆ คือด้านหน้าแปดแสน ด้านข้างและด้านหลังด้านละสองล้าน เสียงดนตรีเหล่านั้นย่อมเป็นไป เหมือนเวลาที่เมฆคำรามในท้องมหาสมุทร และเหมือนเวลาที่สาครมีเสียงกึกก้องในท้องภูเขายุคลธร.
               พระโพธิสัตว์เสด็จไปด้วยสิริโสภาคย์นี้ ล่วงเลยราชอาณาจักรทั้ง ๓ โดยราตรีเดียวเท่านั้น บรรลุถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที ในที่สุด ๓๐ โยชน์.
               ถามว่า ก็สามารถไปเกินกว่านั้นได้หรือไม่?
               ตอบว่า ไม่สามารถ หามิได้ เพราะม้านั้นเที่ยวไปทางชายๆ ขอบห้องจักรวาลหนึ่ง เหมือนเหยียบขอบกงของวงล้อที่อยู่ในดุม สามารถจะกลับมาก่อนอาหารเช้าตรู่ แล้วบริโภคอาหารที่เขาจัดไว้สำหรับตน.
               ก็ในกาลนั้น ม้าต้องดึงร่างที่ทับถมด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นที่เทวดา นาคและครุฑเป็นต้นยืนโปรยอยู่ในอากาศจนกระทั่งอุรุประเทศขาอ่อน แล้วตะลุยชัฏแห่งของหอมและดอกไม้ไป จึงได้มีความล่าช้ามาก เพราะฉะนั้นจึงไปได้เพียง ๓๐ โยชน์เท่านั้น.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำตรัสถามนายฉันนะว่า แม่น้ำนี้ชื่ออะไร? นายฉันนะทูลว่า ชื่ออโนมานที พระเจ้าข้า. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า การบรรพชาของเราจักไม่ทราม จึงเอาส้นพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณม้า และม้าก็ได้กระโดดไปยืนอยู่ที่ฝั่งโน้นของแม่น้ำอันกว้าง ๘ อุสภะ.
               พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนบนเนินทรายอันเป็นเสมือนแผ่นเงิน แล้วตรัสเรียกนายฉันนะมาตรัสว่า นี่แน่ะฉันนะผู้สหาย เธอจงพาเอาอาภรณ์และม้ากัณฐกะของฉันไป ฉันจักบวช. นายฉันนะทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ แม้ข้าพระองค์ก็จักบวช. พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง ๓ ครั้งว่า เธอยังบวชไม่ได้ เธอจะต้องไป จึงทรงมอบอาภรณ์และม้าให้แล้ว ทรงดำริว่า ผมทั้งหลายของเรานี้ไม่สมควรแก่สมณะ ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่มี.
               ลำดับนั้น จึงทรงดำริว่า เราจักเอาพระขรรค์ตัดด้วยตนเองทีเดียว จึงเอาพระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์ เอาพระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา (จุก) พร้อมกับพระเมาลี (มวยผม) แล้วจึงตัด. พระเกสาเหลือประมาณ ๒ องคุลี เวียนขวาแนบติดพระเศียร. พระเกสาเหล่านั้นได้มีอยู่ประมาณนั้นเท่านั้นจนตลอดพระชนม์ชีพ. และพระมัสสุก็ได้มีพอเหมาะกับพระเกสานั้น.
               ชื่อว่ากิจในการปลงพระเกสาและพระมัสสุ ไม่มีอีกต่อไป.
               พระโพธิสัตว์ถือพระจุฬากับพระเมาลีแล้วทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระสัมพุทธเจ้า จงตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าจักไม่ได้เป็น จงตกลงบนแผ่นดิน แล้วทรงโยนขึ้นไปในอากาศ พระจุฬานั้นลอยขึ้นไปถึงที่มีประมาณโยชน์หนึ่ง แล้วได้ตั้งอยู่ในอากาศ.
               ท้าวสักกะเทวราชทรงตรวจดูด้วยทิพยจักษุ แล้วทรงเอาผอบแก้วมีประมาณโยชน์หนึ่งรับไว้ ให้ประดิษฐานไว้ในเจดีย์ชื่อว่าจุฬามณีเจดีย์ ในดาวดึงส์พิภพ.
               พระศากยะผู้ประเสริฐ ได้ตัดพระเมาลีอันอบด้วยกลิ่นหอมอันประเสริฐ แล้วโยนขึ้นไปยังเวหาส ท้าววาสวะผู้มีพระเนตรตั้งพัน เอาผอบแก้วอันประเสริฐทูนพระเศียรรับไว้แล.
               พระโพธิสัตว์ทรงดำริสืบไปว่า ผ้ากาสิกพัสตร์เหล่านี้ไม่สมควรแก่สมณะสำหรับเรา.
               ครั้งนั้น ฆฏิการมหาพรหม ผู้เป็นสหายเก่าของพระโพธิสัตว์ ในครั้ง พระกัสสปพุทธเจ้า มีความเป็นมิตรยังไม่เสื่อมคลายตลอดพุทธันดรหนึ่ง คิดว่า วันนี้ สหายเราออกมหาภิเนษกรมณ์ เราจักถือเอาสมณบริขารของสหายเรานั้นไป จึงนำเอา บริขาร ๘ เหล่านี้มาถวาย บริขารเหล่านี้ คือ ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม รัดประคด เป็น ๘ กับผ้ากรองน้ำ ย่อมสมควรแก่ภิกษุผู้ประกอบความเพียร.
               พระโพธิสัตว์นุ่งห่มธงชัยของพระอรหันต์ ทรงถือเพศบรรพชิตอันอุดม แล้วตรัสว่า ฉันนะ เธอจงกราบทูลถึงความสบายไม่ป่วยไข้แก่พระชนกและพระชนนีตามคำของเรา ดังนี้แล้วทรงส่งไป.
               นายฉันนะถวายบังคมพระโพธิสัตว์ กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป.
               ส่วนม้ากัณฐกะได้ยินพระดำรัสของพระโพธิสัตว์ผู้ตรัสอยู่กับนายฉันนะ คิดว่า บัดนี้เราจะไม่ได้เห็นนายของเราอีกต่อไป เมื่อละคลองจักษุไป ไม่อาจอดกลั้นความโศกไว้ได้ มีหทัยแตกตายไป บังเกิดเป็น เทพบุตรชื่อกัณฐกะ ในภพดาวดึงส์.
               ครั้งแรก นายฉันนะได้มีความโศกเพียงอย่างเดียว แต่เพราะม้ากัณฐกะตายไปถูกความโศกครั้งที่สองบีบคั้น จึงได้ร้องไห้ร่ำไรไปยังพระนคร.
               พระโพธิสัตว์ครั้นบวชแล้วทรงยับยั้งอยู่ในอนุปิยอัมพวันซึ่งมีอยู่ในประเทศนั้น ๗ วัน ด้วยความสุขอันเกิดจากบรรพชา แล้วเสด็จดำเนินด้วยพระบาทสิ้นหนทาง ๓๐ โยชน์โดยวันเดียวเท่านั้น ได้เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์. ก็ครั้นเสด็จเข้าไปแล้ว ก็เสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก.
               พระนครทั้งสิ้นได้ถึงความตื่นเต้น เพราะได้เห็นพระรูปโฉมของพระโพธิสัตว์เท่านั้น เหมือนกรุงราชคฤห์ตื่นเต้นในเมื่อช้างธนปาลกะเข้าไป และเหมือนเทพนครตื่นเต้นในเมื่ออสุรินทราหูเข้าไป.
               ราชบุรุษทั้งหลายไปกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ บุคคลชื่อเห็นปานนี้เที่ยวบิณฑบาตในพระนคร ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบเกล้าว่า ผู้นี้ชื่อไร จะเป็นเทพหรือมนุษย์ นาคหรือครุฑ.
               พระราชาประทับยืนที่พื้นปราสาท ได้ทรงเห็นพระมหาบุรุษ อัศจรรย์พระหฤทัยไม่เคยเป็น ทรงสั่งพวกราชบุรุษว่า นี่แน่ะพนาย พวกท่านจงไปพิจารณาดู ถ้าจักไม่ใช่มนุษย์ เขาจักออกจากพระนครหายไป ถ้าจักเป็นเทวดา เขาจักไปทางอากาศ ถ้าจักเป็นนาค เขาจักดำดินไป ถ้าจักเป็นมนุษย์เขาจักบริโภคภิกษาหารตามที่ได้.
               ฝ่ายพระมหาบุรุษรวบรวมภัตอันสำรวมกัน รู้ว่าภัตมีประมาณเท่านี้ เพียงพอแก่เรา เพื่อที่จะยังอัตภาพให้เป็นไป จึงเสด็จออกจาก พระนครทางประตูที่เสด็จเข้ามานั้นแหละ บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ประทับนั่งใต้ร่มเงาแห่งภูเขาปัณฑวะ เริ่มเสวยพระกระยาหาร.
               ลำดับนั้น พระอันตะใส้ใหญ่ของพระมหาบุรุษนั้นได้ถึงอาการจะกลับออกทางพระโอษฐ์.
               ลำดับนั้น พระองค์แม้จะทรงอึดอัดด้วยอาหารอันปฏิกูลนั้น เพราะด้วยทั้งพระอัตภาพนั้นไม่ทรงเคยเห็นอาหารนั้นแม้ด้วยพระจักษุ จึงทรงโอวาทตนด้วยพระองค์เองอย่างนี้ว่า ดูก่อนสิทธัตถะ เธอแม้เกิดในสถานที่ที่บริโภคโภชนะแห่งข้าวสาลีหอมเก็บไว้ ๓ ปี มีรสเลิศต่างๆ ในตระกูลที่หาข้าวและน้ำได้ง่าย ได้เห็นท่านผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรรูปหนึ่งจึงคิดว่า เมื่อไรหนอ แม้เราก็จะเป็นผู้เห็นปานนี้ เที่ยวบิณฑบาตบริโภค กาลนั้นจักมีแก่เราไหมหนอ ดังนี้จึงออกบวช บัดนี้ เธอจะกระทำข้อที่คิดไว้นั่นอย่างไร ครั้นทรงโอวาทพระองค์อย่างนี้แล้วไม่มีพระอาการอันผิดแผกเสวยพระกระยาหาร.
               ราชบุรุษทั้งหลายเห็นเหตุนั้นแล้ว จึงไปกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรงสดับคำของทูตแล้ว จึงรีบเสด็จออกจากพระนคร เสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ ทรงเลื่อมใสเฉพาะในพระอิริยาบถ จึงทรงยกความเป็นใหญ่ทั้งปวงให้แก่พระโพธิสัตว์.
               พระโพธิสัตว์ตรัสว่า มหาบพิตร อาตมภาพไม่มีความต้องการด้วยวัตถุกามหรือกิเลสกาม อาตมภาพปรารถนาพระอภิสัมโพธิญาณอันยอดยิ่ง จึงออกบวช.
               พระราชาแม้จะทรงอ้อนวอนเป็นอเนกประการ ก็ไม่ทรงได้น้ำพระทัยของพระโพธิสัตว์ จึงถือเอาปฏิญญาว่า พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่แล้ว ก็พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พึงเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อน.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงให้ปฏิญญาแก่พระราชาแล้ว เสด็จเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ เสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสรามบุตร ทำสมาบัติให้เกิดแล้วคิดว่า นี้ไม่ใช่ทางเพื่อการตรัสรู้ จึงยังไม่พอพระทัยสมาบัติภาวนาแม้นั้น เพื่อจะทรงแสดงเรี่ยวแรงและความเพียรของพระองค์แก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก จึงมีพระประสงค์จะเริ่มตั้งความเพียรใหญ่ จึงเสด็จไปยังอุรุเวลาประเทศ ทรงพระดำริว่า ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริงหนอ จึงเสด็จเข้าอยู่ในอุรุเวลาประเทศนั้น เริ่มตั้งมหาปธาน ความเพียรใหญ่.
               พระปัญจวัคคีย์มี พระโกณฑัญญะ เป็นประธานแม้เหล่านั้น เที่ยวไปเพื่อภิกษาหารในคามนิคมและราชธานีทั้งหลาย ได้ไปประจวบกับพระโพธิสัตว์ ณ ตำบลอุรุเวลาประเทศนั้น. ลำดับนั้น พระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นได้อยู่ในสำนักคอยดูอุปัฏฐากพระโพธิสัตว์ผู้เริ่มตั้งมหาปธานความเพียรตลอด ๖ พรรษา ด้วยวัตรปฏิบัติมีการกวาดบริเวณเป็นต้น ด้วยหวังใจว่า เดี๋ยวจักได้เป็นพระพุทธเจ้า เดี๋ยวจักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ดำริว่า เราจักทำทุกรกิริยาให้ถึงที่สุด จึงทรงยับยั้งอยู่ด้วยข้าวสารเมล็ดงาหนึ่งเป็นต้น ได้ทรงกระทำการตัดอาหารแม้โดยประการทั้งปวง.
               ฝ่ายเทวดาทั้งหลายก็นำเอาโอชะทั้งหลายเข้าไปแทรกทางขุมขน.
               ลำดับนั้น พระวรกายของพระโพธิสัตว์นั้นแม้จะมีวรรณะดังสีทอง ก็ได้มีวรรณะดำคล้ำไป เพราะไม่มีพระกระยาหารและเพราะได้รับความกะปลกกะเปลี้ยอย่างยิ่ง พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ก็มิได้ปรากฏออกมา. บางคราวเมื่อทรงเพ่งอานาปานกฌานคือลมหายใจเข้าออก ถูกเวทนาใหญ่ครอบงำ ถึงกับสลบล้มลงในที่สุดที่จงกรม.
               ลำดับนั้น เทวดาบางพวกกล่าวถึงพระโพธิสัตว์นั้นว่า พระสมณโคดมทำกาลกิริยาแล้ว. เทวดาบางพวกกล่าวว่า นี้เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพระอรหันต์เท่านั้น.
               บรรดาเทวดาเหล่านั้น เทวดาผู้มีความสำคัญว่า พระสมณโคดมทำกาลกิริยาแล้ว ได้ไปกราบทูลแก่พระเจ้าสุทโธทนมหาราชว่า พระราชโอรสของพระองค์สวรรคตแล้ว. พระเจ้าสุทโธทนมหาราชตรัสว่า บุตรของเรายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า จะยังไม่ตาย. เทวดาเหล่านั้นกราบทูลว่า พระโอรสของพระองค์ไม่อาจเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงล้มที่พื้นบำเพ็ญเพียรอยู่สวรรคตแล้ว. พระราชาได้ทรงสดับดังนี้ จึงตรัสห้ามว่า เราไม่เชื่อ บุตรของเรายังไม่บรรลุพระโพธิญาณ จะไม่ทำกาลกิริยา.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระราชาจึงไม่ทรงเชื่อ?
               ตอบว่า เพราะได้ทรงเห็นปาฏิหาริย์ในวันที่ให้ไหว้พระกาลเทวิลดาบส และที่โคนต้นหว้า.
               เมื่อพระโพธิสัตว์กลับได้สัญญาเสด็จลุกขึ้น เทวดาเหล่านั้นได้ไปกราบทูลแก่พระราชาอีกว่า ข้าแต่มหาราช โอรสของพระองค์ไม่มีพระโรคแล้ว.
               พระราชาตรัสว่า เรารู้ว่าบุตรของเราไม่ตาย.
               เมื่อพระมหาสัตว์ทรงทำทุกรกิริยาอยู่ ๖ พรรษา กาลเวลาได้เป็นเหมือนขอดปมไว้ในอากาศ. พระมหาสัตว์นั้นทรงดำริว่า ชื่อว่าการทำทุกรกิริยานี้ ย่อมไม่เป็นทางเพื่อที่จะตรัสรู้ จึงเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในคามและนิคม เพื่อจะนำอาหารหยาบมาแล้วเสวยพระกระยาหาร.
               ครั้งนั้น มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของพระมหาสัตว์ก็ได้กลับเป็นปกติ แม้พระกายก็มีวรรณดุจทองคำ.
               ภิกษุปัญจวัคคีย์พากันคิดว่า พระมหาบุรุษนี้แม้ทรงทำทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ บัดนี้เที่ยวบิณฑบาตในคามนิคมเป็นต้น นำอาหารหยาบมา จักอาจตรัสรู้ได้อย่างไร พระมหาบุรุษนี้คลายความเพียร เวียนมาเป็นคนมักมากเสียแล้ว การที่พวกเราคิดคาดคะเนเอาคุณวิเศษจากสำนักของพระมหาบุรุษนี้ เหมือนคนผู้ประสงค์จะสนานศีรษะคิดคะเนเอาหยาดน้ำค้างฉะนั้น พวกเราจะประโยชน์อะไรด้วยพระมหาบุรุษนี้ จึงพากันละพระมหาบุรุษ ถือบาตรและจีวรของตนๆ เดินทางไป ๑๘ โยชน์เข้าไปยังป่าอิสิปตนะ.

               ก็สมัยนั้นแล ทาริกาชื่อว่าสุชาดา ผู้เกิดในเรือนของเสนานิกุฎุมพี ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เจริญวัยแล้วได้กระทำความปรารถนาที่ต้นไทรต้นหนึ่งว่า ถ้าข้าพเจ้าไปยังเรือนสกุลที่มีชาติเสมอกัน ได้บุตรชายในครรภ์แรกไซร้ ข้าพเจ้าจักทำพลีกรรมโดยบริจาคทรัพย์แสนหนึ่งแก่ท่านทุกปีๆ.
               ความปรารถนานั้นของนางสำเร็จแล้ว นางมีความประสงค์จะทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖ เมื่อครบปีที่ ๖ แห่งพระมหาสัตว์ผู้ทรงทำทุกรกิริยามา และก่อนหน้านั้นแหละ ได้ปล่อยแม่โคนมพันตัวให้เที่ยวไปในป่าชะเอม ให้แม่โคนม ๕๐๐ ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม ๑,๐๐๐ ตัวนั้น แล้วให้แม่โคนม ๒๕๐ ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม ๕๐๐ ตัวนั้น รวมความว่า นางต้องการความข้นความหวานและความมีโอชะของน้ำนม จึงได้กระทำการหมุนเวียนไป จนกระทั่งแม่โคนม ๘ ตัวดื่มน้ำนมของแม่โคนม ๑๖ ตัว ด้วยประการฉะนี้.
               ในวันเพ็ญเดือน ๖ นางคิดว่าจักทำพลีกรรมตั้งแต่เช้าตรู่ จึงลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งของราตรี แล้วให้รีดนมแม่โคนม ๘ ตัวนั้น ลูกโคทั้งหลายยังไม่ทันมาใกล้เต้านมของแม่โคนม แต่เมื่อพอนำภาชนะใหม่เข้าไปที่ใกล้เต้านม ธารน้ำนมก็ไหลออกโดยธรรมดาของตน. นางสุชาดาเห็นความอัศจรรย์ดังนั้น จึงตักน้ำนมด้วยมือของตนเองใส่ลงในภาชนะใหม่ แล้วรีบก่อไฟด้วยมือของตนเอง.
               เมื่อนางกำลังหุงข้าวปายาสนั้นอยู่ ฟองใหญ่ๆ ผุดขึ้นไหลวนเป็นทักษิณาวัฏ น้ำนมแม้จะแตกออกสักหยาดเดียว ก็ไม่กระเด็นออกไปข้างนอก ควันไฟแม้มีประมาณน้อยก็ไม่ตั้งขึ้นจากเตาไฟ.
               สมัยนั้น ท้าวจตุโลกบาลมาถือการอารักขาที่เตาไฟ ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะทรงนำดุ้นฟืนมาใส่ไฟให้ลุกโพลงอยู่ เทวดาทั้งหลายรวบรวมเอาโอชะที่สำเร็จแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารมาใส่ลงในข้าวปายาสนั้น ด้วยเทวานุภาพของตนๆ เสมือนคั้นรวงผึ้งซึ่งติดอยู่ที่ท่อนไม้ถือเอาแต่น้ำหวานฉะนั้น.
               จริงอยู่ ในเวลาอื่นๆ เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในทุกๆ คำข้าว แต่ในวันบรรลุพระสัมโพธิญาณและวันปรินิพพาน ใส่ลงในหม้อเลยทีเดียว.
               นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์มิใช่น้อยซึ่งปรากฏแก่ตน ณ ที่นั้น ในวันเดียวเท่านั้น จึงเรียกนางปุณณาทาสีมาพูดว่า นี่แน่ะแม่ปุณณา วันนี้เทวดาของพวกเราน่าเลื่อมใสยิ่งนัก เพราะว่าเราไม่เคยเห็นความอัศจรรย์เห็นปานนี้ ในเวลามีประมาณเท่านี้ เธอจงรีบไปปัดกวาดเทวสถานโดยเร็ว.
               นางปุณณาทาสีรับคำของนางแล้วรีบด่วนไปยังโคนไม้.
               ในตอนกลางคืนวันนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ได้ทรงเห็นมหาสุบิน ๕ ประการ เมื่อทรงใคร่ครวญดู จึงทรงกระทำสันนิษฐานว่า วันนี้ เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อราตรีนั้นล่วงไป จึงทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ ทรงคอยเวลาภิกขาจาร พอเช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ยังโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยพระรัศมีของพระองค์.
               ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมาได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โคนไม้ มองดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่. และต้นไม้ทั้งสิ้นมีวรรณดุจทองคำ เพราะพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระองค์. นางปุณณาทาสีนั้นได้เห็นแล้วจึงมีความคิดดังนี้ว่า วันนี้ เทวดาของเราเห็นจะลงจากต้นไม้มานั่งเพื่อคอยรับพลีกรรมด้วยมือของตนเอง จึงเป็นผู้มีความตื่นเต้น รีบมาบอกเนื้อความนั้นแก่นางสุชาดา.
               นางสุชาดาได้ฟังคำของนางปุณณาทาสีนั้นแล้วมีใจยินดีพูดว่า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงตั้งอยู่ในฐานะเป็นธิดาคนโตของเรา แล้วได้ให้เครื่องอลังการทั้งปวงอันสมควรแก่ธิดา.
               ก็เพราะเหตุที่ในวันจะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า ควรจะได้ถาดทองใบหนึ่งซึ่งมีราคาหนึ่งแสน ฉะนั้น นางสุชาดานั้นจึงทำความคิดให้เกิดขึ้นว่าเราจักใส่ข้าวปายาสในถาดทอง นางมีความประสงค์จะให้นำถาดทองราคาหนึ่งแสนมาเพื่อใส่ข้าวปายาสในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่สุกแล้ว ข้าวปายาสทั้งหมดได้กลิ้งมาตั้งอยู่เฉพาะในถาด เหมือนน้ำกลิ้งมาจากใบปทุมฉะนั้น ข้าวปายาสนั้นได้มีปริมาณเต็มถาดหนึ่งพอดี นางจึงเอาถาดใบอื่นครอบถาดใบนั้นแล้วเอาผ้าขาวพันห่อไว้ ส่วนตนประดับประดาร่างกายด้วยเครื่องประดับทุกอย่างเสร็จแล้ว ทูนถาดนั้นบนศีรษะของตนไปยังโคนต้นไทรด้วยอานุภาพใหญ่ เห็นพระโพธิสัตว์แล้วเกิดความโสมนัสเป็นกำลัง สำคัญว่าเป็นรุกขเทวดา จึงโน้มตัวเดินไปตั้งแต่ที่ที่ได้เห็น ปลงถาดลงจากศีรษะแล้วเปิด (ผ้าคลุม) ออก เอาสุวรรณภิงคาร คนโทน้ำทองคำ ตักน้ำที่อบด้วยดอกไม้หอมแล้วได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ยืนอยู่.
               บาตรดินที่ฆฏิการมหาพรหมถวายไม่ได้ห่างพระโพธิสัตว์มาตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ขณะนั้นได้หายไป พระโพธิสัตว์ไม่ทรงเห็นบาตร จึงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับน้ำ นางสุชาดาจึงวางข้าวปายาสพร้อมทั้งถาดลงบนพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษๆ ทรงแลดูนางสุชาดาๆ กำหนดพระอาการได้ทูลว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันบริจาคแก่ท่านแล้ว ท่านจงถือเอาถาดนั้นไปกระทำตามความชอบใจเถิด ถวายบังคมแล้วทูลว่า มโนรถของดิฉันสำเร็จแล้วฉันใด แม้มโนรถของท่านก็จงสำเร็จฉันนั้น นางบริจาคถาดทองซึ่งมีราคาตั้งหนึ่งแสน เหมือนบริจาคใบไม้เก่าไม่เสียดายเลย แล้วหลีกไป.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับนั่ง ทรงทำประทักษิณต้นไม้ แล้วทรงถือถาดเสด็จไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในวันที่พระโพธิสัตว์หลายแสนพระองค์จะตรัสรู้ มีท่าเป็นที่เสด็จลงสรงสนานชื่อว่า สุปติฏฐิตะ จึงทรงวางถาดที่ฝั่งแห่งแม่น้ำเนรัญชรานั้น แล้วเสด็จลงสรงสนานที่ท่าชื่อว่าสุปติฏฐิตะ แล้วทรงนุ่งห่มธงชัยของพระอรหันต์อันเป็นเครื่องนุ่งห่มของพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ ประทับนั่งบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก เสวยข้าวมธุปายาสน้ำน้อยทั้งหมดที่ทรงกระทำให้เป็นปั้น ๔๙ ปั้น ปั้นหนึ่งมีประมาณเท่าจาวตาลสุก ข้าวมธุปายาสนั้นแลได้เป็นพระกระยาหารอยู่ได้ ๔๙ วัน สำหรับพระโพธิสัตว์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วประทับอยู่ที่โพธิมัณฑ์ตลอด ๗ สัปดาห์. ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ไม่มีพระกระยาหารอย่างอื่น ไม่มีการสรงสนาน ไม่มีการชำระพระโอษฐ์ ไม่มีการถ่ายพระบังคนหนัก ทรงยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในฌานและความสุขในผลสมาบัติ.
               ก็ครั้นเสวยข้าวมธุปายาสนั้นแล้วทรงถือถาดทองตรัสว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ ถาดนี้จงทวนกระแสน้ำไป ถ้าจักไม่ได้เป็นจงลอยไปตามกระแสน้ำ ครั้นตรัสแล้วทรงลอยไปในกระแสแม่น้ำ.
               ถาดนั้นตัดกระแสน้ำไปถึงกลางแม่น้ำ ตรงสถานที่กลางแม่น้ำนั่นแหละ ได้ทวนกระแสน้ำไปสิ้นที่ประมาณ ๘๐ ศอก เสมือนม้าตัวที่สมบูรณ์ด้วยความเร็วฉะนั้น แล้วจมลง ณ ที่น้ำวนแห่งหนึ่งไปถึงภพของพญากาฬนาคราช กระทบถาดเครื่องใช้สอยของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ ส่งเสียงดังกริ๊กๆ แล้วได้รองอยู่ใต้ถาดเหล่านั้น.
               พญากาฬนาคราชได้ยินเสียงนั้นแล้วจึงกล่าวว่า เมื่อวาน พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นองค์หนึ่ง วันนี้บังเกิดขึ้นอีกหนึ่งองค์ แล้วลุกขึ้นกล่าวสรรเสริญด้วยบทหลายร้อยบท. ได้ยินว่า เวลาที่แผ่นดินใหญ่งอกขึ้นเต็มท้องฟ้าประมาณ ๑ โยชน์ ๓ คาวุตได้เป็นเสมือนวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ สำหรับพญากาฬนาคราชนั้น.
              ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ทรงพักผ่อนกลางวันอยู่ในสาลวันอันมีดอกบานสะพรั่ง ณ ริมฝั่งแม่น้ำ ครั้นเวลาเย็น ในเวลาดอกไม้ทั้งหลายหล่นจากขั้ว จึงเสด็จบ่ายพระพักตร์ไปทางต้นโพธิ์ ตามหนทางกว้าง ๘ อุสภะที่เทวดาทั้งหลายประดับประดาไว้ เหมือนราชสีห์เยื้องกรายฉะนั้น.
               พวกนาค ยักษ์และครุฑเป็นต้น บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นอันเป็นทิพย์ บรรเลงสังคีตทิพย์เป็นต้น หมื่นโลกธาตุได้มีกลิ่นหอมเป็นอันเดียวกัน มีดอกไม้เป็นอันเดียวกัน และมีเสียงสาธุการเป็นอย่างเดียวกัน.
               สมัยนั้น คนหาบหญ้าชื่อ โสตถิยะ หาบหญ้าเดินสวนทางมา รู้อาการของพระมหาบุรุษ จึงได้ถวายหญ้า ๘ กำมือ.
               พระโพธิสัตว์ทรงถือหญ้าเสด็จขึ้นยังโพธิมัณฑ์ ประทับยืนอยู่ ณ ด้านทิศใต้ บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ขณะนั้น จักรวาลด้านทิศใต้ได้จมลงเป็นเสมือนจรดถึงอเวจีเบื้องล่าง จักรวาลด้านทิศเหนือได้ลอยขึ้นเสมือนจรดถึงภวัคคพรหมเบื้องบน. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า สถานที่นี้เห็นจักไม่เป็นสถานที่ที่จะให้บรรลุพระสัมโพธิญาณ จึงทรงทำประทักษิณ แล้วเสด็จไปยังด้านทิศตะวันตก ประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปยังทิศตะวันออก. ลำดับนั้น จักรวาลด้านตะวันตกจมลงเป็นเสมือนจรดถึงอเวจีเบื้องล่าง จักรวาลด้านตะวันออกได้ลอยขึ้นเป็นเสมือนจรดถึงภวัคคพรหมเบื้องบน.
               ได้ยินว่า ในที่ที่พระโพธิสัตว์นั้นประทับยืนแล้วๆ มหาปฐพีได้ยุบลงและนูนขึ้นเหมือนวงล้อของเกวียนใหญ่ซึ่งสอดใส่อยู่ในดุม ถูกเหยียบที่ชายขอบของกงฉะนั้น.
               พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า แม้สถานที่นี้ก็เห็นจักไม่เป็นสถานที่ให้บรรลุพระสัมโพธิญาณ จึงทรงทำประทักษิณ แล้วเสด็จไปยังด้านทิศเหนือ ประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศใต้. ลำดับนั้น จักรวาลด้านทิศเหนือได้ทรุดลงเป็นประหนึ่งจรดถึงอเวจีเบื้องล่าง จักรวาลด้านทิศใต้ได้ลอยขึ้นเป็นเสมือนจรดถึงภวัคคพรหมเบื้องบน. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า แม้สถานที่นี้ก็เห็นจักไม่เป็นสถานที่ให้บรรลุพระสัมโพธิญาณ จึงทรง กระทำประทักษิณ. เสด็จไปยังด้านทิศตะวันออกประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปด้านทิศตะวันตก.
               ก็ในด้านทิศตะวันออกได้มีสถานที่ตั้งบัลลังก์ของพระพุทธเจ้าทั้งปวง สถานที่นั้นจึงไม่หวั่นไหวไม่สั่นสะเทือน. พระโพธิสัตว์ทรงทราบว่า สถานที่นี้อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงไม่ทรงละ เป็นสถานที่ไม่หวั่นไหว เป็นสถานที่กำจัดกรงคือกิเลส จึงทรงจับปลายหญ้าเหล่านั้นเขย่า. ทันใดนั้นเอง ได้มีบัลลังก์สูง ๑๔ ศอก หญ้าแม้เหล่านั้นก็ตั้งอยู่โดยสัณฐาน เห็นปานที่ช่างเขียนหรือช่างโบกฉาบผู้ฉลาดยิ่งก็ไม่สามารถจะเขียนหรือโบกฉาบได้.
               พระโพธิสัตว์ทรงกระทำลำต้นโพธิ์ไว้เบื้องปฤษฎางค์ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงมีพระมนัสมั่นคง ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ ซึ่งแม้ฟ้าจะผ่าลงมาถึงร้อยครั้งก็ไม่แตกทำลาย โดยทรงอธิษฐานว่า
              เนื้อและเลือดในสรีระจะแห้งเหือดไปหมดสิ้น จะเหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้.
               สมัยนั้น มารผู้มีบาปคิดว่า สิทธัตถกุมารต้องการจะล่วงพ้นอำนาจของเรา บัดนี้ เราจักไม่ให้สิทธัตถกุมารนั้นล่วงพ้นไปได้ จึงไปยังสำนักของพลมาร บอกเนื้อความนั้นแล้ว ให้ทำการประกาศชื่อมารโฆษณาแล้วพาพลมารออกไป. เสนามารนั้นได้มีอยู่ข้างหน้าของมาร ๑๒ โยชน์ ข้างขวาและข้างซ้ายข้างละ ๑๒ โยชน์ ข้างหลังตั้งอยู่จรดชายขอบเขตจักรวาลสูงขึ้นเบื้องบน ๙ โยชน์ ซึ่งเมื่อโห่ร้อง เสียงโห่ร้องจะได้ยินเหมือน เสียงแผ่นดินทรุดตั้งแต่พันโยชน์ไป.
               ครั้งนั้น เทวบุตรมารขี่ช้างคิริเมขล์ สูงร้อยห้าสิบโยชน์ นิรมิตแขนหนึ่งพันถืออาวุธนานาชนิด บริษัทมารแม้ที่เหลือตั้งแต่สองตนขึ้นไป จะเป็นเหมือนตนเดียวกันถืออาวุธอย่างเดียวกันหามีไม่ ต่างมีรูปร่างต่างๆ กัน มีหน้าคนละอย่างกัน ถืออาวุธต่างชนิดกัน พากันมาจู่โจมพระโพธิสัตว์.
               ส่วนเทวดาในหมื่นจักรวาลกำลังยืนกล่าวสดุดีพระมหาสัตว์อยู่. ท้าวสักกเทวราชยืนเป่าสังข์วิชยุตร ได้ยินว่าสังข์นั้นมีขนาดประมาณ ๑๒๐ ศอก เมื่อเป่าให้กินลมไว้คราวเดียว จะมีเสียงอยู่ตลอด ๔ เดือนไม่หมดเสียง พญามหากาฬนาคยืนพรรณนาพระคุณเท่านั้นเกินกว่าร้อยบท ท้าวมหาพรหมยืนกั้นเศวตฉัตร.
               ก็เมื่อพลมารเข้าไปใกล้โพธิมัณฑ์ บรรดาเทพเหล่านั้นแม้องค์หนึ่ง ก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ ต่างพากันหนีหน้าไปจากที่ที่อยู่ตรงหน้าๆ แม้พญากาฬนาคราชก็ดำดินไปมัญเชริกนาคพิภพซึ่งมีขนาด ๕๐๐ โยชน์ นอนเอามือทั้งสองปิดหน้า แม้ท้าวสักกเทวราชก็ลากสังข์วิชยุตรไปยืนที่ขอบปากจักรวาล. ท้าวมหาพรหมจับยอดเศวตฉัตรเสด็จไปยังพรหมโลกทันที. แม้เทวดาองค์หนึ่งชื่อว่าผู้สามารถยืนอยู่มิได้มีเลย แต่พระมหาบุรุษพระองค์เดียวเท่านั้นประทับอยู่.
               ฝ่ายมารกล่าวกะบริษัทของตนว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย ชื่อว่าบุรุษอื่นผู้จะเสมอเหมือนพระสิทธัตถะโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ย่อมไม่มี พวกเราจักไม่อาจทำการรบต่อหน้า พวกเราจักทำการรบทางด้านหลัง.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงมองทั้งสามด้านได้เห็นแต่ความว่างเปล่า เพราะเทวดาทั้งปวงพากันหนีไปหมด. พระองค์ทรงเห็นพลมารจู่โจมเข้ามาทางด้านเหนืออีก จึงทรงดำริว่าชนมีประมาณเท่านี้กระทำความพากเพียรใหญ่โต เพราะมุ่งหมายเอาเราผู้เดียว ในที่นี้เราไม่มีบิดามารดา พี่น้องหรือญาติไรๆ อื่น แต่บารมี ๑๐ นี้เท่านั้นเป็นเสมือนบริวารชนที่เราชุบเลี้ยงไว้ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น เราควรทำบารมีเท่านั้นให้เป็นยอดของหมู่พล เอาศาสตราคือบารมีนั่นแหละประหาร กำจัดหมู่พลนี้เสีย ดังนี้แล้ว จึงทรงนั่งรำพึงถึงบารมีทั้ง ๑๐ ประการ.
               ลำดับนั้น เทวบุตรมารคิดว่าจักบันดาลให้พระสิทธัตถกุมารหนีไปเฉพาะด้วยลม จึงบันดาลมณฑลของลมให้ตั้งขึ้น. ขณะนั้นเอง ลมทั้งหลายอันต่างด้วยลมด้านทิศตะวันออกเป็นต้นก็ตั้งขึ้นมา แม้สามารถจะทำลายยอดภูเขาซึ่งมีประมาณกึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์ สองโยชน์ สามโยชน์ กระทำป่า กอไม้และต้นไม้เป็นต้นให้มีรากขึ้นข้างบน แล้วทำคามนิคมรอบๆ ให้ละเอียดเป็นจุณวิจุณ แต่มีอานุภาพถูกเดชแห่งบุญของพระมหาบุรุษกำจัดเสียแล้ว พอมาถึงพระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถที่จะทำแม้มาตรว่าชายจีวรของพระโพธิสัตว์ให้ไหวได้.
               ลำดับนั้น เทวบุตรมารจึงคิดว่า จักเอาน้ำมาท่วมทำพระสิทธัตถะให้ตาย จึงบันดาลฝนห่าใหญ่ให้ตั้งขึ้น, ด้วยอานุภาพของเทวบุตรมารนั้น เมฆฝนอันมีร้อยหลืบพันหลืบเป็นต้นเป็นประเภทตั้งขึ้นซ้อนๆ กัน แล้วตกลงมา. ด้วยกำลังแห่งสายธารของน้ำฝน แผ่นดินได้เป็นช่องน้อยช่องใหญ่. มหาเมฆที่ลอยมาทางส่วนเบื้องบนของป่าและต้นไม้เป็นต้น ไม่อาจให้น้ำแม้เท่าก้อนหยาดน้ำค้างเปียกที่จีวรของพระมหาสัตว์.
               ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนหินให้ตั้งขึ้น ยอดภูเขายอดใหญ่ๆ คุกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นกลุ่มดอกไม้ทิพย์.
               ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนเครื่องประหารให้ตั้งขึ้น เครื่องประหารมีดาบ หอกและลูกศรเป็นต้น มีคมข้างเดียว มีคมสองข้าง คุเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์.
               ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนถ่านเพลิงให้ตั้งขึ้น ถ่านเพลิงทั้งหลายมีสีดังดอกทองกวาว ลอยมาทางอากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ โปรยปรายลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์.
               ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนเถ้ารึงให้ตั้งขึ้น เถ้ารึงมีสีดังไฟร้อนอย่างยิ่ง ลอยมาทางอากาศก็กลายเป็นจุณของจันทน์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์.
               ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนทรายให้ตั้งขึ้น ทรายทั้งหลายละเอียดยิบ คุเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ตกลงแทบบาทมูลของพระมหาสัตว์.
               ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนเปือกตมให้ตั้งขึ้น เปือกตมนั้นคุเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ ก็กลายเป็นเครื่องลูบไล้อันเป็นทิพย์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์.
               ลำดับนั้น เทวบุตรมารได้บันดาลความมืดให้ตั้งขึ้น ด้วยคิดว่าเราจักทำให้พระสิทธัตถะกลัวด้วยความมืดนี้แล้วหนีไป. ความมืดนั้นเป็นความมืดตื้อ เหมือนความมืดอันประกอบด้วยองค์ ๔ (คือแรม ๑๔ ค่ำ ป่าชัฏ เมฆทึบและเที่ยงคืน) พอถึงพระโพธิสัตว์ก็อันตรธานหายไป เหมือนความมืดที่ถูกกำจัดด้วยแสงสว่างของดวงอาทิตย์ฉะนั้น.
               มารนั้นเมื่อไม่สามารถทำให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยลม ฝน ห่าฝนหิน ห่าฝนเครื่องประหาร ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าฝนเถ้ารึง ห่าฝนทราย ห่าฝนเปือกตม และห่าฝนคือความมืด ทั้ง ๙ ประการนี้ด้วยประการอย่างนี้ได้ จึงสั่งบริษัทของตนว่า พนาย พวกท่านจะหยุดอยู่ทำไม จงจับพระสิทธัตถะกุมารนี้ จงฆ่า จงให้หนีไป แม้ตนเองก็นั่งอยู่บนคอช้างคิริเมขล์ ถือจักราวุธเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์แล้วกล่าวว่า สิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้ไม่ถึงแก่ท่าน บัลลังก์นี้ถึงแก่เรา.
               พระมหาสัตว์ได้ฟังคำของมารนั้นแล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ ไม่ได้บำเพ็ญอุปบารมี ๑๐ ไม่ได้บำเพ็ญปรมัตถบารมี ๑๐ มหาบริจาค ๕ ก็ไม่ได้บำเพ็ญ ท่านไม่ได้บำเพ็ญญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา พุทธัตถจริยา ทั้งหมดนั้น เราเท่านั้นบำเพ็ญมาแล้ว เพราะฉะนั้น บัลลังก์นี้จึงไม่ถึงแก่ท่าน บัลลังก์นี้ถึงแก่เราเท่านั้น.
               มารโกรธ อดกลั้นกำลังของความโกรธไว้ไม่ได้ จึงขว้างจักราวุธใส่พระมหาบุรุษ จักราวุธนั้น เมื่อพระมหาบุรุษรำพึงถึงบารมี ๑๐ ทัศอยู่นั่นแล ได้กลายเป็นเพดานดอกไม้ตั้งอยู่ ณ ส่วนเบื้องบน. ได้ยินว่า จักราวุธนั้นคมกล้านัก มารโกรธแล้วขว้างไปในที่อื่น จะตัดเสาหินอันเป็นแท่งเดียวทึบขาดไป เหมือนตัดหน่อไม้ไผ่. แต่บัดนี้ เมื่อจักราวุธ นั้นกลายเป็นเพดานดอกไม้ตั้งอยู่ บริษัทมารที่เหลือจึงพากันปล่อยยอดเขาหินใหญ่ ให้กลิ้งมาด้วยคิดว่า พระสิทธัตถะจักลุกจากบัลลังก์หนีไปในบัดนี้. ยอดเขาหินแม้เหล่านั้น เมื่อพระมหาบุรุษรำพึงถึงบารมี ๑๐ ทัศอยู่ก็กลายเป็นกลุ่มดอกไม้ตกลงบนภาคพื้น. เทวดาทั้งหลายที่อยู่ ณ ขอบปากจักรวาลก็ยืดคอเงยศีรษะขึ้นแลดูด้วยคิดว่า โอ! อัตภาพอันถึงความเลิศด้วยพระรูปโฉมของพระสิทธัตถกุมาร ฉิบหายเสียแล้วหนอ พระสิทธัตถกุมารนั้นจักทรงกระทำอย่างไรหนอ.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสว่า บัลลังก์ที่ถึงในวันนี้เป็นที่ตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ย่อมถึงแก่เรา จึงตรัสกะมารผู้ยืนอยู่ว่า ดูก่อนมาร ในภาวะที่ท่านได้ให้ทาน ใครเป็นสักขีพยาน.
               มารเหยียดมือไปตรงหน้าพลมารโดยพูดว่า คนเหล่านี้มีประมาณเท่านี้แลเป็นสักขีพยาน. ขณะนั้น เสียงของบริษัทมารได้ดังขึ้นว่า เราเป็นสักขีพยาน เราเป็นสักขีพยาน ได้เป็นเหมือนเสียงแผ่นดินทรุด.
               ลำดับนั้น มารกล่าวกะพระมหาบุรุษว่า สิทธัตถะ ในภาวะที่ท่านให้ทานไว้แล้ว ใครเป็นสักขีพยาน.
               พระมหาบุรุษตรัสว่า ในภาวะที่เราให้ทาน ตนผู้มีจิตใจเป็นพยานก่อน แต่ในที่นี้ เราไม่มีใครๆ ที่มีจิตใจเป็นสักขีพยานให้ได้ ทานที่เราให้ในอัตภาพอื่นๆ จงยกไว้ก่อน เอาแค่ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้วได้ให้สัตตสดกมหาทานก่อน ปฐพีอันหนาใหญ่นี้แม้จะไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานได้ จึงทรงนำออกเฉพาะพระหัตถ์เบื้องขวาจากภายในกลีบจีวร แล้วทรงชี้ไปตรงหน้ามหาปฐพี โดยตรัสว่า ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้วให้สัตตสดกมหาทาน ท่านเป็นสักขีพยานหรือไม่ได้เป็น. มหาปฐพีได้บันลือขึ้นเหมือนจะท่วมทับพลมาร ด้วยร้อยเสียง พันเสียง แสนเสียงว่า ในกาลนั้น เราเป็นสักขีพยานท่าน.
               แต่นั้น เมื่อพระมหาบุรุษทรงพิจารณาถึงทานที่ให้ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรอยู่ว่า สิทธัตถะ มหาทาน อุดมทาน ท่านได้ให้แล้ว ดังนี้ ช้างคิริเมขล์สูง ๑๕๐ โยชน์คุกเข่าลงบนแผ่นดิน บริษัทมารพากันหนีไปยังทิศานุทิศ มาร ๒ ตนชื่อว่าหนีไปทางเดียวกันย่อมไม่มี พากันทิ้งอาภรณ์ที่ศีรษะและผ้าที่นุ่งห่ม แล้วหนีไปทางทิศที่ตรงหน้าๆ นั่นเอง.
               แต่นั้น หมู่เทพได้เห็นพลมารหนีไป พวกเทวดาจึงประกาศแก่พวกเทวดา พวกนาคจึงประกาศแก่พวกนาค พวกครุฑจึงประกาศแก่พวกครุฑ พวกพรหมจึงประกาศแก่พวกพรหมว่า ความปราชัยเกิดแก่มารแล้ว ชัยชนะเกิดแก่สิทธัตถกุมารแล้ว พวกเราจักทำการบูชาชัยชนะ ดังนี้ ต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นมายังโพธิบัลลังก์อันเป็นสำนักของพระมหาบุรุษ.
               ก็เมื่อพลมารเหล่านั้นหนีไปอย่างนี้แล้ว
                ในกาลนั้น หมู่เทพมีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า พระพุทธเจ้าผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยแล้ว.
                ในกาลนั้น หมู่นาคมีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า พระพุทธเจ้าผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยแล้ว.
                ในกาลนั้น หมู่ครุฑมีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า พระพุทธเจ้าผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยแล้ว.
                ในกาลนั้น หมู่พรหมมีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า พระพุทธเจ้าผู้มีสิรินี้ ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยแล้ว ฉะนี้แล.
               เทวดาในหมื่นจักรวาลที่เหลือได้บูชาด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ กับได้กล่าวสดุดีนานัปการอยู่.
               เมื่อพระอาทิตย์ยังทอแสงอยู่อย่างนี้นั่นแล พระมหาบุรุษทรงกำจัดมารและพลมารได้ อันกาบใบมหาโพธิพฤกษ์ซึ่งตกลงเบื้องบนจีวร ประหนึ่งกลีบแก้วประพาฬแดงบูชาอยู่ ทรงระลึกบุพเพนิวาสญาณได้ในปฐมยาม ทรงชำระทิพยจักษุได้ในมัชฌิมยาม ทรงหยั่งพระญาณลงในปฏิจจสมุปบาทได้ในปัจฉิมยาม.
               ครั้งเมื่อพระมหาบุรุษนั้นทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยบท ๑๒ บท โดยอนุโลมและปฏิโลม ด้วยอำนาจวัฏฏะและวิวัฏฏะ หมื่นโลกธาตุได้ไหวถึง ๑๒ ครั้งจนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด.
               ก็เมื่อพระมหาบุรุษทรงยังหมื่นโลกธาตุให้บันลือแล้ว ทรงรู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณในเวลาอรุณขึ้น หมื่นโลกธาตุทั้งสิ้นก็ได้มีการตกแต่งประดับประดา แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่ขอบปากจักรวาลทิศตะวันออก กระทบขอบปากจักรวาลทิศตะวันตก.
               อนึ่ง แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่ขอบปากจักรวาลทิศตะวันตก กระทบขอบปากจักรวาลทิศตะวันออก. แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่ขอบปากจักรวาลทิศใต้กระทบขอบปากจักรวาลทิศเหนือ แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่ขอบปากจักรวาลทิศเหนือกระทบขอบปากจักรวาลทิศใต้. แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่พื้นแผ่นดิน ได้ตั้งจรดถึงพรหมโลก แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่พรหมโลก ก็ตั้งอยู่จรดถึงบนพื้นแผ่นดิน.
               ต้นไม้ดอกไม้ในหมื่นจักรวาลก็ออกดอก ต้นไม้ผลก็เต็มไปด้วยพวงผล. ปทุมชนิดลำต้นก็ออกดอกที่ลำต้น ปทุมชนิดกิ่งก็ออกดอกที่กิ่ง ปทุมชนิดเครือเถาออกดอกที่เครือเถา ปทุมชนิดที่ห้อยในอากาศก็ออกดอกในอากาศ ปทุมชนิดเป็นก้านก็ทำลายพื้นศิลาทึบเป็นดอกบัวตั้งขึ้นซ้อนๆ กัน. หมื่นโลกธาตุได้เกลื่อนกลาดด้วยดอกไม้ เหมือนกลุ่มดอกไม้ที่เขาวนๆ แล้วโยนไป และเหมือนเครื่องลาดดอกไม้ที่เขาลาดไว้อย่างดี.
               โลกันตริกนรกกว้าง ๘ พันโยชน์ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างแม้ด้วยแสงอาทิตย์ ๗ ดวง ในกาลนั้นได้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน. มหาสมุทรลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ได้กลายเป็นน้ำหวาน. แม่น้ำทั้งหลายไม่ไหล คนบอดแต่กำเนิดแลเห็นรูป คนหนวกแต่กำเนิดได้ยินเสียง. คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดก็เดินได้ เครื่องจองจำคือขื่อคาเป็นต้นก็ขาดตกไปเอง.
               พระมหาบุรุษอันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บูชาอยู่ด้วยสิริสมบัติหาประมาณมิได้ด้วยประการอย่างนี้ เมื่ออัจฉริยธรรมทั้งหลายมีประการมิใช่น้อยปรากฏแล้ว ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้ทรงละว่า
                เราเมื่อแสวงหานายช่างผู้กระทำเรือน เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อย การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์.
                 นี่แน่ะนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักไม่ได้กระทำเรือนอีกต่อไป ซี่โครงทั้งหมดของท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็กำจัดแล้ว จิตของเราถึงวิสังขารคือพระนิพพานแล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว ดังนี้.
               ฐานะมีประมาณเท่านี้ โดยเริ่มตั้งแต่พิภพดุสิตจนกระทั่งบรรลุพระสัพพัญญุตญาณที่โพธิมัณฑ์นี้ พึงทราบว่า ชื่อว่าอวิทูเรนิทาน ด้วยประการฉะนี้.

 

สันติเกนิทานกถา               

               ก็สันติเกนิทาน ท่านกล่าวว่า ย่อมได้เฉพาะในที่นั้นๆ อย่างนี้ว่า "สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันอันเป็นอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี" ดังนี้และว่า "ประทับอยู่ในกูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี" ดังนี้ ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น สันติเกนิทานแม้นั้นพึงทราบตั้งแต่ต้นอย่างนี้.
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่งบนชยบัลลังก์ ทรงเปล่งอุทานแล้วได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า เราแล่นไปถึงสี่อสงไขยแสนกัป ก็เพราะเหตุบัลลังก์นี้ เพราะเหตุบัลลังก์นี้แหละ เราได้ตัดศีรษะอันประดับแล้วที่คอให้ไปแล้วตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ เราควักนัยน์ตาที่หยอดดีแล้วและเชือดหทัยให้ไปแล้ว ให้บุตรเช่นกับชาลีกุมาร ให้ธิดาเช่นกับกัณหาชินากุมารีและให้ภริยาเช่นกับพระมัทรีเทวี เพื่อเป็นทาสของคนอื่นๆ บัลลังก์ของเรานี้เป็นบัลลังก์ชัย เป็นบัลลังก์มั่นคง เมื่อเรานั่งบนบัลลังก์นี้แล้วความดำริเต็มบริบูรณ์ เราจักไม่ออกจากบัลลังก์นี้ก่อน ดังนี้ พระองค์จึงประทับนั่งเข้าสมาบัติหลายแสนโกฏิ ณ บัลลังก์นั้นนั่นแหละตลอด ๗ วันซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขโดยบัลลังก์เดียวตลอดสัปดาห์.
               ครั้งนั้น เทวดาบางพวกเกิดความปริวิตกขึ้นว่า แม้วันนี้ พระสิทธัตถะก็ยังมีกิจที่จะต้องทำอยู่เป็นแน่ เพราะยังไม่ละความอาลัยในบัลลังก์ พระศาสดาทรงทราบความปริวิตกของเทวดาทั้งหลาย เพื่อจะทรงระงับความปริวิตกของเทวดาเหล่านั้น จึงทรงเหาะขึ้นสู่เวหาส ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์.
               จริงอยู่ ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำที่มหาโพธิมัณฑ์ก็ดี ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำในสมาคมพระญาติก็ดี ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำในสมาคมชาวปาตลีบุตรก็ดี ทั้งหมดได้เป็นเช่นกับ ยมกปาฏิหาริย์ ที่ทรงกระทำที่ควงไม้คัณฑามพพฤกษ์.
               พระศาสดาครั้นทรงระงับความวิตกของเทวดาทั้งหลายด้วยปาฏิหาริย์นี้อย่างนี้แล้ว จึงประทับยืนทางด้านทิศเหนือติดกับทิศตะวันออก เยื้องจากบัลลังก์ไปเล็กน้อย ทรงพระดำริว่า เราแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณที่บัลลังก์นี้หนอ จึงทรงลืมพระเนตรแลดูบัลลังก์และต้นโพธิ์ อันเป็นสถานที่บรรลุผลแห่งบารมีทั้งหลาย ที่ทรงบำเพ็ญมาสี่อสงไขยแสนกัป ทรงยับยั้งอยู่ตลอดสัปดาห์. สถานที่นั้นจึงชื่อว่า อนิมิสเจดีย์.
               ลำดับนั้น พระศาสดาทรงนิรมิตที่จงกรมในระหว่างบัลลังก์กับสถานที่ที่ประทับยืน ทรงจงกรมอยู่บนรัตนจงกรมอันยาวจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก ยับยั้งอยู่ตลอดสัปดาห์ สถานที่นั้นจึงชื่อว่า รัตนจงกรมเจดีย์.
               ก็ในสัปดาห์ที่ ๔ เทวดาทั้งหลายนิรมิตเรือนแก้วทางด้านทิศพายัพจากต้นโพธิ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งขัดสมาธิในเรือนแก้วนั้น ทรงพิจารณาพระอภิธรรมปิฎกและพระสมันตปัฏฐานอนันตนัยในพระอภิธรรมปิฏกนั่นโดยพิเศษ ทรงยับยั้งอยู่ตลอดสัปดาห์. ส่วนนักอภิธรรมทั้งหลายกล่าวว่า ที่ชื่อว่าเรือนแก้ว ไม่ใช่เรือนที่ทำด้วยแก้ว ๗ ประการ แต่สถานที่ที่ทรงพิจารณาปกรณ์ทั้ง ๗ เรียกว่าเรือนแก้ว. แต่เพราะเหตุที่ท่านประยุกต์เรื่องทั้งสองนั้นเข้าไว้ในที่นี้โดยปริยาย เพราะฉะนั้น ควรถือเอาทั้งสองเรื่องนั้นนั่นแหละ ก็จำเดิมแต่นั้นมา สถานที่นั้นจึงชื่อว่า รัตนฆรเจดีย์.
               พระศาสดาทรงยับยั้งอยู่ ๔ สัปดาห์เฉพาะบริเวณใกล้ต้นโพธิ์เท่านั้นด้วยประการอย่างนี้ ในสัปดาห์ที่ ๕ เสด็จจากควงไม้โพธิ์ไปยังไม้อชปาลนิโครธ ประทับนั่งพิจารณาพระธรรมและเสวยวิมุตติสุข ณ ต้นอชปาลนิโครธแม้นั้น.
               สมัยนั้น มารผู้มีบาปคิดว่า เราติดตามอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แม้จะเพ่งมองหาช่องอยู่ ก็ไม่ได้เห็นความพลั้งพลาดอะไรๆ ของสิทธัตถะนี้ บัดนี้ สิทธัตถะนี้ก้าวล่วงพ้นอำนาจของเราเสียแล้ว จึงถึงความโทมนัส นั่งอยู่ในหนทางใหญ่ เมื่อคิดถึงเหตุ ๑๖ ประการจึงขีดเส้น ๑๖ เส้นลงบนแผ่นดิน คือคิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญทานบารมีเหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้ ดังนี้ แล้วขีดลงไปเส้นหนึ่ง.
               อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญศีลบารมี ฯลฯ เนกขัมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้ ดังนี้แล้วขีดเส้น (ที่ ๒ ถึงเส้น) ที่ ๑๐.
               อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอดอินทริยปโรปริยัตติญาณอันไม่ทั่วไปแก่คนอื่น เหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่ได้เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้ ดังนี้แล้วขีดเส้นที่ ๑๑.
               อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอดอาสยานุสยญาณ ฯลฯ มหากรุณาสมาปัตติญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ อนาวรณญาณและสัพพัญญุตญาณอันไม่ทั่วไปแก่คนอื่น เหมือนดังสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้ ดังนี้แล้ว ขีดเส้นที่ ๑๒ ถึงเส้นที่ ๑๖. มารนั่งขีดเส้น ๑๖ เส้นอยู่ที่หนทางใหญ่ เพราะเหตุดังกล่าวมานี้ ด้วยประการฉะนี้.
               ก็สมัยนั้นธิดาของมาร ๓ นาง คือ นางตัณหา นางราคาและนางอรดี คิดว่า บิดาของพวกเราไม่ปรากฏ บัดนี้ อยู่ที่ไหนหนอ จึงพากันมองหา ได้เห็นบิดาผู้มีความโทมนัสนั่งขีดแผ่นดินอยู่ จึงพากันไปยังสำนักของบิดาแล้วถามว่า ท่านพ่อ เพราะเหตุไร ท่านพ่อจึงเป็นทุกข์ หม่นหมองใจ.
               มารกล่าวว่า ลูกเอ๋ย มหาสมณะนี้ ล่วงพ้นอำนาจของเราเสียแล้ว พ่อคอยดูอยู่ตลอดเวลาประมาณเท่านี้ ไม่อาจได้เห็นช่องคือโทษของมหาสมณะนี้ เพราะเหตุนั้น พ่อจึงเป็นทุกข์หม่นหมองใจ.
               ธิดามารกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านพ่ออย่าเสียใจเลย ลูกๆ จักทำมหาสมณะนั่นไว้ในอำนาจของตนๆ แล้วพามา. มารกล่าวว่า ลูกเอ๋ย มหาสมณะนี้ ใครๆ ไม่อาจทำไว้ในอำนาจได้ บุรุษผู้นี้ตั้งอยู่ในศรัทธาอันไม่หวั่นไหว. ธิดามารกล่าวว่า ท่านพ่อ พวกลูกชื่อว่าเป็นสตรี ลูกๆ จักเอาบ่วงคือราคะเป็นต้น ผูกมหาสมณะนั้น นำมาเดี๋ยวนี้แหละ ท่านพ่ออย่าคิดไปเลย ครั้นกล่าวแล้วจึงเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกข้าพระบาทจะบำเรอบาทของพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงใส่ใจถึงคำของพวกนาง ทั้งไม่ทรงลืมพระเนตรแลดู ทรงนั่งเสวยสุขอันเกิดแต่วิเวกอย่างเดียว เพราะทรงน้อมพระทัยไปในธรรมเป็นเครื่องสิ้นไปแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม.
               ธิดามารคิดกันอีกว่า ความประสงค์ของพวกผู้ชายเอาแน่ไม่ได้ บางพวกมีความรักหญิงเด็กๆ บางพวกรักหญิงผู้อยู่ในปฐมวัย บางพวกรักหญิงผู้อยู่ในมัชฌิมวัย บางพวกรักหญิงผู้อยู่ในปัจฉิมวัย ถ้ากระไร พวกเราควรเอารูปต่างอย่างเข้าไปล่อแล้วยึดเอา จึงนางหนึ่งๆ นิรมิตอัตภาพของตนๆ โดยเป็นรูปหญิงวัยรุ่นเป็นต้น คือเป็นหญิงวัยรุ่น เป็นหญิงยังไม่คลอด เป็นหญิงคลอดคราวเดียว เป็นหญิงคลอดสองคราว เป็นหญิงกลางคนและเป็นหญิงผู้ใหญ่ เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง ๖ ครั้งแล้วทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าพระบาททั้งหลายจะบำเรอบาทของพระองค์. แม้ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ทรงใส่พระทัย โดยประการที่ทรงน้อมพระทัยไปในธรรมเครื่องสิ้นไปแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม.
               ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นธิดามารเหล่านั้นเข้าไปหา โดยเป็นหญิงผู้ใหญ่ จึงทรงอธิษฐานว่า หญิงเหล่านี้จงเป็นคนฟันหักมีผมหงอก. คำของเกจิอาจารย์นั้นไม่ควรเชื่อถือ. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ทรงกระทำอธิษฐานเห็นปานนั้นก็หามิได้ แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงหลีกไป พวกเธอเห็นอะไรจึงพยายามอย่างนี้ ควรทำกรรมชื่อเห็นปานนี้ เบื้องหน้าของคนผู้ยังไม่ปราศจากราคะเป็นต้น ก็ตถาคตละราคะ โทสะ โมหะแล้ว จึงทรงปรารภถึงการละกิเลสของพระองค์ ทรงแสดงธรรมตรัสคาถา ๒ คาถาใน พุทธวรรค ธรรมบท ดังนี้ว่า
               ความชนะอันผู้ใดชนะแล้วไม่กลับแพ้ ใครๆ จะนำความชนะของผู้นั้นไปไม่ได้ในโลก ท่านทั้งหลายจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ผู้ไม่มีร่องรอย ไปด้วยร่องรอยอะไร.
               พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ไม่มีตัณหาดุจข่าย ส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ เพื่อจะนำไปในที่ไหน ท่านทั้งหลายจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ผู้ไม่มีร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร ดังนี้.
               ธิดามารเหล่านั้นพากันกล่าวคำมีอาทิว่า นัยว่าเป็นความจริง บิดาของพวกเราได้กล่าวไว้ว่า พระอรหันต์สุคตเจ้าในโลก ใครๆ จะนำไปง่ายๆ ด้วยราคะ หาได้ไม่ ดังนี้แล้วพากันกลับมายังสำนักของบิดา.
               ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ที่อชปาลนิโครธนั้นนั่นแหละตลอดสัปดาห์ แต่นั้นได้เสด็จไปยังโคนไม้มุจลินท์. ณ ที่นั้นเกิดฝนพรำอยู่ตลอด ๗ วัน เพื่อจะป้องกันความหนาวเป็นต้น พญานาคชื่อมุจลินท์ เอาขนดวง ๗ รอบ ทรงเสวยวิมุตติสุขอยู่เหมือนประทับอยู่ในพระคันธกุฎีอันไม่คับแคบ ทรงยับยั้งอยู่ตลอดสัปดาห์ แล้วเสด็จเข้าไปยังต้นราชายตนะ แม้ ณ ที่นั้นก็ทรงยับยั้งเสวยวิมุตติสุขอยู่ตลอดสัปดาห์.
               โดยลำดับกาลเพียงเท่านี้ก็ครบ ๗ สัปดาห์บริบูรณ์.
               ในระหว่างนี้ไม่มีการสรงพระพักตร์ ไม่มีการปฏิบัติพระสรีระ ไม่มีกิจด้วยพระกระยาหาร แต่ทรงยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขและผลสุขเท่านั้น.
               ครั้นในวันที่ ๔๙ อันเป็นที่สุดของ ๗ สัปดาห์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ที่ต้นราชายตนะนั้น เกิดพระดำริขึ้นว่าจักสรงพระพักตร์. ท้าวสักกะจอมเทพได้ทรงนำผลสมออันเป็นยาสมุนไพรมาถวาย. พระศาสดาเสวยผลสมอนั้น ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงได้มีการถ่ายพระบังคนหนัก.
               ลำดับนั้น ท้าวสักกะนั่นแลได้ถวายไม้ชำระพระทนต์ชื่อนาคลดา และน้ำบ้วนพระโอษฐ์ น้ำสรงพระพักตร์แก่พระองค์ พระศาสดาทรงเคี้ยวไม้ชำระพระทนต์นั้น แล้วบ้วนพระโอษฐ์ สรงพระพักตร์ด้วยน้ำจากสระอโนดาต เสร็จแล้วยังคงประทับนั่งอยู่ที่โคนไม้ราชายตนะนั้นนั่นแหละ.
               สมัยนั้น พาณิช ๒ คนชื่อ ตปุสสะ และภัลลิกะ เดินทางจากอุกกลชนบท จะไปยังมัชฌิมประเทศ ด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม ผู้อันเทวดาผู้เป็นญาติสาโลหิตของตนในชาติก่อนกั้นเกวียนไว้ ให้มีความอุตสาหะในการจัดพระกระยาหารถวายแด่พระศาสดา จึงถือเอาข้าวตูก้อนและขนมน้ำผึ้ง (ขนมหวาน) แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงอาศัยความอนุเคราะห์ รับพระกระยาหารของข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด ดังนี้แล้วน้อมถวายพระศาสดาแล้วยืนอยู่.
               เพราะบาตรได้อันตรธานหายไปในวันรับข้าวปายาส พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงดำริว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมไม่รับที่มือ เราจะรับที่อะไรหนอ.
               ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์จากทิศทั้ง ๔ รู้พระดำริของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงน้อมถวายบาตรทั้งหลายอันแล้วด้วยแก้วอินทนิล พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรับบาตรเหล่านั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงน้อมถวายบาตร ๔ ใบ อันแล้วด้วยศิลามีสีดังถั่วเขียว เพื่อจะทรงอนุรักษ์ศรัทธาของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงทรงรับบาตรแม้ทั้ง ๔ ใบ ทรงวางซ้อนๆ กันแล้วทรงอธิษฐานว่า จงเป็นบาตรใบเดียว บาตรทั้ง ๔ ใบจึงมีรอยปรากฏอยู่ที่ขอบปาก รวมเข้าเป็นใบเดียวกัน โดยประมาณบาตรขนาดกลาง.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับพระกระยาหารที่บาตรอันล้วนด้วยศิลามีค่ามากนั้น เสวยแล้วได้ทรงกระทำอนุโมทนา.
               พาณิชพี่น้องสองคนนั้นถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ ได้เป็น ทฺเววาจิกอุบาสก คืออุบาสกผู้กล่าวถึงสรณะสอง.
               ลำดับนั้น พาณิชทั้งสองคนนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงโปรดประทานฐานะอันควรที่จะพึงปรนนิบัติแก่ข้าพระองค์ทั้งสองด้วยเถิด.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเอาพระหัตถ์ขวาลูบพระเศียรของพระองค์ แล้วได้ประทานพระเกศธาตุทั้งหลายให้ไป. พาณิชทั้งสองนั้นบรรจุพระเกศธาตุเหล่านั้นไว้ภายในผอบทองคำ ประดิษฐานพระเจดีย์ไว้ในนครของตน.
               ก็จำเดิมแต่นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับไปยังต้นอชปาลนิโครธอีก แล้วประทับนั่งอยู่ที่ควงต้นนิโครธ. ครั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นพอประทับนั่งที่ควงต้นนิโครธนั้นเท่านั้น ทรงพิจารณาถึงความที่ธรรมอันพระองค์ทรงบรรลุแล้วเป็นธรรมลึกซึ้ง ความตรึกอันพระพุทธเจ้าทั้งปวงเคยประพฤติกันมา ถึงอาการคือความไม่ประสงค์จะทรงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น บังเกิดขึ้นว่า ธรรมนี้เราบรรลุได้โดยยากแล.
               ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมทรงดำริว่า ท่านผู้เจริญ โลกจักพินาศหนอ ท่านผู้เจริญ โลกจักพินาศหนอ จึงทรงพาท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมานรดี ท้าววสวัตดีและท้าวมหาพรหมทั้งหลายจากหมื่นจักรวาล เสด็จมายังสำนักของพระศาสดา ทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม โดยนัยเป็นต้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงแสดงธรรม.

               พระศาสดาทรงให้ปฏิญญาแก่ท้าวสหัมบดีพรหมนั้น แล้วทรงดำริอยู่ว่า เราควรแสดงธรรมกัณฑ์แรกแก่ใครหนอ ทรงยังพระดำริให้เกิด ขึ้นว่าอาฬารดาบสเป็นบัณฑิต เธอจักรู้ธรรมนี้ได้เร็วพลัน จึงทรงตรวจดูอีก ทรงทราบว่าอาฬารดาบสนั้นกระทำกาละได้ ๗ วันแล้ว จึงทรงรำพึงถึงอุทกดาบส ได้ทรงทราบว่า แม้อุทกดาบสนั้นก็ได้กระทำกาละเสียเมื่อพลบค่ำวานนี้ จึงทรงมนสิการปรารภถึงพระปัญจวัคคีย์ว่าภิกษุปัญจวัคคีย์มีอุปการะมากมายแก่เรา จึงทรงรำพึงว่า บัดนี้ ภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้นอยู่ที่ไหนหนอ ได้ทรงทราบว่าอยู่ในป่าอิสิปตนมิคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี จึงเสด็จเที่ยวบิณฑบาตไปรอบๆ โพธิมัณฑ์ประทับอยู่ ๒-๓ วัน แล้วทรงดำริว่า ในวันเพ็ญเดือน ๘ เราจักไปเมืองพาราณสี ประกาศพระธรรมจักร จึงในดิถีที่ ๑๔ ค่ำแห่งปักษ์ เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง เมื่อราตรีสว่างตั้งขึ้นแล้ว พอเช้าตรู่ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จดำเนินสิ้นหนทาง ๑๘ โยชน์ ในระหว่างทางทรงพบ อุปกอาชีวก จึงตรัสบอกถึงความที่พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแก่อุปกอาชีวกนั้น แล้วเสด็จถึงป่าอิสิปตนะในเวลาเย็นวันนั้นเอง.
               พระปัญจวัคคีย์เห็นพระตถาคตเสด็จมาแต่ไกล ได้กระทำกติกากันว่า นี่แน่ะอาวุโสทั้งหลาย พระสมณโคดมนี้เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากในปัจจัย มีร่างกายสมบูรณ์ มีอินทรีย์ผ่องใส มีวรรณดุจทอง กำลังเสด็จมา พวกเราจักไม่ทำสามีจิกรรมมีการไหว้เป็นต้นแก่พระสมณโคดมนี้ แต่เธอประสูติในตระกูลใหญ่ ย่อมควรจัดอาสนะไว้ ด้วยเหตุนั้น พวกเราปูลาดเพียงอาสนะไว้เพื่อเธอ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงรำพึงว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านี้คิดกันอย่างไรหนอ ก็ได้ทราบวาระจิตด้วยพระญาณอันสามารถทรงทราบอาจาระแห่งจิตของชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก.
               ลำดับนั้น พระองค์จึงทรงประมวลเมตตาจิตอันสามารถแผ่ไปด้วยอำนาจการแผ่ไปโดยไม่เจาะจง ในเทวดาและมนุษย์ทั้งมวล แล้วทรงแผ่เมตตาจิตไปในพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นด้วยอำนาจการแผ่โดยเจาะจง. พระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้สัมผัสด้วยเมตตาจิตแล้ว เมื่อพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าไปใกล้ ไม่อาจดำรงอยู่ตามกติกาของตน ได้พากันลุกขึ้นทำกิจทั้งปวงมีการอภิวาทเป็นต้น แต่ไม่รู้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงร้องเรียกพระองค์โดยพระนามและโดยวาทะว่า "อาวุโส" ทั้งสิ้น.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นรู้ว่า พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า โดยพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าเรียกตถาคตโดยชื่อและโดยวาทะว่า "อาวุโส" เลย ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้แล้วประทับนั่งบนพุทธอาสน์อันประเสริฐที่ปูลาดไว้ เมื่อประจวบกับดาวนักษัตรแห่งเดือน ๘ หลังกำลังดำเนินไป อันพรหม ๑๘ โกฏิห้อมล้อมแล้ว จึงตรัสเรียกพระเถระปัญจวัคคีย์มา ทรงแสดง พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันยอดเยี่ยม เพริศแพร้วด้วยญาณ ๖ มีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒.
               บรรดาพระเถระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น พระโกณฑัญญเถระส่งญาณไปตามกระแสแห่งเทศนา ในเวลาจบพระสูตรก็ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับพรหม ๑๘ โกฏิ.
               พระศาสดาทรงเข้าจำพรรษาอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้นนั่นเอง ในวันรุ่งขึ้น ประทับนั่งทรงโอวาทพระวัปปเถระ อยู่ในวิหารนั่นแล พระเถระที่เหลือทั้ง ๔ รูปเที่ยวบิณฑบาต. ในเวลาเช้านั่นเอง พระวัปปเถระก็บรรลุพระโสดาปัตติผล โดยวิธีนี้นั่นแล ทรงให้พระเถระทั้งหมดดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล คือวันรุ่งขึ้นให้พระภัททิยเถระบรรลุ วันรุ่งขึ้นให้พระมหานามเถระบรรลุ วันรุ่งขึ้นให้พระอัสสชิเถระบรรลุ.
               ครั้นในดิถีที่ ๕ แห่งปักษ์ ให้พระเถระทั้ง ๕ ประชุมกันแล้วทรงแสดง อนัตตลักขณสูตร ในเวลาจบเทศนา พระเถระทั้ง ๕ ดำรงอยู่ในพระอรหัต.
               ครั้งนั้น พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของ ยสกุลบุตร ตรัสเรียกเขาผู้เบื่อหน่ายละเรือนออกไปในตอนกลางคืนว่า มานี่เถิด ยสะ ทรงให้เขาดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผลในตอนกลางคืนนั่นแหละ แล้วให้ดำรงอยู่ในพระอรหัตในวันรุ่งขึ้น แล้วทรงให้ชน ๕๔ คนแม้อื่นอีกผู้เป็นสหายของพระยสะนั้นบรรพชาด้วยเอหิภิกขุบรรพชา แล้วทรงให้บรรลุพระอรหัต.
               ก็เมื่อพระอรหันต์ ๖๑ องค์เกิดขึ้นในโลกด้วยประการอย่างนี้แล้ว.
               พระศาสดาทรงออกพรรษาปวารณาแล้ว ทรงส่งภิกษุ ๖๐ รูปไปในทิศทั้งหลายด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปดังนี้เป็นต้น ส่วนพระองค์เสด็จไปยังอุรุเวลาประเทศ ในระหว่างทางทรงแนะนำ ภัททวัคคีย์กุมาร ๓๐ คน ในชัฏป่าฝ้าย.
               บรรดาภัททวัคคีย์กุมารเหล่านั้น คนสุดท้ายเขาทั้งหมดได้เป็นพระโสดาบัน คนเหนือกว่าเขาทั้งหมดได้เป็นพระอนาคามี พระองค์ทรงให้ภัททวัคคีย์กุมารทั้งหมดแม้นั้นบรรพชา ด้วยความเป็นเอหิภิกขุเหมือนกัน แล้วทรงส่งไปในทิศทั้งหลาย แล้วพระองค์เสด็จถึงอุรุเวลาประเทศ ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ๓,๕๐๐ ปาฏิหาริย์ ทรงแนะนำ ชฎิลสามพี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น มีชฎิลหนึ่งพันเป็นบริวาร ทรงให้บรรพชาด้วยความเป็นเอหิภิกขุแล้ว ให้นั่งที่คยาสีสประเทศ ให้ดำรงอยู่ในพระอรหัตด้วย อาทิตตปริยายเทศนา อันพระอรหันต์หนึ่งพันองค์ห้อมล้อม แล้วได้เสด็จไปยังอุทยานลัฏฐิวัน ณ ชานพระนครราชคฤห์โดยพระประสงค์ว่า จักทรงเปลื้องปฏิญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้าพิมพิสาร พระราชาทรงสดับข่าวจากสำนักของนายอุยยานบาลว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงทรงห้อมล้อมด้วยพราหมณ์และคหบดี ๑๒ นหุต (คือ ๑๒ หมื่น) เสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทรงซบพระเศียรลงที่พระบาทของพระตถาคต อันมีฝ่าพระบาทวิจิตรด้วยลายจักร กำลังเปล่งรัศมีสุกสกาวขึ้น ประดุจเพดานอันดาดด้วยแผ่นทองคำ แล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พร้อมทั้งบริษัท.
               ลำดับนั้น พราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พระมหาสมณะประพฤติพรหมจรรย์ในพระอุรุเวลกัสสปะ หรือว่าพระอุรุเวลกัสสปะประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นด้วยพระหทัย จึงตรัสกะพระอุรุเวลกัสสปะ ด้วยพระคาถาว่า
               ดูก่อนกัสสปะ เธออยู่ในตำบลอุรุเวลามานาน ซูบผอมเพราะกำลังพรต เป็นผู้กล่าวสอนประชาชน เห็นโทษอะไรหรือจึงละไปเสีย เราถามเนื้อความนี้กะเธอ อย่างไรเธอจึงละการบูชาไฟเสียเล่า.
               ฝ่ายพระเถระก็ทราบความประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวคาถานี้ว่า
                ยัญทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รส ที่น่าใคร่ และหญิงทั้งหลาย ข้าพระองค์รู้ว่า นี้เป็นมลทินในอุปธิทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ยินดีในการเซ่นสรวงและการบูชา ดังนี้.
               เพื่อจะประกาศความที่ตนเป็นสาวก จึงซบศีรษะลงที่หลังพระบาทของพระตถาคตแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ดังนี้แล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส ๗ ครั้ง คือ ๑ ชั่วลำตาล ๒ ชั่วลำตาล ๓ ชั่วลำตาลจนกระทั่งประมาณ ๗ ชั่วลำตาล แล้วลงมาถวายบังคมพระตถาคต แล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.
               มหาชนได้เห็นปาฏิหาริย์ดังนั้น จึงกล่าวเฉพาะกถาสรรเสริญพระคุณของพระศาสดาเท่านั้นว่า น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทรงมีอานุภาพมาก เพราะแม้พระอุรุเวลกัสสปะ ชื่อว่าผู้มีทิฏฐิจัดอย่างนี้ สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ถูกพระตถาคตทรมาน ทำลายข่ายคือทิฏฐิเสียแล้ว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราไม่ได้ทรมานอุรุเวลกัสสปะแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในอดีตกาล อุรุเวลกัสสปะนี้เราก็ได้ทรมานแล้ว เพราะเหตุเกิดเรื่องนี้ขึ้น จึงตรัส มหานารทกัสสปชาดก แล้วทรงประกาศสัจจะ ๔.
               พระราชาพร้อมกับบริวาร ๑๑ นหุต ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล บริวาร ๑ นหุตประกาศความเป็นอุบาสก. พระราชาประทับนั่งอยู่ในสำนักของพระศาสดานั่นเอง ทรงประกาศความสบายพระทัย ๕ ประการแล้วทรงถึงสรณะ ทรงนิมนต์เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ แล้วเสด็จลุกขึ้นจากอาสน์ กระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเสด็จหลีกไป.
               วันรุ่งขึ้น พวกชนชาวเมืองราชคฤห์ทั้งสิ้นนับได้ ๑๘ โกฏิ ทั้งที่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเมื่อวันวานกับทั้งที่ไม่ได้เห็น ต่างมีความประสงค์จะเห็นพระตถาคต จึงพากันจากเมืองราชคฤห์ไปยังลัฏฐิวันอุทยานแต่เช้าตรู่. หนทาง ๓ คาวุตไม่พอจะเดิน. ลัฏฐิวันอุทยานทั้งสิ้นแน่นขนัด. มหาชนแม้เห็นพระอัตภาพอันถึงความงามเลิศแห่งพระรูปโฉมของ้พระทศพล ก็ไม่อาจกระทำให้อิ่ม. นี้ชื่อว่าภูมิของการพรรณนา.
               จริงอยู่ ในฐานะเห็นปานนี้พึงพรรณนาความสง่าแห่งพระรูปกายแม้ทั้งหมด อันมีประเภทแห่งพระลักษณะและพระอนุพยัญชนะเป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า. เมื่ออุทยานและทางเดินแน่นขนัด ด้วยมหาชนผู้จะดูพระสรีระของพระทศพล อันถึงความงามเลิศด้วยพระรูปโฉมอย่างนี้ แม้ภิกษุรูปเดียวก็ไม่มีโอกาสออกไปได้.
               นัยว่า วันนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจะต้องขาดพระกระยาหาร เพราะฉะนั้น อาสนะที่ท้าวสักกะประทับนั่ง จึงแสดงอาการร้อนอันมีเหตุให้รู้ว่าข้อนั้นอย่าได้มีเลย. ท้าวสักกะทรงรำพึงดูรู้เหตุนั้นแล้ว จึงนิรมิตเพศเป็นมาณพน้อย กล่าวคำสดุดีอันประกอบด้วยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เสด็จลงเบื้องพระพักตร์ของพระทศพล กระทำที่ว่างด้วยเทวานุภาพ เสด็จไปเบื้องหน้ากล่าวคุณของพระศาสดา ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
                พระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะงามดุจลิ่มทองสิงคี ผู้ทรงฝึกแล้ว ทรงหลุดพ้นแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์ พร้อมกับพระปุราณชฎิลผู้ฝึกตนได้แล้ว ผู้หลุดพ้นแล้ว.
                 พระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะงามดุจลิ่มทองสิงคี ผู้หลุดพ้นแล้ว ทรงข้ามได้แล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์ พร้อมกับพระปุราณชฎิลผู้พ้นแล้ว ผู้ข้ามได้แล้ว.
                 พระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะงามดุจลิ่มทองสิงคี ผู้สงบแล้ว ทรงสงบแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์ พร้อมกับพระปุราณชฎิล ผู้สงบแล้ว.
                  พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีธรรมเครื่องอยู่ ๑๐ มีพระกำลัง ๑๐ ทรงรู้แจ้งธรรม ๑๐ และประกอบด้วยพระคุณ ๑๐ มีบริวารหนึ่งพัน เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์แล้ว ดังนี้.
               ในกาลนั้น มหาชนเห็นความสง่าแห่งรูปของมาณพน้อยแล้วคิดว่า มาณพน้อยผู้นี้มีรูปงามยิ่งหนอ ก็พวกเราไม่เคยเห็นเลย จึงกล่าวว่า มาณพน้อยผู้นี้มาจากไหน หรือว่ามาณพน้อยผู้นี้เป็นของใคร.
               มาณพได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาว่า
               พระสุคตเจ้าพระองค์ใด ทรงเป็นปราชญ์ ทรงฝึกพระองค์ได้ในที่ทั้งปวง บริสุทธิ์ ไม่มีบุคคลเปรียบปาน เป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นคนรับใช้ของพระสุคตเจ้าพระองค์นั้น ดังนี้.
               พระศาสดาเสด็จดำเนินตามทาง ซึ่งมีช่องว่างที่ท้าวสักกะกระทำไว้อันภิกษุหนึ่งพันแวดล้อมเสด็จเข้ากรุงราชคฤห์. พระราชาถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจักไม่อาจอยู่ โดยเว้นพระรัตนตรัย หม่อมฉันจักมายังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาบ้าง ไม่ใช่เวลาบ้าง ก็อุทยานชื่อว่าลัฏฐิวันไกลเกินไป แต่อุทยานชื่อว่าเวฬุวันของหม่อมฉันแห่งนี้ ไม่ไกลเกินไป ไม่ใกล้เกินไป สมบูรณ์ด้วยการไปและการมา เป็นเสนาสนะสมควรแก่พระพุทธเจ้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอุทยานเวฬุวันของหม่อมฉันนี้เถิด แล้วทรงเอาพระสุวรรณภิงคารตักน้ำอันมีสีดังแก้วมณีอบด้วยดอกไม้หอม เมื่อจะทรงบริจาคพระเวฬุวันอุทยาน จึงทรงหลั่งน้ำให้ตกลงบนพระหัตถ์ของพระทศพล.
               เมื่อทรงรับพระเวฬุวันอุทยานนั้นนั่นแล มหาปฐพีได้หวั่นไหวซึ่งมีอันให้รู้ว่า มูลรากของพระพุทธศาสนาได้หยั่งลงแล้ว.
               จริงอยู่ ในพื้นชมพูทวีป ยกเว้นพระเวฬุวันเสีย ชื่อว่าเสนาสนะอื่นที่ทรงรับแล้ว มหาปฐพีไหว ไม่มีเลย. แม้ในตามพปัณณิทวีปคือเกาะลังกา ยกเว้นมหาวิหารเสีย ชื่อว่าเสนาสนะอื่นที่รับแล้วแผ่นดินไหว ก็ย่อมไม่มี.
               พระศาสดาครั้นทรงรับพระเวฬุวนารามแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนาแก่พระราชาแล้ว เสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ อันภิกษุสงฆ์แวดล้อมเสด็จไปยังพระเวฬุวัน.
               ก็สมัยนั้นแล ปริพาชกสองคนคือ สารีบุตร และโมคคัลลานะ อาศัยกรุงราชคฤห์แสวงหาอมตธรรมอยู่. ในปริพาชกสองคนนั้น สารีบุตรปริพาชกเห็นพระอัสสชิเถระเข้าไปบิณฑบาตมีจิตเลื่อมใส จึงเข้าไปนั่งใกล้ฟังคาถามีอาทิว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ดังนี้ ได้ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล แล้วได้กล่าวคาถานั้นนั่นแหละแก่โมคคัลลานปริพาชกผู้เป็นสหายของตน แม้โมคคัลลานปริพาชกนั้นก็ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
               ปริพาชกทั้งสองนั้นจึงอำลา สัญชัยปริพาชก ไปบวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งบริษัทของตน. บรรดาท่านทั้งสองนั้น พระโมคคัลลานะบรรลุพระอรหัตโดย ๗ วัน พระสารีบุตรบรรลุพระอรหัตโดยกึ่งเดือน พระศาสดาทรงตั้งพระเถระทั้งสองนั้นไว้ในตำแหน่งอัครสาวก และในวันที่พระสารีบุตรเถระบรรลุพระอรหัตนั่นแหละ ได้ทรงกระทำสันนิบาตคือประชุมพระสาวก.
               ก็เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในพระเวฬุวันอุทยานนั้นนั่นแล พระเจ้าสุทโธทนมหาราชได้ทรงสดับว่า ข่าวว่าบุตรของเราประพฤติทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปี จึงบรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้วประกาศพระธรรมจักรอันบวร เข้าไปอาศัยกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ในพระเวฬุวันดังนี้ จึงตรัสเรียกอำมาตย์คนหนึ่งมาตรัสว่า มานี่แน่ะพนาย ท่านมีบุรุษพันหนึ่งเป็นบริวารเดินทางไปกรุงราชคฤห์ กล่าวตามคำของเราว่า พระเจ้าสุทโธทนมหาราชพระราชบิดาของพระองค์มีพระประสงค์จะพบ ดังนี้แล้วจงพาบุตรของเรามา.
               อำมาตย์ผู้นั้นรับพระราชดำรัสของพระราชาใส่เศียรเกล้าว่า พระพุทธเจ้าข้า แล้วมีบุรุษพันหนึ่งเป็นบริวาร รีบเดินทางไปสิ้นหนทาง ๖๐ โยชน์ แล้วเข้าไปยังพระวิหาร ในเวลาที่พระทศพลประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔.
               อำมาตย์นั้นคิดว่า พระราชสาสน์ของพระราชาที่ส่งมาจงงดไว้ก่อน จึงยืนอยู่ท้ายบริษัทฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ทั้งที่ยืนอยู่นั่นแล ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมกับบุรุษพันหนึ่ง จึงทูลขอบรรพชา.
               พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด. ทันใดนั้นเอง คนทั้งหมดได้เป็นผู้ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ เป็นดุจพระเถระมีพรรษา ๖๐ พรรษา.
               ก็ตามธรรมดาพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมกลายเป็นผู้มัธยัสถ์ไปตั้งแต่เวลาที่ได้บรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้น พระผู้เป็นอำมาตย์นั้นจึงมิได้กราบทูลข่าวที่พระราชาส่งมาแด่พระทศพล.
               พระราชาทรงดำริว่า อำมาตย์ผู้ที่ไปยังไม่กลับมา ข่าวสาสน์ก็ไม่ได้ฟัง จึงส่งอำมาตย์คนอื่นไปโดยทำนองนั้นนั่นแลว่า มานี่แน่ะพนาย ท่านจงไป. อำมาตย์แม้คนนั้นไปแล้วได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งบริษัทก็ได้เป็นผู้นิ่งเสีย โดยนัยอันมีในก่อนนั่นแหละ. พระราชาทรงสั่งอำมาตย์อื่นไปอีก ๗ คน โดยทำนองนี้แหละว่า มานี่แน่ะพนาย ท่านจงไป.
               อำมาตย์ที่พระราชาทรงส่งไปนั้นทั้งหมด เป็นบุรุษบริวาร ๙ พันคน เป็นอำมาตย์ ๙ คน ทำกิจของตนเสร็จแล้ว เป็นผู้นิ่งเสีย อยู่แต่ในกรุงราชคฤห์นั้นเท่านั้น.
               พระราชาไม่ทรงได้อำมาตย์ผู้จะนำ แม้แต่ข่าวสาสน์มาบอก จึงทรงพระดำริว่า ชนแม้มีประมาณเท่านี้ไม่นำกลับมาแม้แต่ข่าวสาสน์ เพราะไม่มีความรักในเรา ใครหนอจักกระทำตามคำสั่งของเรา เมื่อทรงตรวจดูพลของหลวงทั้งหมดก็ได้ทรงเห็นกาฬุทายีอำมาตย์.
               ได้ยินว่า กาฬุทายีอำมาตย์นั้นเป็นผู้จัดราชกิจทั้งปวง เป็นคนภายใน เป็นอำมาตย์ผู้มีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เกิดวันเดียวกันกับพระโพธิสัตว์ เป็นสหายเล่นหัวกันมา.
               ลำดับนั้น พระราชาตรัสเรียกกาฬุทายีอำมาตย์นั้นมาว่า นี่แน่ะพ่อกาฬุทายี ฉันอยากจะเห็นบุตรของฉัน จึงส่งอำมาตย์ ๙ คนกับบุรุษผู้เป็นบริวาร ๙ พันไป บรรดาคนเหล่านั้นแม้คนเดียวชื่อว่าผู้จะมาบอกเพียงแต่ข่าวสาสน์ก็ไม่มี ก็อันตรายแห่งชีวิตของเรารู้ได้ยาก เรายังมีชีวิตอยู่ปรารถนาจะเห็นบุตร เธอจักอาจแสดงบุตรแก่เราหรือหนอ.
               กาฬุทายีอำมาตย์กราบทูลว่า จักอาจพระเจ้าข้า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าจักได้บวช.
               พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ เธอจะบวชหรือไม่บวชก็ตาม จงแสดงบุตรแก่เรา.
               กาฬุทายีอำมาตย์ทูลรับพระบัญชาว่า ได้พระเจ้าข้า แล้วถือพระราชสาสน์ไปยังกรุงราชคฤห์ ยืนอยู่ท้ายบริษัทในเวลาที่พระศาสดาทรงแสดงธรรม ฟังธรรมแล้ว พร้อมทั้งบริวารบรรลุพระอรหัตแล้วบวชด้วยความเป็นเอหิภิกขุอยู่.
               พระศาสดาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตลอดภายในพรรษาแรกประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ออกพรรษาปวารณาแล้วเสด็จไปยัง ตำบลอุรุเวลา ประทับอยู่ที่ตำบลอุรุเวลานั้นตลอด ๓ เดือน ทรงแนะนำชฏิลสามพี่น้องแล้วมีภิกษุหนึ่งพันเป็นบริวาร ในวันเพ็ญเดือนยี่ เสด็จไปกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ ๒ เดือน.
               โดยลำดับกาลมีประมาณเท่านี้ เมื่อพระองค์เสด็จออกจากเมืองพาราณสีเป็นเวลา ๕ เดือน. ฤดูเหมันต์ทั้งสิ้นได้ล่วงไปแล้ว. ตั้งแต่วันที่พระกาฬุทายีเถระมาถึง เวลาได้ล่วงไปแล้ว ๗-๘ วัน ในวันเพ็ญเดือน ๔ พระเถระคิดว่า บัดนี้ฤดูเหมันต์ล่วงไปแล้ว วสันตฤดูกำลังย่างเข้ามา พวกมนุษย์ถอนข้าวกล้าเป็นต้นเสร็จแล้ว ให้หนทางตามที่ตรงหน้าๆ (หมายความว่าบ่ายหน้าไปทางไหน มีทางไปได้ทั้งนั้น) แผ่นดินก็ปกคลุมด้วยหญ้าเขียวขจี ราวป่ามีดอกไม้บานสะพรั่ง หนทางเหมาะแก่การที่จะเดินทาง เป็นกาลที่พระทศพลจะกระทำการสงเคราะห์พระญาติ.
               ลำดับนั้น ท่านพระกาฬุทายีจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พรรณนาการเสด็จดำเนินไปยังนครแห่งราชสกุลของพระทศพล ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถาว่า
                ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ต้นไม้ทั้งหลายมีสีแดง กำลังทรงผล สลัดใบแล้ว ต้นไม้เหล่านั้น สว่างโพลงดุจมีเปลวไฟ ข้าแต่มหาวีระ ถึงสมัยที่เหมาะสมแก่การที่พระองค์จะรื่นรมย์ ฯลฯ
                 สถานที่ไม่เย็นจัด ไม่ร้อนจัด ไม่อัตคัดและอดอยากนัก พื้นภูมิภาคมีหญ้าแพรกเขียวสด ข้าแต่พระมหามุนี กาลนี้เป็นกาล สมควรที่จะเสด็จไป ดังนี้.
               ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระกาฬุทายีเถระว่า ดูก่อนอุทายี เพราะเหตุไรหนอ เธอจึงพรรณนาการไป ด้วยเสียงอันไพเราะ.
               พระกาฬุทายีเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าสุทโธทนมหาราชพระบิดาของพระองค์ ทรงมีพระประสงค์จะพบเห็นพระองค์ ขอพระองค์จงทรงกระทำการสงเคราะห์พระญาติทั้งหลายเถิด.
               พระศาสดาตรัสว่า ดีละอุทายี เราจักกระทำการสงเคราะห์พระญาติทั้งหลาย เธอจงบอกแก่ภิกษุสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายจักได้ทำคมิกวัตร คือระเบียบของผู้จะไปให้บริบูรณ์.
               พระเถระรับพระดำรัสว่า ดีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แล้วบอกแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้อมล้อมด้วยพระภิกษุขีณาสพสองหมื่นองค์ คือภิกษุกุลบุตรชาวเมืองอังคะและมคธะหมื่นองค์ ภิกษุกุลบุตรชาวเมืองกบิลพัสดุ์หมื่นองค์ เสด็จออกจากเมืองราชคฤห์เสด็จดำเนินวันละโยชน์หนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า จากเมืองราชคฤห์ถึงเมืองกบิลพัสดุ์ประมาณ ๖๐ โยชน์ เราจักถึงได้โดย ๒ เดือนจึงเสด็จออกหลีกจาริกไปโดยไม่รีบด่วน.
               ฝ่ายพระเถระคิดว่า เราจักกราบทูลความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมาแล้วแก่พระราชา จึงเหาะขึ้นสู่เวหาสไปปรากฏในพระราชนิเวศน์.
               พระราชาทรงเห็นพระเถระแล้วมีพระทัยยินดี จึงนิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์อันควรค่ามาก บรรจุบาตรให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ที่เขาจัดเพื่อพระองค์แล้วได้ถวาย. พระเถระแสดงอาการจะลุกขึ้นไป.
               พระราชาตรัสว่า จงนั่งฉันเถิดพ่อ.
               พระเถระทูลว่า ข้าแต่มหาราช อาตภาพจักไปยังสำนักของพระศาสดาแล้ว จักฉัน.
               พระราชาตรัสถามว่า ก็พระศาสดาอยู่ที่ไหนล่ะพ่อ.
               พระเถระทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร พระศาสดามีภิกษุสองหมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกจาริกมาแล้ว เพื่อต้องการจะเฝ้าพระองค์. พระราชาทรงมีพระมนัสยินดีตรัสว่า ท่านจงฉันบิณฑบาตนี้ แล้วนำบิณฑบาตจากที่นี้ไปถวายพระโอรสนั้น จนกว่าพระโอรสของโยมจะถึงนครนี้. พระเถระรับพระดำรัสแล้ว.
               พระราชาทรงอังคาสพระเถระ แล้วให้ขัดถูบาตรด้วยผงเครื่องหอมบรรจุให้เต็มด้วยโภชนะชั้นดี แล้วให้ตั้งไว้ในมือของพระเถระโดยตรัสว่า ขอท่านจงถวายแด่พระตถาคต.
               พระเถระเมื่อคนทั้งหลายเห็นอยู่ทีเดียว ได้โยนบาตรไปในอากาศ ฝ่ายตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาส นำบิณฑบาตมาวางถวายที่พระหัตถ์ของพระศาสดา. พระศาสดาเสวยบิณฑบาตนั้น. พระเถระนำบิณฑบาตมาทุกวันๆ โดยอุบายนั้นแหละ.
               ฝ่ายพระศาสดาก็เสวยบิณฑบาตของพระราชาเท่านั้นในระหว่างทาง. ในเวลาเสร็จภัตกิจทุกวันๆ แม้พระเถระก็กล่าวว่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้ วันนี้มีประมาณเท่านี้ และได้กระทำราชสกุลทั้งสิ้นให้เกิดความเลื่อมใสในพระศาสดา โดยเว้นการได้เห็นพระศาสดา ด้วยกถาอันประกอบด้วยพระพุทธคุณ.
               เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสถาปนาพระเถระให้เป็น เอตทัคคะ ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาฬุทายีนี้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุสาวกของเราผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส.
               ฝ่ายเจ้าศากยะทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจวนถึง ต่างคิดกันว่าจักเห็นพระญาติผู้ประเสริฐของพวกเรา จึงประชุมกันพิจารณาสถานที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า กำหนดเอาว่าอารามของเจ้าศากยนิโครธน่ารื่นรมย์ จึงให้กระทำวิธีการซ่อมแซมทุกอย่างในอารามนั้น มีมือถือของหอมและดอกไม้ เมื่อจะทำการต้อนรับจึงส่งเด็กชายและเด็กหญิงชาวเมืองผู้ยังเด็กๆ แต่งตัวด้วยเครื่องประดับทุกอย่างไปก่อน ต่อจากนั้นส่งราชกุมารและราชกุมารีไป ตนเองบูชาอยู่ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นในระหว่างราชกุมารและราชกุมารีเหล่านั้น ได้พาพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังนิโครธารามทีเดียว.
               ณ นิโครธารามนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระขีณาสพสองหมื่นแวดล้อม ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดไว้.
               ธรรมดาว่าเจ้าศากยะทั้งหลายมีมานะในเรื่องชาติ ถือตัวจัด เจ้าศากยะเหล่านั้นคิดกันว่า สิทธัตถกุมารเป็นเด็กกว่าพวกเรา เป็นพระกนิษฐา เป็นพระภาคิไนย เป็นพระโอรส เป็นพระนัดดาของพวกเรา จึงได้ตรัสกะราชกุมารทั้งหลายที่หนุ่มๆ ว่า พวกเธอจงพากันถวายบังคม เราทั้งหลายจักนั่งข้างหลังของพวกเธอ.
               เมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายเหล่านั้นไม่ถวายบังคมนั่งอยู่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอัธยาศัยของเจ้าศากยะเหล่านั้น ทรงพระดำริว่า พระญาติทั้งหลายไม่ไหว้เรา เอาเถอะ เราจะให้พวกเขาไหว้ในบัดนี้ จึงทรงเข้าจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา แล้วออกจากจตุตถฌานนั้นเหาะขึ้นสู่อากาศ ทำทีโปรยธุลีพระบาทลงบนพระเศียรของเจ้าศากยะเหล่านั้น ได้ทรงกระทำปาฏิหาริย์เช่นเดียวกับยมกปาฏิหาริย์ที่ควงไม้คัณฑามพพฤกษ์.
               พระราชาทรงเห็นความอัศจรรย์นั้น จึงทูลว่า
               ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวันที่พระองค์ประสูติ หม่อมฉันได้เห็นพระบาทของพระองค์ผู้ซึ่งเขานำเข้าไปเพื่อให้ไหว้กาฬเทวิลดาบส กลับไปตั้งอยู่บนกระหม่อมของพราหมณ์ จึงได้ไหว้พระบาทของพระองค์ นี้เป็นการไหว้ครั้งแรกของหม่อมฉัน.
               ในวันวัปปมงคลแรกนาขวัญ หม่อมฉันก็ได้เห็นร่มเงาไม้หว้าของพระองค์ผู้บรรทมอยู่บนพระที่สิริไสยาสน์ในร่มเงาไม้หว้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (ไปตามตะวัน) ก็ได้ไหว้พระบาท นี้เป็นการไหว้ครั้งที่สองของหม่อมฉัน.
               ก็บัดนี้ หม่อมฉันได้เห็นปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยเห็นนี้ จึงไหว้พระบาทของพระองค์ นี้เป็นการไหว้ครั้งที่สามของหม่อมฉัน.
               ก็เมื่อพระราชาถวายบังคมแล้ว เจ้าศากยะแม้องค์เดียวชื่อว่าเป็นผู้สามารถทรงยืนอยู่โดยไม่ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้มีเลย เจ้าศากยะทั้งปวงพากันถวายบังคมทั้งสิ้น.

     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระญาติทั้งหลายถวายบังคมด้วยประการฉะนี้แล้ว เสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแล้ว ได้มีการประชุมพระญาติอันถึงจุดสุดยอด เจ้าศากยะทั้งปวงเป็นผู้มีจิตแน่วแน่ประทับนั่งแล้ว.
               ลำดับนั้น มหาเมฆได้ยัง ฝนโบกขรพรรษา ให้ตกลงมา น้ำสีแดงไหลไปข้างล่าง ผู้ต้องการให้เปียกเท่านั้นจึงจะเปียก สำหรับผู้ไม่ประสงค์จะให้เปียก น้ำแม้แต่หยาดเดียวก็ไม่ตกลงบนร่างกาย. เจ้าศากยะทั้งปวงเห็นดังนั้น เป็นผู้มีจิตอัศจรรย์ไม่เคยมี จึงสั่งสนทนากันขึ้นว่า โอ! น่าอัศจรรย์ โอ! ไม่เคยมี.
               พระศาสดาตรัสว่า ฝนโบกขรพรรษตกลงในสมาคมแห่งพระญาติของเราแต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในอดีตกาลก็ได้ตกแล้ว จึงตรัส เวสสันดรชาดก เพราะเหตุเกิดเรื่องนี้ขึ้น.
               เจ้าศากยะทั้งปวงได้ฟังพระธรรมกถาแล้ว เสด็จลุกขึ้นถวายบังคมแล้วเสด็จหลีกไป. พระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระราชาแม้แต่ผู้เดียว ชื่อว่ากราบทูลว่า พระองค์ทั้งหมดขอจงรับภิกษาของข้าพระองค์ทั้งหลายดังนี้แล้วจึงไป ย่อมไม่มี.
               วันรุ่งขึ้น พระศาสดาอันภิกษุสองหมื่นแวดล้อม เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงกบิลพัสดุ์ ใครๆ ไม่ไปนิมนต์พระองค์ หรือไม่รับบาตร.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนที่ธรณีประตูนั่นแล ทรงพระรำพึงว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อน เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในเมืองของสกุลอย่างไรหนอ คือเสด็จไปยังเรือนของพวกอิสรชนโดยข้ามลำดับ หรือว่าเสด็จเที่ยวไปตามลำดับตรอก. ลำดับนั้น ไม่ได้ทรงเห็นแม้พระพุทธเจ้าสักองค์หนึ่งเสด็จไปโดยข้ามลำดับ จึงทรงดำริว่า บัดนี้ แม้เราก็ควรประคับประคองวงศ์ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น เฉพาะบัดนี้เท่านั้นและต่อไป สาวกทั้งหลายของเรา เมื่อสำเหนียกตามเราอยู่นั่นแล จักได้บำเพ็ญปิณฑจาริกวัตรคือถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ดังนี้แล้วจึงเสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก เริ่มตั้งแต่เรือนที่ตั้งอยู่ในที่สุดไป.
               มหาชนโจษขานกันว่า ได้ข่าวว่า สิทธัตถกุมารผู้เป็นเจ้านายเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว จึงเปิดหน้าต่างในปราสาทชั้น ๒ และชั้น ๓ เป็นต้นได้เป็นผู้ขวนขวายเพื่อจะดู.
               ฝ่ายพระเทวีพระมารดาของพระราหุล ทรงดำริว่า นัยว่า พระลูกเจ้าเสด็จเที่ยวไปในพระนครนี้แหละด้วยวอทองเป็นต้นโดยราชานุภาพยิ่งใหญ่ มาบัดนี้ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ถือกระเบื้องเสด็จเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว จะงามหรือหนอ จึงทรงเปิดพระแกลทอดพระเนตรดู ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังถนนในพระนครให้สว่าง ด้วยพระรัศมีแห่งพระสรีระอันเรืองรองด้วยแสงสีต่างๆ ไพโรจน์งดงามด้วยพุทธสิริอันหาอุปมามิได้ ประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สดใสด้วยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ตามประชิดล้อมรอบด้วยพระรัศมีด้านละวา จึงทรงชมเชยตั้งแต่พระอุณหิส (ได้แก่ส่วนที่เลยหน้าผากไป) จนถึงพื้นพระบาท ด้วยคาถาชื่อว่านรสีหคาถา ๑๐ คาถามีอาทิอย่างนี้ว่า
                 พระผู้นรสีหะ มีพระเกสาเป็นลอนอ่อนดำสนิท มีพื้นพระนลาตปราศจากมลทินดุจพระอาทิตย์ มีพระนาสิกโค้งอ่อนยาวพอเหมาะ มีข่ายพระรัศมีแผ่ซ่านไป ดังนี้.
               แล้วกราบทูลแด่พระราชาว่า พระโอรสของพระองค์เสด็จเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว.
               พระราชาสลดพระทัย เอาพระหัตถ์จัดผ้าสาฎกให้เรียบร้อย พลางรีบด่วนเสด็จออก รีบเสด็จดำเนินไปประทับยืนเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงกระทำหม่อมฉันให้ได้อาย เพื่ออะไรจึงเสด็จเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว ทำไมพระองค์จึงทรงกระทำความสำคัญว่า ภิกษุมีประมาณเท่านี้ไม่อาจได้ภัตตาหาร.
               พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร นี้เป็นการประพฤติตามวงศ์ของอาตมภาพ.
               พระราชาตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชื่อว่าวงศ์ของเราทั้งหลายเป็นวงศ์กษัตริย์มหาสมมตราช ก็วงศ์กษัตริย์มหาสมมตราชนี้ ย่อมไม่มีกษัตริย์สักพระองค์เดียว ชื่อว่าผู้เที่ยวไปเพื่อภิกษา.
               พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ชื่อว่าวงศ์กษัตริย์นี้ เป็นวงศ์ของพระองค์ ส่วนชื่อว่าพุทธวงศ์นี้ คือพระทีปังกร พระโกณฑัญญะ ฯลฯ พระกัสสปเป็นวงศ์ของอาตมภาพ ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านี้และอื่นๆ นับได้หลายพัน ได้สำเร็จการเลี้ยงพระชนมชีพด้วยการเที่ยวภิกขาจารเท่านั้น ทั้งที่ประทับยืนอยู่ในระหว่างถนนนั่นแล ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
                บุคคลไม่ควรประมาทในก้อนข้าวที่ตนพึงลุกขึ้นยืนรับ พึงประพฤติธรรมให้สุจริต บุคคลผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ดังนี้.
               ในเวลาจบพระคาถา พระราชาทรงดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล.
               ได้ทรงสดับคาถานี้ว่า
               บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึงประพฤติธรรมนั้นให้ทุจริต ผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ดังนี้.
               ได้ดำรงอยู่ในพระสกทาคามิผล.
               ทรงสดับ มหาธัมมปาลชาดก ได้ดำรงอยู่ในพระอนาคามิผล.
               ในสมัยใกล้จะสวรรคต ทรงบรรทมบนพระที่สิริไสยาสน์ภายใต้เศวตฉัตรนั้นแล ได้บรรลุพระอรหัต. กิจในการตามประกอบปธานความเพียรด้วยการอยู่ป่า มิได้มีแก่พระราชา.
               ก็พระราชานั้น ครั้นทรงกระทำให้แจ้งพระโสดาปัตติผลแล้วแล ทรงรับบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนำพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งบริษัทขึ้นสู่มหาปราสาท ทรงอังคาสด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต. ในเวลาเสร็จภัตกิจ นางสนมทั้งปวงพากันมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ยกเว้นพระมารดาพระราหุล.
               ก็พระมารดาพระราหุลนั้น แม้ปริวารชนจะกราบทูลว่า ขอพระองค์จงเสด็จไปถวายบังคมพระลูกเจ้า ก็ตรัสว่า ถ้าคุณความดีของเรามีอยู่ พระลูกเจ้าจักเสด็จมายังสำนักของเราด้วยพระองค์เอง พระองค์เสด็จมานั้นแหละ เราจึงจะถวายบังคม ครั้นตรัสดังนี้แล้วก็มิได้เสด็จไป.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระราชารับบาตรแล้ว ได้เสด็จไปยังห้องอันมีสิริของพระราชธิดา พร้อมกับพระอัครสาวกทั้งสองแล้ว ตรัสว่า พระราชธิดาเมื่อไหว้ตามชอบใจอยู่ ไม่ควรกล่าวอะไร แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดถวาย.
               พระราชธิดารีบเสด็จมาแล้วจับข้อพระบาท กลิ้งเกลือกพระเศียรที่หลังพระบาทแล้ว ถวายบังคมตามพระอัธยาศัย.
               พระราชาตรัสคุณสมบัติมีความรักและความนับถือมากเป็นต้นในพระผู้มีพระภาคเจ้า ของพระราชธิดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธิดาของหม่อมฉันได้สดับว่าพระองค์ทรงนุ่งห่มผ้ากาสายะ ตั้งแต่นั้นก็เป็นผู้นุ่งห่มผ้ากาสายะ ได้สดับว่าพระองค์เสวยพระกระยาหารหนเดียว ก็เป็นผู้เสวยภัตหนเดียวบ้าง ได้สดับว่าพระองค์ละเลิกที่นอนใหญ่ ก็บรรทมบนเตียงน้อยอันขึงด้วยแผ่นผ้า ทราบว่าพระองค์ทรงเว้นจากดอกไม้และของหอมเป็นต้น ก็งดเว้นดอกไม้และของหอมบ้าง เมื่อพระญาติทั้งหลายส่งข่าวมาว่า เราทั้งหลายจักปรนนิบัติ ก็มิได้เหลียวแลพระญาติเหล่านั้นแม้พระองค์เดียว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธิดาของหม่อมฉันเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติอย่างนี้.
               พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ข้อที่พระราชธิดาที่พระองค์รักษาอยู่ในบัดนี้ รักษาตนได้ในเมื่อญาณแก่กล้าแล้ว ไม่น่าอัศจรรย์ เมื่อก่อน พระราชธิดานี้ไม่มีการอารักขา เที่ยวอยู่ที่เชิงเขาก็ยังรักษาตนได้ ในเมื่อญาณทั้งที่ยังไม่แก่กล้า ดังนี้แล้วตรัส จันทกินรีชาดก แล้วทรงลุกขึ้นจากอาสนะเสด็จหลีกไป.
               ก็ในวันรุ่งขึ้น เมื่องานวิวาหมงคลเนื่องในการเสด็จเข้าพระตำหนักอภิเษกของนันทราชกุมารกำลังเป็นไปอยู่.
               พระศาสดาเสด็จไปยังตำหนักของนันทราชกุมารนั้น ทรงให้พระกุมารถือบาตร มีพระประสงค์จะให้บวช ตรัสเรื่องมงคลแล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จหลีกไป.
               นางชนบทกัลยาณีเห็นพระกุมารกำลังเสด็จไป จึงทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ขอพระองค์จงกลับมาโดยด่วน แล้วชะเง้อแลดู. นันทกุมารนั้นไม่อาจทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระองค์ทรงรับบาตร จึงได้เสด็จไปยังพระวิหารเหมือนกัน. นันทกุมารไม่ปรารถนาเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงให้บวชแล้ว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปเมืองกบิลพัสดุ์ ทรงให้นันทะบวชในวันที่ ๓ ด้วยประการฉะนี้.
               ในวันที่ ๗ แม้พระมารดาของพระราหุลก็ทรงแต่งองค์พระกุมารแล้วส่งไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า นี่แน่ะพ่อ เจ้าจงดูพระสมณะนั่นซึ่งมีวรรณแห่งรูปดังรูปพรหม มีวรรณดังทองคำ ห้อมล้อมด้วยสมณะสองหมื่นรูป พระสมณะนี้เป็นบิดาของเจ้า พระสมณะนั่นมีขุมทรัพย์ใหญ่ จำเดิมแต่พระสมณะนั้นออกบวชแล้ว แม่ไม่เห็นขุมทรัพย์เหล่านั้น เจ้าจงไปขอมรดกกะพระสมณะนั้นว่า ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์เป็น กุมาร ได้รับอภิเษกแล้วจักได้เป็นจักรพรรดิ ข้าพระองค์ต้องการทรัพย์ ขอพระองค์จงประทานทรัพย์แก่ข้าพระองค์ เพราะบุตรย่อมเป็นเจ้าของทรัพย์มรดกของบิดา และพระกุมารก็ได้ไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแล ได้ความรักในฐานเป็นบิดา มีจิตใจร่าเริง กราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ร่มเงาของพระองค์เป็นสุข แล้วได้ยืนตรัสถ้อยคำอื่นๆ และถ้อยคำอันสมควรแก่ตนเป็นอันมาก.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำภัตกิจแล้ว ตรัสอนุโมทนาเสร็จแล้ว ทรงลุกจากอาสนะเสด็จหลีกไป.
               ฝ่ายพระกุมารกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ขอพระองค์จงประทานทรัพย์มรดกแก่ข้าพระองค์ ข้าแต่พระสมณะ ขอพระองค์จงประทานทรัพย์มรดกแก่ข้าพระองค์ แล้วติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไป.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ให้พระกุมารกลับ แม้ปริวารชนก็ไม่อาจยังพระกุมารผู้เสด็จไปกับพระผู้มีพระภาคเจ้าให้กลับได้. พระกุมารนั้นได้ไปยังพระอารามนั้นแล พร้อมกับพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยประการดังนี้.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า กุมารนี้ปรารถนาทรัพย์อันเป็นของบิดาซึ่งเป็นไปตามวัฏฏะ มีแต่ความคับแค้น เอาเถอะ เราจะให้อริยทรัพย์ ๗ ประการซึ่งเราได้เฉพาะที่โพธิมัณฑ์แก่กุมารนี้ เราจะทำกุมารนั้นให้เป็นเจ้าของทรัพย์มรดกอันเป็นโลกุตระ จึงตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรมาว่า สารีบุตร ถ้าอย่างนั้น ท่านจงให้ราหุลกุมารบวช.
               พระเถระให้ราหุลกุมารนั้นบวชแล้ว ก็แหละเมื่อพระกุมารบวชแล้ว ความทุกข์มีประมาณยิ่งเกิดขึ้นแก่พระราชา. พระองค์เมื่อไม่อาจทรงอดกลั้นความทุกข์นั้นได้ จึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสขอพรว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังหม่อมฉันขอโอกาส พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายไม่พึงบวชบุตรที่บิดามารดายังไม่อนุญาต.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พรแก่ท้าวเธอ ในวันรุ่งขึ้นทรงกระทำภัตกิจในพระราชนิเวศน์ เมื่อพระราชาประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในคราวที่พระองค์ทรงทำทุกรกิริยา เทวดาตนหนึ่งเข้ามาหาหม่อมฉัน กล่าวว่า พระโอรสของพระองค์สวรรคตแล้ว หม่อมฉันไม่เชื่อคำของเทวดานั้นได้ห้ามเทวดานั้นว่า บุตรของเรายังไม่บรรลุพระสัมโพธิญาณจะยังไม่ตาย ดังนี้
               จึงตรัสว่า บัดนี้ พระองค์จักทรงเชื่อได้อย่างไร แม้ในกาลก่อน คนเอากระดูกมาแสดงแล้วกล่าวว่า บุตรของท่านตายแล้ว พระองค์ก็ยังไม่ทรงเชื่อ ดังนี้แล้วตรัส มหาธรรมปาลชาดก เพราะเหตุเกิดเรื่องนี้ขึ้น ในเวลาจบพระกถา พระราชาทรงดำรงอยู่ในอนาคามิผล.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระบิดาดำรงอยู่ในผลทั้ง ๓ ด้วยประการดังนี้แล้ว อันหมู่ภิกษุห้อมล้อมแล้วเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์อีก ทรงประทับอยู่ที่ป่าสีตวัน.

               สมัยนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีเอาเกวียน ๕๐๐ เล่มบรรทุกสินค้าไปยังกรุงราชคฤห์ ได้ไปยังเรือนของเศรษฐีผู้เป็นสหายรักของตน ได้สดับว่า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในกรุงราชคฤห์นั้น ในเวลาใกล้รุ่งจัดจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทางประตูที่เปิดด้วยเทวานุภาพ ฟังธรรมแล้วตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ในวันที่สองได้ถวายมหาทานแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ได้กราบทูลขอให้พระศาสดาทรงรับปฏิญญา เพื่อต้องการเสด็จมายังนครสาวัตถี ในระหว่างทางในที่ ๔๕ โยชน์ ได้ให้ทรัพย์หนึ่งแสนสร้างวิหารในที่ทุกๆ หนึ่งโยชน์ แล้วซื้อสวนของเจ้าเชตด้วยเงิน ๑๘ โกฏิ โดยเอาเงินโกฏิปูจนเต็มเนื้อที่ แล้วเริ่มการก่อสร้าง.
               ท่านอนาถบิณฑิกคหบดีนั้นให้สร้างวิหารอันเป็นที่รื่นรมย์ใจในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ ด้วยการบริจาคเงิน ๑๘ โกฏิ คือให้สร้างพระคันธกุฎีเพื่อพระทศพลในท่ามกลาง ให้สร้างเสนาสนะที่เหลือ เช่นกุฎีเดี่ยว กุฎีคู่ กุฎีทรงกลม ศาลาหลังยาว ศาลาสั้นและปะรำเป็นต้น และสระโบกขรณี ที่จงกรม ที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ในอาวาสอันเป็นที่อยู่แห่งหนึ่ง โดยแยกเป็นส่วนบุคคลสำหรับพระมหาเถระ ๘๐ รายล้อมพระคันธกุฎีนั้น เสร็จแล้วส่งทูตไปนิมนต์พระทศพลให้เสด็จมา.
               พระศาสดาทรงสดับคำของทูตนั้นแล้ว มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เสด็จถึงนครสาวัตถีโดยลำดับ.
               ฝ่ายท่านมหาเศรษฐีก็ตระเตรียมการฉลองพระวิหาร ในวันที่พระตถาคตเสด็จเข้าพระเชตวัน ได้แต่งตัวบุตรด้วยเครื่องประดับทุกอย่างแล้วส่งไปพร้อมกับกุมาร ๕๐๐ คนผู้ตกแต่งประดับประดาแล้วเหมือนกัน บุตรของเศรษฐีนั้นพร้อมด้วยบริวารถือธง ๕๐๐ คันอันเรืองรองด้วยผ้า ๕ สี อยู่ข้างหน้าของพระทศพล ธิดาของเศรษฐี ๒ คน คือนางมหาสุภัททาและนางจูฬสุภัททา พร้อมกับกุมาริกา ๕๐๐ นาง ถือหม้อเต็มน้ำ ออกเดินไปข้างหลังของกุมารเหล่านั้น ภริยาของเศรษฐีประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง พร้อมกับมาตุคาม ๕๐๐ นาง ถือถาดมีของเต็มออกเดินไปข้างหลังของกุมาริกาเหล่านั้น.
               ท่านมหาเศรษฐีนุ่งห่มผ้าใหม่พร้อมกับเศรษฐี ๕๐๐ คน ผู้นุ่งห่มด้วยผ้าใหม่เหมือนกัน มุ่งไปเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า เบื้องหลังของคนทั้งหมด.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำอุบาสกบริษัทนี้ไว้เบื้องหน้า อันภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม ทรงกระทำระหว่างป่าให้เป็นดุจราดรดด้วยการราดด้วยน้ำทอง ด้วยพระรัศมีจากพระสรีระของพระองค์ จึงเสด็จเข้าพระเชตวันวิหาร ด้วยพุทธลีลาอันหาที่สุดมิได้ ด้วยพุทธสิริอันหาประมาณมิได้.
               ลำดับนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะปฏิบัติในวิหารนี้อย่างไร?
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคหบดี ถ้าอย่างนั้นท่านจงให้ประดิษฐานวิหารนี้ เพื่อภิกษุสงฆ์ผู้อยู่ในทิศทั้ง ๔ ทั้งที่มาแล้วและยังไม่มา.
               ท่านมหาเศรษฐีรับพระพุทธฎีกาว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า แล้วถือเต้าน้ำทองคำหลั่งน้ำให้ตกลงเหนือพระหัตถ์ของพระทศพล แล้วได้ถวายด้วยคำว่า ข้าพระองค์ขอถวายพระเชตวันวิหารนี้แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานซึ่งอยู่ในทิศทั้ง ๔ ผู้มาแล้วและที่ยังไม่ได้มา.
               พระศาสดาทรงรับพระวิหารแล้ว เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนา ได้ตรัส อานิสงส์การถวายวิหาร ว่า
                เสนาสนะย่อมป้องกันความหนาวและความร้อน แต่นั้นย่อมป้องกันเนื้อร้าย งู ยุง น้ำค้างและฝน แต่นั้นย่อมป้องกันลมและแดดอันกล้า ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมบรรเทาไป. การถวายวิหารแก่สงฆ์เพื่อเร้นอยู่ เพื่อความสุข เพื่อเพ่งพิจารณาและเพื่อเห็นแจ้ง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า เป็นทานอันเลิศ. เพราะเหตุนั้นแล บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตน พึงสร้างวิหารอันรื่นรมย์ ถวายให้เป็นที่อยู่ในภิกษุผู้เป็นพหูสูตเถิด.
                 อนึ่ง พึงถวายข้าว น้ำ ผ้าและเสนาสนะแก่ท่านเหล่านั้นด้วยใจอันเลื่อมใสในท่านผู้ปฏิบัติตรง. เขาผู้ถวายวิหาร รู้ธรรมใดในโลกนี้แล้ว จะเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน ท่านเหล่านั้นย่อมแสดงธรรมนั้น อันเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวงแก่เขา.
               จำเดิมแต่วันที่สองไป ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เริ่มการฉลองวิหาร. การฉลองวิหารของนางวิสาขา ๔ เดือนเสร็จ ส่วนการฉลองวิหารของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ๙ เดือนเสร็จ. แม้ในการฉลองวิหารก็สิ้นทรัพย์ไปถึง ๑๘ โกฏิทีเดียว. เฉพาะวิหารอย่างเดียวเท่านั้น ท่านได้บริจาคทรัพย์นับได้ ๕๔ โกฏิ ด้วยประการฉะนี้.
               ก็ในอดีตกาล ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี เศรษฐีชื่อว่า ปุนัพพสุมิตตะ ซื้อที่โดยการปูลาดอิฐทองคำ สร้างสังฆารามประมาณหนึ่งโยชน์ ลงในที่นั้นนั่นแหละ.
               ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิขี เศรษฐีชื่อ สิริวัฑฒะ ซื้อที่โดยปูลาดผาลทองคำ แล้วให้สร้างสังฆารามมีประมาณ ๓ คาวุต ลงในที่นั้นนั่นแหละ.
               ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า เวสสภู เศรษฐีชื่อว่า โสตถิยะ ซื้อที่โดยปูลาดรอยเท้าช้างทองคำ แล้วสร้างสังฆารามมีประมาณกึ่งโยชน์ ลงในที่นั้นนั่นแหละ.
               ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ เศรษฐีชื่อว่า อัจจุตะ ซื้อที่โดยการปูลาดอิฐทองคำ แล้วสร้างสังฆารามมีประมาณหนึ่งคาวุต ลงในที่นั้นนั่นแหละ.
               ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ เศรษฐีชื่อว่า อุคคะ ซื้อที่โดยการปูลาดเต่าทองคำ แล้วสร้างสังฆารามมีประมาณกึ่งคาวุต ลงในที่นั้นนั่นแหละ.
               ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เศรษฐีชื่อว่า สุมังคละ ซื้อที่โดยการปูลาดไม้เท้าทองคำ แล้วสร้างสังฆารามมีประมาณ ๑๖ กรีส ลงในที่นั้นนั่นแหละ.
               แต่ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เศรษฐีชื่อว่า อนาถบิณฑิกะ ซื้อที่โดยการปูลาดทรัพย์โกฏิกหาปณะ แล้วสร้างสังฆารามมีประมาณ ๘ กรีส ลงในที่นั้นนั่นแหละ.
               ได้ยินว่า สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มิได้ทรงละเลยทีเดียว.
               ตั้งแต่บรรลุพระสัพพัญญุตญาณที่มหาโพธิมัณฑ์ จนกระทั่งถึงเตียงมหาปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ สถานที่ใดๆ สถานที่นี้นั้น พึงทราบว่า ชื่อว่า สันติเกนิทาน ด้วยประการฉะนี้.

               จบสันติเกนิทานกถา

  

ครั้นให้สำเร็จได้ด้วยอปทานที่เป็นฝ่ายกุศลแล้ว เพื่อที่จะให้พุทธาปทานนั้นนั่นแลพิสดารออกไป ด้วยอำนาจอปทานที่เป็นฝ่ายอกุศลบ้าง จึงตั้งหัวข้อปัญหาไว้ดังนี้ว่า

                  การทำทุกรกิริยา ๑ การกล่าวโทษ ๑ การด่าว่า ๑ การกล่าวหา ๑ การถูกศิลากระทบ ๑ การเสวยเวทนาจากสะเก็ดหิน ๑ การปล่อยช้างนาฬาคิรี ๑ การถูกผ่าตัดด้วยศาสตรา ๑ การปวดศีรษะ ๑ การกินข้าวแดง ๑ ความเจ็บปวดสาหัสที่กลางหลัง ๑ การลงโลหิต ๑ เหล่านี้เป็นเหตุฝ่ายอกุศล.
               บรรดาข้อปัญหาเหล่านั้น ปัญหาข้อที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
               การทำทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา ชื่อว่าทำทุกรกิริยา.
               ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพราหมณ์มาณพชื่อว่าโชติปาละ โดยที่เป็นชาติพราหมณ์จึงไม่เลื่อมใสในพระศาสนา เพราะวิบากของกรรมเก่าแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เขาได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ จึงได้กล่าวว่า การตรัสรู้ของสมณะโล้นจักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้เป็นของที่ได้โดยยากยิ่ง.
               เพราะวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงได้เสวยทุกข์มีนรกเป็นต้นหลายร้อยชาติ ถัดมาจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนั่นแหละ เขาทำชาติสงสารให้สิ้นไปด้วยกรรมที่ได้พยากรณ์ไว้นั้นนั่นแล ในตอนสุดท้ายได้อัตภาพเป็นพระเวสสันดร จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในภพดุสิต. จุติจากภพดุสิตนั้นด้วยการอาราธนาของเหล่าเทวดา บังเกิดในสักยตระกูล เพราะญาณแก่กล้าจึงละทิ้งราชสมบัติในสกลชมพูทวีปเสีย แล้วตัดกำพระเกศาให้มีปลายเสมอกัน ด้วยดาบที่ลับไว้อย่างดี ที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานที รับบริขาร ๘ อันสำเร็จด้วยฤทธิ์ซึ่งเกิดในกลีบปทุม ในเวลาที่กัปยังตั้งอยู่ซึ่งพระพรหมนำมาให้แล้วบรรพชา เพราะญาณทัสสนะคือพระโพธิญาณยังไม่แก่กล้าก่อน จึงไม่รู้จักทางและมิใช่ทางแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีสรีระเช่นกับเปรตผู้ไม่มีเนื้อและเลือด เหลือแต่กระดูก หนังและเอ็น ด้วยอำนาจที่บริโภคอาหารมื้อเดียว คำเดียว เป็นผู้เดียว ทางเดียว และนั่งผู้เดียว บำเพ็ญทุกรกิริยามหาปธานความเพียรใหญ่ โดยนัยดังกล่าวไว้ในปธานสูตรนั่นแล ณ อุรุเวลาชนบทถึง ๖ พรรษา.
               พระโพธิสัตว์นั้นนึกถึงทุกรกิริยานี้ว่า ไม่เป็นทางแห่งการตรัสรู้ จึงกลับเสวยอาหารประณีตในคาม นิคมและราชธานี มีอินทรีย์ผ่องใส มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ครบบริบูรณ์ เสด็จเข้าไปยังโพธิมัณฑ์โดยลำดับ ชนะมารทั้ง ๕ ได้เป็นพระพุทธเจ้า.
                ก็ในกาลนั้น เราได้เป็นพราหมณ์ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวกะพระกัสสปสุคตเจ้าว่า การตรัสรู้ของสมณะโล้นจักมีมาแต่ไหน การตรัสรู้เป็นของได้ยากยิ่ง. เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจึงต้องทำทุกรกิริยามากมายอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาถึง ๖ ปี จากนั้น จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ. เราไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุดโดยหนทางนั้น เราถูกกรรมเก่าห้ามไว้ จึงได้แสวงหาโดยทางผิด. เรามีบุญและบาปสิ้นไปหมดแล้ว เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพานแล.

               ในปัญหาข้อที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               การกล่าวยิ่ง คือการด่าว่า ชื่อว่าอัพภักขานะ.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลศูทร เป็นนักเลงชื่อมุนาฬิ ผู้ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีความชำนาญอะไรอาศัยอยู่.
               ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าสุรภิ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากไปถึงที่ใกล้ของเขาด้วยกิจบางอย่าง. เขาพอเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเท่านั้น ได้ด่าว่าด้วยคำเป็นต้นว่า สมณะนี้ทุศีล มีธรรมลามก. เพราะวิบากของอกุศลนั้น เขาจึงได้เสวยทุกข์ในนรกเป็นต้นหลายพันปี ในอัตภาพครั้งสุดท้ายนี้ ในตอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในภพดุสิต พวกเดียรถีย์ปรากฏขึ้นก่อน เที่ยวแสดงทิฏฐิ ๖๒ หลอกลวงประชาชนอยู่นั้น จึงได้จุติจากดุสิตบุรี บังเกิดในสกุลสักยราช แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับ. พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ เสมือนหิ่งห้อยในตอนพระอาทิตย์ขึ้น จึงผูกความอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้าเที่ยวไปอยู่.
               สมัยนั้น เศรษฐีในกรุงราชคฤห์ผูกตาข่ายในแม่น้ำคงคาแล้วเล่นอยู่ เห็นปุ่มไม้จันทน์แดงจึงคิดว่า ในเรือนของเรามีไม้จันทน์มากมาย จะให้เอาปุ่มไม้จันทน์แดงนี้เข้าเครื่องกลึง แล้วให้ช่างกลึงกลึงบาตรด้วยปุ่มไม้จันทน์แดงนั้น แล้วแขวนที่ไม้ไผ่ต่อๆ ลำกัน ให้ตีกลองป่าวร้องว่า ผู้ใดมาถือเอาบาตรใบนี้ได้ด้วยฤทธิ์ เราจักเป็นผู้จงรักภักดีต่อผู้นั้น.
               ในกาลนั้น พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่า บัดนี้ พวกเราฉิบหายแล้ว บัดนี้ พวกเราฉิบหายแล้ว นิครนถ์นาฏบุตรกล่าวกะบริษัทของตนอย่างนี้ เราจะไปใกล้ๆ ไม้ไผ่ ทำอาการดังว่าจะเหาะขึ้นในอากาศ พวกท่านจงจับบ่าเราแล้วห้ามว่า ท่านอย่ากระทำฤทธิ์เพราะอาศัยบาตรที่ทำด้วยไม้เผาผีเลย เดียรถีย์เหล่านั้นพากันไปอย่างนั้น แล้วได้กระทำเหมือนอย่างนั้น.
               ครั้งนั้น พระปิณโฑลภารทวาชะและพระโมคคัลลานะ ยืนอยู่บนยอดภูเขาหินประมาณ ๓ คาวุต กำลังห่มจีวรเพื่อต้องการจะรับบิณฑบาต ได้ยินเสียงโกลาหลนั้น. บรรดาพระเถระทั้งสองนั้น พระโมคคัลลานะได้กล่าวกะพระปิณโฑลภารทวาชะว่า ท่านจงเหาะไปเอาบาตรนั้น. พระปิณโฑลภารทวาชะนั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านเท่านั้นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเลิศของท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย ท่านนั่นแหละจงถือเอา. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านถูกพระโมคคัลลานะบังคับว่า ท่านนั่นแหละผมสั่งแล้ว จงถือเอาเถิด จึงทำภูเขาหินประมาณ ๓ คาวุตที่ตนยืนอยู่ ให้ติดที่พื้นเท้าแล้วให้ปกคลุมนครราชคฤห์เสียทั้งสิ้น เหมือนฝาปิดหม้อข้าวฉะนั้น.
               ครั้งนั้น ชนชาวพระนครแลเห็นพระเถระนั้น ดุจด้ายแดงที่ร้อยในภูเขาแก้วผลึก พากันตะโกนว่า ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ขอท่านจงคุ้มครองพวกกระผมด้วย ต่างก็กลัว จึงได้เอากระด้งเป็นต้นกั้นไว้เหนือศีรษะ. ทีนั้น พระเถระได้ปล่อยภูเขานั้นลงไว้ในที่ที่ตั้งอยู่แล้วไปด้วยฤทธิ์ถือเอาบาตรนั้นมา.
               ครั้งนั้น ชนชาวพระนครได้กระทำความโกลาหลดังขึ้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ในพระเวฬุวนาราม ได้ทรงสดับเสียงนั้น จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า นั้นเสียงอะไร? พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะพระภารทวาชะถือเอาบาตรมาได้ ชนชาวพระนครจึงยินดีได้กระทำเสียงโห่ร้อง.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อที่จะทรงปลดเปลื้องการกล่าวร้ายผู้อื่นต่อไป จึงทรงให้นำบาตรนั้นมาทุบให้แตก แล้วทำการบดให้ละเอียดสำหรับเป็นยาหยอดตา แล้วทรงให้แก่ภิกษุทั้งหลาย ก็แหละครั้นทรงให้แล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ควรทำการแสดงฤทธิ์ ภิกษุใดทำ ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏ.
               ลำดับนั้น เดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวกันว่า ข่าวว่าพระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย สาวกเหล่านั้นย่อมไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่บัญญัติไว้นั้น แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต พวกเราจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ จึงพากันเป็นหมวดหมู่ทำความโกลาหลอยู่ในที่นั้นๆ.
               ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับดังนั้น จึงเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงไหว้แล้วประทับนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกเดียรถีย์ป่าวร้องว่าจักทำอิทธิปาฏิหาริย์.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร แม้อาตมภาพก็จักทำ.
               พระราชาตรัสถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลายไว้แล้วมิใช่หรือ พระเจ้าข้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร อาตมภาพจักถามเฉพาะพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงตั้งสินไหมสำหรับผู้กินผลมะม่วงเป็นต้นในอุทยานของพระองค์ว่า สินไหมมีประมาณเท่านี้ แม้สำหรับพระองค์ก็ทรงตั้งรวมเข้าด้วยหรือ.
               พระราชาทูลว่า ไม่มีสินไหมสำหรับข้าพระองค์ พระเจ้าข้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่างนั้น มหาบพิตร สิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้ว ย่อมไม่มีสำหรับอาตมภาพ.
               พระราชาตรัสถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปาฏิหาริย์จักมีที่ไหน พระเจ้าข้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ที่โคนต้นคัณฑามพพฤกษ์ ใกล้เมืองสาวัตถี มหาบพิตร.
               พระราชาตรัสว่า ดีละ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายจักคอยดูปาฏิหาริย์นั้น.
               ลำดับนั้น พวกเดียรถีย์ได้ฟังว่า นัยว่าปาฏิหาริย์จักมีที่โคนต้นคัณฑามพพฤกษ์ จึงให้ตัดต้นมะม่วงรอบๆ พระนคร. ชาวพระนครทั้งหลายจึงพากันผูกมัดเตียงซ้อนๆ กัน และหอคอยเป็นต้น ในสถานที่อันเป็นลานใหญ่ ชาวชมพูทวีปเป็นกลุ่มๆ ได้ยืนแผ่ขยายไปตลอด ๑๒ โยชน์ เฉพาะในทิศตะวันออก แม้ในทิศที่เหลือ ก็ประชุมกันอยู่โดยอาการอันสมควรแก่สถานที่นั้น.
               ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อกาลเวลาถึงเข้าแล้ว ในวันเพ็ญเดือน ๘ ทรงทำกิจที่ควรทำให้เสร็จแต่เช้าตรู่ แล้วเสด็จไปยังที่นั้นประทับนั่งอยู่แล้ว.
               ขณะนั้น นายคนเฝ้าอุทยานชื่อว่าคัณฑะ เห็นมะม่วงสุกดีในรังมดแดง จึงคิดว่า ถ้าเราจะถวายมะม่วงนี้แก่พระราชา ก็จะได้ทรัพย์อันเป็นสาระมีกหาปณะเป็นต้น แต่เมื่อน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า สมบัติในโลกนี้และโลกหน้าก็จักเกิดมี ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับมะม่วงนั้นแล้ว ดำรัสสั่งพระอานนทเถระว่า เธอจงคั้นผลมะม่วงนี้ทำให้เป็นน้ำปานะ. พระเถระได้กระทำตามพระดำรัสแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดื่ม (น้ำ) ผลมะม่วงแล้ว ประทานเมล็ดมะม่วงแก่นายคนเฝ้าอุทยานแล้วตรัสว่า จงเพาะเมล็ดมะม่วงนี้. นายอุยยานบาลนั้นจึงคุ้ยทรายแล้วเพาะเมล็ดมะม่วงนั้น พระอานนทเถระเอาคนโทตักน้ำรด. ขณะนั้น หน่อมะม่วงก็งอกขึ้นมา เมื่อมหาชนเห็นอยู่นั่นแหละ ก็ปรากฏเต็มไปด้วยกิ่ง ค่าคบ ดอก ผลและใบอ่อน. ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นเคี้ยวกินผลมะม่วงที่หล่นลงมา ไม่อาจให้หมดสิ้นได้.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนิรมิตรัตนจงกรมบนยอดเขามหาเมรุในจักรวาลนี้ จากจักรวาลทิศตะวันออกจนกระทั่งถึงจักรวาลทิศตะวันตก เมื่อจะทรงยังบริษัทมิใช่น้อยให้บันลือสีหนาท จึงทรงกระทำมหาอิทธิปาฏิหาริย์ โดยนัยดังกล่าวแล้วใน อรรถกถาธรรมบท ทรงย่ำยีพวกเดียรถีย์ทำให้พวกเขาถึงประการอันผิดแผกไปต่างๆ ในเวลาเสร็จปาฏิหาริย์ ได้เสด็จไปยังภพดาวดึงส์ โดยพุทธจริยาที่พระพุทธเจ้าในปางก่อนทรงประพฤติมาแล้ว ทรงจำพรรษาอยู่ในภพดาวดึงส์นั้น ทรงแสดงพระอภิธรรมติดต่อกันตลอดไตรมาส ทรงทำเทวดามิใช่น้อยมีพระมารดาเป็นประธาน ให้บรรลุพระโสดาปัตติมรรค ออกพระพรรษาแล้วเสด็จลงจากเทวโลก อันหมู่เทวดาและพรหมมิใช่น้อยห้อมล้อม เสด็จลงยังประตูเมืองสังกัสสะ ได้ทรงกระทำการอนุเคราะห์ชาวโลกแล้ว.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีลาภสักการะท่วมท้นท่ามกลางชมพูทวีป ประดุจแม่น้ำใหญ่ ๕ สาย (คือ คงคา อจิรวดี ยมุนา สรภู มหี) ฉะนั้น.
               ครั้งนั้น พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ เป็นทุกข์ เสียใจ คอตก นั่งก้มหน้าอยู่. ในกาลนั้น อุบาสิกาของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น ชื่อ นางจิญจมาณวิกา ถึงความเป็นผู้เลอเลิศด้วยรูปโฉม เห็นพวกเดียรถีย์เหล่านั้นนั่งอยู่อย่างนั้น จึงถามว่า ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุไร ท่านทั้งหลายจึงนั่งเป็นทุกข์ เสียใจอยู่อย่างนี้?
               พวกเดียรถีย์กล่าวว่า น้องหญิง ก็เพราะเหตุไรเล่า เธอจึงได้เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย.
               นางจิญจมาณวิกาถามว่า มีเหตุอะไร ท่านผู้เจริญ. เดียรถีย์กล่าวว่า ดูก่อนน้องหญิง จำเดิมแต่กาลที่พระสมณโคดมเกิดขึ้นมา พวกเราเสื่อมลาภสักการะหมด ชาวพระนครไม่สำคัญอะไรๆ พวกเรา. นางจิญจมาณวิกาถามว่า ในเรื่องนี้ ดิฉันควรจะทำอะไร. เดียรถีย์ตอบว่า เธอควรจะยังโทษมิใช่คุณให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม.
               นางจิญจมาณวิกานั้นกล่าวว่า ข้อนั้นไม่เป็นการหนักใจสำหรับดิฉัน ดังนี้แล้ว เมื่อจะทำความอุตสาหะในการนั้น จึงไปยังพระเชตวันวิหารในเวลาวิกาล แล้วอยู่ในสำนักของพวกเดียรถีย์ ครั้นตอนเช้า ในเวลาที่ชนชาวพระนครถือของหอมเป็นต้นไปเพื่อจะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงออกมา ทำทีเหมือนออกจากพระเชตวันวิหาร ถูกถามว่านอนที่ไหน จึงกล่าวว่าประโยชน์อะไรด้วยที่ที่เรานอนแก่พวกท่าน ดังนี้ แล้วก็หลีกไปเสีย.
               เมื่อกาลเวลาดำเนินไปโดยลำดับ นางถูกถามแล้วกล่าวว่า เรานอนในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดมแล้วออกมา พวกปุถุชนผู้เขลาเชื่อดังนั้น บัณฑิตทั้งหลายมีพระโสดาบันเป็นต้นไม่เชื่อ.
               วันหนึ่ง นางผูกท่อนไม้กลมไว้ที่ท้องแล้วนุ่งผ้าแดงทับไว้ แล้วไปกล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประทับนั่งเพื่อทรงแสดงธรรมแก่บริษัทพร้อมทั้งพระราชาอย่างนี้ว่า พระสมณะผู้เจริญ ท่าน (มัวแต่) แสดงธรรม ไม่จัดแจงกระเทียมและพริกเป็นต้น เพื่อเราผู้มีครรภ์ทารกที่เกิดเพราะอาศัยท่าน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนน้องหญิง ท่านกับเราเท่านั้นย่อมรู้ภาวะอันจริงแท้. นางจิญจมาณวิกากล่าวว่า อย่างนั้นทีเดียว เรากับท่าน ๒ คนเท่านั้น ย่อมรู้คราวที่เกี่ยวข้องกันด้วยเมถุน คนอื่นย่อมไม่รู้.
               ขณะนั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะแสดงอาการเร่าร้อน. ท้าวสักกะทรงรำพึงอยู่ ทรงรู้เหตุนั้น จึงตรัสสั่งเทวบุตร ๒ องค์ว่า บรรดาท่านทั้งสอง องค์หนึ่งนิรมิตเพศเป็นหนู กัดเครื่องผูกท่อนไม้กลมของนางให้ขาด องค์หนึ่งทำมณฑลของลมให้ตั้งขึ้น พัดผ้าที่นางห่มให้เวิกขึ้นเบื้องบน. เทวบุตรทั้งสองนั้นได้ไปกระทำอย่างนั้นแล้ว. ท่อนไม้กลมตกลง ทำลายหลังเท้าของนางแตก.
               ปุถุชนทั้งหลายผู้ประชุมกันอยู่ในโรงธรรมสภา ทั้งหมดพากันกล่าวว่า เฮ้ย! นางโจรร้าย เจ้าได้ทำการกล่าวหาความเห็นปานนี้ แก่พระผู้เป็นเจ้าของโลกทั้ง ๓ ผู้เห็นปานนี้ แล้วต่างลุกขึ้นเอากำปั้นประหารคนละที นำออกไปจากที่ประชุม.
               เมื่อนางล่วงพ้นไปจากทัสสนะคือการเห็นของพระผู้มีพระภาคเจ้า แผ่นดินได้ให้ช่อง. ขณะนั้น เปลวไฟจากอเวจีนรกตั้งขึ้น หุ้มห่อนางเหมือนหุ้มด้วยผ้ากัมพลแดงที่ตระกูลให้ แล้วซัดลงไปในอเวจีนรก.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีลาภสักการะอย่างล้นเหลือ.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
                พระพุทธเจ้าผู้ทรงครอบงำสิ่งทั้งปวง มีสาวกชื่อว่านันทะ เรากล่าวตู่พระสาวกชื่อว่านันทะนั้น จึงได้ท่องเที่ยวไปในนรกสิ้นกาลนาน. เราท่องเที่ยวไปในนรกตลอดกาลนานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้รับการกล่าวตู่มากมาย. เพราะกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมาณวิกาได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริงต่อหน้าหมู่ชน.
               ในปัญหาข้อที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               การกล่าวยิ่ง คือการด่า ชื่อว่า อัพภักขานะ.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดที่ไม่ปรากฏชื่อเสียง เป็นนักเลงชื่อว่า มุนาฬิ เพราะกำลังแรงที่คลุกคลีกับคนชั่ว จึงได้ด่าพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า สุรภิ ว่า ภิกษุนี้ทุศีล มีธรรมอันลามก. เพราะวจีกรรมอันเป็นอกุศลนั้น พระโพธิสัตว์นั้นไหม้อยู่ในนรกหลายพันปี ในอัตภาพครั้งสุดท้ายนี้ เกิดเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยกำลังแห่งความสำเร็จบารมี ๑๐ ได้เป็นผู้ถึงลาภอันเลิศและยศอันเลิศ.
               พวกเดียรถีย์กลับเกิดความอุตสาหะขึ้นอีก คิดกันว่า พวกเราจักยังโทษมิใช่ยศ ให้เกิดแก่พระสมณโคดมได้อย่างไรหนอ พากันนั่งเป็นทุกข์เสียใจ.
               ครั้งนั้น ปริพาชิกาผู้หนึ่งชื่อว่า สุนทรี เข้าไปหาเดียรถีย์เหล่านั้นไหว้แล้วยืนอยู่ เห็นเดียรถีย์ทั้งหลายพากันนิ่งไม่พูดอะไร จึงถามว่า ดิฉันมีโทษอะไรหรือ?
               พวกเดียรถีย์กล่าวว่า พวกเราถูกพระสมณโคดมเบียดเบียนอยู่ ท่านกลับมีความขวนขวายน้อยอยู่ ข้อนี้เป็นโทษของท่าน.
               นางสุนทรีกล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น ดิฉันจักกระทำอย่างไรในข้อนั้น.
               เดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวว่า ท่านจักอาจหรือที่จะทำโทษมิใช่คุณให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม. นางสุนทรีกล่าวว่า จักอาจซิ พระผู้เป็นเจ้า. ครั้นกล่าวแล้ว จำเดิมแต่นั้นมา ก็กล่าวแก่พวกคนที่ได้พบเห็นว่า ตนนอนในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดมแล้วจึงออกมา ดังนี้โดยนัยดังกล่าวมาแล้วด่าบริภาษอยู่. ฝ่ายพวกเดียรถีย์ก็ด่าบริภาษอยู่ว่า ผู้เจริญทั้งหลายจงเห็นกรรมของพระสมณโคดม.
               สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
                ในชาติอื่นๆ ในครั้งก่อน เราเป็นนักเลงชื่อว่ามุนาฬิ ได้กล่าวตู่พระสุรภิปัจเจกพุทธเจ้าผู้ไม่ประทุษร้าย. เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจึงท่องเที่ยวไปในนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี. ด้วยเศษกรรมที่เหลือนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนทรี.
               ในปัญหาข้อที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               การด่า การบริภาษโดยยิ่ง คือโดยพิเศษ ชื่อว่า อัพภักขานะ.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นผู้ศึกษาเล่าเรียนมาก คนเป็นอันมากสักการบูชา ได้บวชเป็นดาบส มีรากเหง้าและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร สอนมนต์พวกมาณพจำนวนมาก สำเร็จการอยู่ในป่าหิมพานต์. ดาบสรูปหนึ่งได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ได้มายังสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น.
               พระโพธิสัตว์นั้นพอเห็นพระดาบสนั้นเท่านั้น ถูกความริษยาครอบงำ ได้ด่าว่าพระฤาษีผู้ไม่ประทุษร้ายนั้นว่า ฤาษีนี้หลอกลวง บริโภคกาม และบอกกะพวกศิษย์ของตนว่า ฤาษีนี้เป็นผู้ไม่มีอาจาระเห็นปานนี้.
               ฝ่ายศิษย์เหล่านั้นก็พากันด่า บริภาษอย่างนั้นเหมือนกัน.
               ด้วยวิบากของอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงได้เสวยทุกข์ในนรกอยู่พันปี ในอัตภาพหลังสุดนี้ ได้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ ปรากฏดุจพระจันทร์เพ็ญในอากาศฉะนั้น.
               แม้ด้วยการด่าว่าถึงอย่างนั้น พวกเดียรถีย์ก็ยังไม่พอใจ ให้นางสุนทรีทำการด่าว่าอีก ให้เรียกพวกนักเลงสุรามาให้ค่าจ้างแล้วสั่งว่า พวกท่านจงฆ่านางสุนทรีแล้วปิดด้วยขยะดอกไม้ในที่ใกล้ประตูพระเชตวัน พวกนักเลงสุราเหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้น แต่นั้น พวกเดียรถีย์จึงกราบทูลแก่พระราชาว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่พบเห็นนางสุนทรี.
               พระราชารับสั่งว่า พวกท่านจงค้นดู เดียรถีย์เหล่านั้นจึงเอามาจากที่ที่ตนให้โยนไว้แล้วยกขึ้นสู่เตียงน้อยแสดงแก่พระราชา แล้วเที่ยวโฆษณาโทษของพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ในพระนครทั้งสิ้นว่า ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายจงเห็นการกระทำของพระสมณโคดมและของพวกสาวก. แล้ววางนางสุนทรีไว้บนแคร่ในป่าช้าผีดิบ.
               พระราชารับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงค้นหาคนฆ่านางสุนทรี.
               ครั้งนั้น พวกนักเลงดื่มสุราแล้วทำการทะเลาะกันว่า เจ้าฆ่านางสุนทรี เจ้าฆ่า.
               ราชบุรุษทั้งหลาย จึงจับพวกนักเลงเหล่านั้นแสดงแก่พระราชา พระราชาตรัสถามว่า แน่ะพนาย พวกเจ้าฆ่านางสุนทรีหรือ? นักเลงเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ. พระราชาตรัสถามว่า พวกใครสั่ง? นักเลงทูลว่า พวกเดียรถีย์สั่ง พระเจ้าข้า. พระราชาจึงให้นำพวกเดียรถีย์มาแล้วให้จองจำพันธนาการแล้วรับสั่งว่า แน่ะพนาย พวกเจ้าจงไปป่าวร้องว่า เราทั้งหลายให้ฆ่านางสุนทรีเองแหละ โดยความจะให้เป็นโทษแก่พระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าและสาวกทั้งหลายของพระองค์ไม่ได้เป็นผู้กระทำ. พวกเดียรถีย์ได้กระทำอย่างนั้นแล้ว.
               ชาวพระนครทั้งสิ้นต่างเป็นผู้หมดความสงสัย. พระราชาทรงให้ฆ่าพวกเดียรถีย์และพวกนักเลงแล้วให้ทิ้งไป. แต่นั้น ลาภสักการะเจริญพอกพูนแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยยิ่งกว่าประมาณ.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
                 เราเป็นพราหมณ์เรียนจบแล้ว เป็นผู้อันมหาชนสักการะบูชา ได้สอนมนต์กะมาณพ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่. พระฤาษีผู้กล้า สำเร็จอภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในที่นี้นั้น และเราได้เห็นพระฤาษีนั้นมาแล้ว ได้กล่าวตู่ว่าท่านผู้ไม่ประทุษร้าย. แต่นั้น เราได้บอกกะศิษย์ทั้งหลายว่า ฤาษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม แม้เมื่อเราบอกอยู่ มาณพทั้งหลายก็พลอยยินดีตาม. แต่นั้น มาณพทุกคนเที่ยวภิกขาไปทุกๆ ตระกูล ก็บอกกล่าวแก่มหาชนว่า ฤาษีนี้บริโภคกาม. เพราะวิบากของกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้จึงได้รับการกล่าวตู่ด้วยกันทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทรี.
               ปัญหาข้อที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               บทว่า สิลาเวโธ ได้แก่ ผู้มีจิตอันโทสะกระทบแล้ว กลิ้งศิลาทับ.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์และน้องชายเป็นลูกพ่อเดียวกัน เมื่อบิดาล่วงลับไปแล้ว พี่น้องทั้งสองนั้นทำการทะเลาะกัน เพราะอาศัยพวกทาส จึงได้คิดร้ายกันและกัน พระโพธิสัตว์กดทับน้องชายไว้ด้วยความที่ตนเป็นผู้มีกำลัง แล้วกลิ้งหินทับลงเบื้องบนน้องชายนั้น.
               เพราะวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้เสวยทุกข์ในนรกเป็นต้นหลายพันปี ในอัตภาพหลังสุดนี้ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า. พระเทวทัตผู้เป็นพระมาตุลาของพระราหุลกุมาร ในชาติก่อนได้เป็นพ่อค้ากับพระโพธิสัตว์ ในครั้งเป็นพ่อค้าชื่อว่าเสริพาณิช พ่อค้าทั้งสองนั้นไปถึงปัฏฏนคาม บ้านอันตั้งอยู่ใกล้ท่าแห่งหนึ่ง จึงตกลงกันว่า ท่านจงถือเอาถนนสายหนึ่ง แม้เราก็จะถือเอาถนนสายหนึ่ง แล้วทั้งสอง คนก็เข้าไป.
               บรรดาคนทั้งสองนั้น ในถนนสายที่พระเทวทัตเข้าไปได้มีคน ๒ คนเท่านั้น คือภรรยาของเศรษฐีเก่าคนหนึ่ง หลานสาวคนหนึ่ง ถาดทองใบใหญ่ของคนทั้งสองนั้นถูกสนิมจับ เป็นของที่เขาวางปนไว้ในระหว่างภาชนะ.
               ภรรยาของเศรษฐีเก่านั้นไม่รู้ว่าภาชนะทอง จึงกล่าวกะท่านเทวทัตนั้นว่า ท่านจงเอาถาดใบนี้ไปแล้วจงให้เครื่องประดับมา.
               เทวทัตนั้นจับถาดใบนั้นแล้วเอาเข็มขีดดู รู้ว่าเป็นถาดทอง แล้วคิดว่า เราจักให้นิดหน่อยแล้วถือเอา จึงไปเสีย.
               ลำดับนั้น หลานสาวเห็นพระโพธิสัตว์มายังที่ใกล้ประตู จึงกล่าวว่า ข้าแต่แม่เจ้า ขอท่านจงให้เครื่องประดับกัจฉปุฏะ แก่ดิฉัน. ภรรยาเศรษฐีเท่านั้นจึงให้เรียกพระโพธิสัตว์นั้นมา ให้นั่งลงแล้วจึงให้ภาชนะนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ท่านจงถือเอาภาชนะนี้แล้วจงให้เครื่องประดับกัจฉปุฏะ แก่หลานสาวของข้าพเจ้า.
               พระโพธิสัตว์จับภาชนะนั้น รู้ว่าเป็นภาชนะทอง และรู้ว่านางถูกเทวทัตนั้นลวง จึงเก็บ ๘ กหาปณะไว้ในถุงเพื่อตน และให้สินค้าที่เหลือ ให้ประดับเครื่องประดับกัจฉปุฏะ ที่มือของนางกุมาริกาแล้วก็ไป.
               พ่อค้านั้นหวนกลับมาถามอีก.
               ภรรยาเศรษฐีนั้นกล่าวว่า นี่แน่ะพ่อ ท่านไม่เอา บุตรของเราให้สิ่งนี้ๆ แล้วถือเอาถาดใบนั้นไปเสียแล้ว. พ่อค้านั้นพอได้ฟังดังนั้น มีหทัยเหมือนจะแตกออก จึงวิ่งติดตามไป. พระโพธิสัตว์ขึ้นเรือแล่นไปแล้ว. พ่อค้านั้นกล่าวว่า หยุด! อย่าหนี อย่าหนี แล้วได้ทำความปรารถนาว่า เราพึงสามารถทำให้มันฉิบหายในภพที่เกิดแล้วๆ.
               ด้วยอำนาจความปรารถนา พ่อค้านั้นเบียดเบียนกันและกันหลายแสนชาติ ในอัตภาพนี้ บังเกิดในสักยตระกูล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ แล้วประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์โดยลำดับ ได้ไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกับเจ้าอนุรุทธะเป็นต้นแล้วบวช เป็นผู้ได้ฌานปรากฏแล้ว ทูลขอพรพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์ทั้งปวงจงสมาทานธุดงค์ ๑๓ มีเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรเป็นต้น ภิกษุสงฆ์ทั้งสิ้นจงเป็นภาระของข้าพระองค์.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต พระเทวทัตผูกเวร จึงเสื่อมจากฌาน ต้องการจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า. วันหนึ่ง ยืนอยู่เบื้องบน พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับยืนอยู่ที่เชิงเขาเวภาระ (ที่อื่นเป็นเขาคิชฌกูฏ) กลิ้งยอดเขาลงมา ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยอดเขายอดอื่นรับเอายอดเขานั้นที่กำลังตกลงมา. สะเก็ดหินที่ตั้งขึ้นเพราะยอดเขาเหล่านั้นกระทบกัน ปลิวมากระทบหลังพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
                เมื่อชาติก่อน เราฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ เราใส่ลงในซอกหิน และบดขยี้ด้วยหิน เพราะวิบากของกรรมนั้น พระเทวทัตจึงกลิ้งหิน ก้อนหินบดขยี้นิ้วหัวแม่เท้าของเรา.
               ปัญหาข้อที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               สะเก็ดหินกระทบ ชื่อว่า สกลิกาเวธะ.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่ง ในเวลาเป็นเด็ก กำลังเล่นอยู่ที่ถนนใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในถนนคิดว่า สมณะโล้นนี้จะไปไหน จึงถือเอาสะเก็ดหินขว้างไปที่หลังเท้าของท่าน. หนังหลังเท้าขาด โลหิตไหลออก.
               เพราะกรรมอันลามกนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้เสวยทุกข์อย่างมหันต์ในนรกหลายพันปี แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้เกิดการห้อพระโลหิตขึ้น เพราะสะเก็ดหินกระทบที่หลังพระบาท ด้วยอำนาจกรรมเก่า.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
                ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในหนทาง จึงขว้างสะเก็ดหินใส่. เพราะวิบากของกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงประกอบนายขมังธนูเพื่อฆ่าเรา.
               ปัญหาข้อที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               ช้างธนปาลกะที่เขาส่งไปเพื่อต้องการให้ฆ่า ชื่อว่า ช้างนาฬาคิรี.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นคนเลี้ยงช้าง ขึ้นช้างเที่ยวไปอยู่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในหนทางใหญ่ คิดว่า คนหัวโล้นมาจากไหน เป็นผู้มีจิตถูกโทสะกระทบแล้ว เกิดเป็นดุจตะปูตรึงใจ ได้ทำช้างให้ขัดเคือง.
               ด้วยกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้เสวยทุกข์ในอบายหลายพันปี ในอัตภาพหลังสุดได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า. พระเทวทัตกระทำพระเจ้าอชาตศัตรูให้เป็นสหายแล้วให้สัญญากันว่า มหาบพิตร พระองค์ปลงพระชนม์พระบิดาแล้วจงเป็นพระราชา อาตมภาพฆ่าพระพุทธเจ้าแล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้
               อยู่มาวันหนึ่ง ไปยังโรงช้างตามที่พระราชาทรงอนุญาต แล้วสั่งคนเลี้ยงช้างว่า พรุ่งนี้ ท่านจงให้ช้างนาฬาคิรีดื่มเหล้า ๑๖ หม้อ แล้วจงปล่อยไปในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต.
               พระนครทั้งสิ้นได้มีเสียงเอิกเกริกมากมาย. ชนทั้งหลายกล่าวกันว่า เราจักดูการต่อยุทธ์ของนาคคือช้าง กับนาคคือพระพุทธเจ้า ดังนี้แล้วพากันผูกเตียงและเตียงซ้อน ในถนนหลวง จากด้านทั้งสอง แล้วประชุมกันแต่เช้าตรู่.
               ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระแล้ว อันหมู่ภิกษุห้อมล้อมเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์.
               ขณะนั้น พวกคนเลี้ยงช้างปล่อยช้างนาฬาคิรี โดยทำนองที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. ช้างนาฬาคิรีทำลายถนนและทางสี่แพร่งเป็นต้นเดินมา.
               ครั้งนั้น หญิงผู้หนึ่งพาเด็กเดินข้ามถนน ช้างเห็นหญิงนั้นจึงไล่ติดตาม. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นี่แน่ะนาฬาคิรี เธอถูกเขาส่งมาเพื่อจะฆ่าหญิงนั้นก็หามิได้ เธอจงมาทางนี้. ช้างนั้นได้ฟังเสียงนั้นแล้ว ก็วิ่งบ่ายหน้ามุ่งไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแผ่เมตตาอันควรแก่การแผ่ในจักรวาล อันหาประมาณมิได้ ในสัตว์อันหาที่สุดมิได้ ไปในช้างนาฬาคิรีตัวเดียวเท่านั้น. ช้างนาฬาคิรีนั้นอันพระเมตตาของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกต้องแล้ว กลายเป็นช้างที่ไม่มีภัย หมอบลงแทบบาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางพระหัตถ์ลงบนกระหม่อมของช้างนาฬาคิรีนั้น.
               ครั้งนั้น เทวดาและพรหมเป็นต้นเกิดจิตอัศจรรย์ไม่เคยเป็น จึงพากันบูชาด้วยดอกไม้และเกสรดอกไม้เป็นต้น ในพระนครทั้งสิ้น ได้มีกองทรัพย์ประมาณถึงเข่า. พระราชารับสั่งให้เที่ยวตีกลองป่าวร้อง ทรัพย์ที่ประตูด้านทิศตะวันตกจงเป็นของชาวพระนคร ทรัพย์ที่ประตูด้านทิศตะวันออกจงนำเข้าท้องพระคลังหลวง. คนทั้งปวงกระทำอย่างนั้นแล้ว.
               ในครั้งนั้น ช้างนาฬาคิรีได้มีชื่อว่าธนบาล. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปยังพระเวฬุวนาราม.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
                ในกาลก่อน เราได้เป็นนายควาญช้าง ได้ทำช้างให้โกรธพระปัจเจกมุนีผู้สูงสุด ผู้กำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่นั้น. เพราะวิบากของกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีตัวดุร้ายหมุนเข้ามาประจัญในบุรีอันประเสริฐ ชื่อว่า คิริพพชะ คือกรุงราชคฤห์.
               ปัญหาข้อที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               การผ่าฝีด้วยศาสตรา คือตัดด้วยผึ่ง ด้วยศาสตราชื่อว่า สัตถัจเฉทะ.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชาในปัจจันตประเทศ พระโพธิสัตว์นั้นเป็นนักเลงด้วยอำนาจการคลุกคลีกับคนชั่วและด้วยอำนาจการอยู่ในปัจจันตประเทศ เป็นคนหยาบช้า.
               อยู่มาวันหนึ่ง ถือมีดเดินเท้าเปล่า เที่ยวไปในเมือง ได้เอามีดฆ่าฟันคนผู้ไม่มีความผิดได้ไปแล้ว.
               ด้วยวิบากของกรรมอันลามกนั้น พระโพธิสัตว์นั้นไหม้ในนรกหลายพันปี เสวยทุกข์ในทุคติมีสัตว์เดียรัจฉานเป็นต้น ด้วยวิบากที่เหลือ ในอัตภาพหลังสุดแม้ได้เป็นพระพุทธเจ้า หนังก็ได้เกิดห้อพระโลหิตขึ้น เพราะก้อนหินที่พระเทวทัตกลิ้งใส่กระทบเอา โดยนัยดังกล่าวในหนหลัง.
               หมอชีวกผ่าหนังที่บวมขึ้นนั้นด้วยจิตเมตตา. การทำพระโลหิตให้ห้อขึ้นของพระเทวทัตผู้มีจิตเป็นข้าศึก ได้เป็นอนันตริยกรรม. การผ่าหนังที่บวมขึ้นของหมอชีวกผู้มีจิตเมตตา ได้เป็นบุญอย่างเดียว.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
                เราเป็นคนเดินเท้า ฆ่าคนทั้งหลายด้วยหอก ด้วยวิบากของกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อยู่ในนรกอย่างรุนแรง. ด้วยเศษของกรรมนั้น มาบัดนี้เขาจึงตัดหนังที่เท้าของเราเสียสิ้น เพราะยังไม่หมดกรรม.
               ปัญหาข้อที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               อาพาธที่ศีรษะ คือเวทนาที่ศีรษะ ชื่อว่า สีสทุกขะ ทุกข์ที่ศีรษะ.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นชาวประมง ในหมู่บ้านชาวประมง.
               วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์นั้นกับพวกบุรุษชาวประมง ไปยังที่ที่ฆ่าปลา เห็นปลาทั้งหลายตาย ได้ทำโสมนัสให้เกิดขึ้นในข้อที่ปลาตายนั้น แม้บุรุษชาวประมงที่ไปด้วยกันก็ทำความโสมนัสให้เกิดขึ้นอย่างนั้นเหมือนกัน.
               ด้วยอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ในอบายทั้ง ๔ ในอัตภาพหลังสุดนี้ ได้บังเกิดในตระกูลศากยราช พร้อมกับบุรุษเหล่านั้น แม้จะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับแล้ว ก็ยังได้เสวยความเจ็บป่วยที่ศีรษะด้วยตนเอง และเจ้าศากยะเหล่านั้นถึงความพินาศกันหมดในสงครามของเจ้าวิฑูฑภะ โดยนัยดังกล่าวไว้ใน อรรถกถาธรรมบท.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
                เราเป็นลูกชาวประมงในหมู่บ้านชาวประมง เห็นปลาทั้งหลายถูกฆ่า ได้ยังความโสมนัสดีใจให้เกิดขึ้น. เพราะวิบากของกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะได้มีแก่เราแล้ว ในคราวที่เจ้าวิฑูฑภะฆ่าสัตว์ทั้งหมด (คือเจ้าศากยะ)  แล้ว.
               ปัญหาข้อที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               การกินข้าวสารแห่งข้าวแดงในเมืองเวสาลี ชื่อว่า ยวขาทนะ การกินข้าวแดง.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่ง เพราะอำนาจชาติและเพราะความเป็นอันธพาล เห็นสาวกทั้งหลายของ พระผู้มีพระภาคเจ้าผุสสะ ฉันข้าวน้ำอันอร่อยและโภชนะแห่งข้าวสาลีเป็นต้น จึงด่าว่า เฮ้ย! พวกสมณะโล้น พวกท่านจงกินข้าวแดงเถอะ อย่ากินโภชนะแห่งข้าวสาลีเลย.
               เพราะวิบากแห่งอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงเสวยทุกข์อยู่ในอบายทั้ง ๔ หลายพันปี ในอัตภาพหลังสุดนี้ ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับ เมื่อทรงกระทำความอนุเคราะห์ชาวโลก เสด็จเที่ยวไปในคาม นิคมและราชธานีทั้งหลาย.
               สมัยหนึ่ง เสด็จถึงโคนไม้สะเดาอันสมบูรณ์ด้วยกิ่งและค่าคบ ณ ที่ใกล้เวรัญชพราหมณคาม. เวรัญชพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อไม่อาจเอาชนะพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โดยเหตุหลายประการ ได้เป็นพระโสดาบันแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การเสด็จเข้าจำพรรษาในที่นี้แหละย่อมควร.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคำนิมนต์โดยดุษณีภาพ.
               ครั้นจำเดิมแต่วันรุ่งขึ้นไป มารผู้มีบาปได้กระทำการดลใจชาวบ้านเวรัญชพราหมณคามทั้งสิ้น ไม่ได้มีแม้แต่คนเดียวผู้จะถวายภิกษาสักทัพพีหนึ่งแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จเข้าไปบิณฑบาต เพราะเนื่องด้วยมารดลใจ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีบาตรเปล่า อันภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมเสด็จกลับมา. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จกลับมาอย่างนั้น พวกพ่อค้าม้าที่อยู่ในที่นั้นนั่นแหละ ได้ถวายทานในวันนั้น จำเดิมแต่วันนั้นไป ได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุ ๕๐๐ เป็นบริวาร แล้วทำการแบ่งจากอาหารของม้า ๕๐๐ ตัว เอามาซ้อมเป็นข้าวแดง แล้วใส่ลงในบาตรของภิกษุทั้งหลาย.
               เทวดาในพันจักรวาลแห่งจักรวาลทั้งสิ้นพากันใส่ทิพโอชะ เหมือนในวันที่นางสุชาดาหุงข้าวปายาส. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้ว พระองค์เสวยข้าวแดงตลอดไตรมาส ด้วยประการอย่างนี้ เมื่อล่วงไป ๓ เดือน การดลใจของมารก็หายไปในวันปวารณา เวรัญชพราหมณ์ระลึกขึ้นได้ถึงความสลดใจอย่างใหญ่หลวง จึงถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ถวายบังคมแล้วขอให้ทรงอดโทษ.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
                 เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้า พระนามว่าผุสสะ ว่า พวกท่านจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากของกรรมนั้น เราจึงได้เคี้ยวกินข้าวแดง ตลอดไตรมาส เพราะว่า ในคราวนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้วจึงได้อยู่ในบ้านเวรัญชา.
               ปัญหาข้อที่ ๑๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               อาพาธที่หลัง ชื่อว่า ปิฏฐทุกขะ ทุกข์ที่หลัง.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคหบดี สมบูรณ์ด้วยกำลัง ได้เป็นคนค่อนข้างเตี้ย.
               สมัยนั้น นักต่อสู้ด้วยการต่อสู้ด้วยมวยปล้ำคนหนึ่ง เมื่อการต่อสู้ด้วยมวยปล้ำกำลังดำเนินไปอยู่ในคามนิคมและราชธานีทั้งหลาย ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ได้ทำพวกบุรุษล้มลง ได้รับชัยชนะ มาถึงเมืองอันเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์เข้าโดยลำดับ ได้ทำพวกคนในเมืองแม้นั้นให้ล้มลงแล้ว เริ่มจะไป.
               คราวนั้น พระโพธิสัตว์คิดว่า ผู้นี้ได้รับชัยชนะในที่เป็นที่อยู่ของเราแล้วก็จะไป จึงมายังบริเวณพระนครในที่นั้น ปรบมือแล้วกล่าวว่า ท่านจงมา จงต่อสู้กับเราแล้วค่อยไป.
               นักมวยปล้ำนั้นหัวเราะแล้วคิดว่า พวกบุรุษใหญ่โตเรายังทำให้ล้มได้ บุรุษผู้นี้เป็นคนเตี้ย มีธาตุเป็นคนเตี้ย ย่อมไม่เพียงพอแม้แก่มือข้างเดียว จึงปรบมือบันลือแล้วเดินมา.
               คนทั้งสองนั้นจับมือกันและกัน พระโพธิสัตว์ยกนักมวยปล้ำคนนั้นขึ้นแล้วหมุนในอากาศ เมื่อจะให้ตกลงบนภาคพื้น ได้ทำลายกระดูกไหล่แล้วให้ล้มลง. ชาวพระนครทั้งสิ้นทำการโห่ร้อง ปรบมือบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยผ้าและอาภรณ์เป็นต้น.
               พระโพธิสัตว์ให้นักต่อสู้ด้วยมวยปล้ำนั้นตรงๆ กระทำกระดูกไหล่ให้ตรงแล้วกล่าวว่า ท่านจงไป ตั้งแต่นี้ไปท่านจงอย่ากระทำกรรมเห็นปานนี้ แล้วส่งไป.
               ด้วยวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ที่ร่างกายและศีรษะเป็นต้น ในภพที่เกิดแล้วๆ ในอัตภาพหลังสุด แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้เสวยทุกข์มีการเสียดแทงที่หลังเป็นต้น. เพราะฉะนั้น เมื่อความทุกข์ที่เบื้องพระปฤษฎางค์เกิดขึ้นในกาลบางคราว พระองค์จึงตรัสกะพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะว่า จำเดิมแต่นี้ไป พวกเธอจงแสดงธรรม แล้วพระองค์ทรงลาดสุคตจีวรแล้วบรรทม.
               ขึ้นชื่อว่ากรรมเก่า แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่พ้นไปได้.
               สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                เมื่อการปล้ำกันดำเนินไปอยู่ เราได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำ (ให้ลำบาก) ด้วยวิบากของกรรมนั้น ความทุกข์ที่หลัง  (ปวดหลัง) จึงได้มีแก่เรา.
               ปัญหาข้อที่ ๑๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               การถ่ายด้วยการลงพระโลหิต ชื่อว่า อติสาระ โรคบิด.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคหบดี เลี้ยงชีพด้วยเวชกรรม. พระโพธิสัตว์นั้นเมื่อจะเยียวยาบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งผู้ถูกโรคครอบงำ จึงปรุงยาแล้วเยียวยา อาศัยความประมาทในการให้ไทยธรรมของบุตรเศรษฐีนั้น จึงให้โอสถอีกขนานหนึ่ง ได้กระทำการถ่ายโดยการสำรอกออก เศรษฐีได้ให้ทรัพย์เป็นอันมาก.
               ด้วยวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้ถูกอาพาธด้วยโรคลงโลหิตครอบงำในภพที่เกิดแล้วๆ ในอัตภาพหลังสุดแม้นี้ ในปรินิพพานสมัย จึงได้มีการถ่ายด้วยการลงพระโลหิต ในขณะที่เสวยสูกรมัททวะที่นายจุนทะกัมมารบุตรปรุงถวาย พร้อมกับพระกระยาหารอันมีทิพโอชะที่เทวดาในจักรวาลทั้งสิ้นใส่ลงไว้. กำลังช้างแสนโกฏิเชือก ได้ถึงความสิ้นไป.
               ในวันเพ็ญเดือน ๖ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไปเพื่อต้องการปรินิพพานในเมืองกุสินารา ประทับนั่งในที่หลายแห่ง ระหายน้ำ ทรงดื่มน้ำ ทรงถึงเมืองกุสินาราด้วยความลำบากอย่างมหันต์ แล้วเสด็จปรินิพพานในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง.
               แม้พระผู้เป็นเจ้าของไตรโลกเห็นปานนี้ กรรมเก่าก็ไม่ละเว้น.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
                เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาบุตรของเศรษฐี ด้วยวิบากของกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา. พระชินเจ้าทรงบรรลุอภิญญาพละทั้งปวง ทรงพยากรณ์ต่อหน้าภิกษุสงฆ์ ณ อโนดาตสระใหญ่ ด้วยประการฉะนี้แล.
               อปทานฝ่ายอกุศล ชื่อว่าเป็นอันจบบริบูรณ์ ด้วยการตั้งหัวข้อปัญหาที่ท่านให้ปฏิญญาไว้ ด้วยประการอย่างนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าคือพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระมหากรุณาพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยภาคยธรรม เป็นพระมหาสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ทรงประกอบด้วยคุณมีอาทิอย่างนี้ว่า
                 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีภาคบุญ คือโชค ผู้หักรานกิเลส ผู้ประกอบด้วยภาคธรรมทั้งหลาย ผู้ทรงด้วยภาคธรรมทั้งหลาย ผู้ทรงจำแนกธรรม ผู้คบแล้ว ผู้คายการไปในภพทั้งหลายแล้ว เพราะเหตุนั้น จึงทรงพระนามว่า ภควา.
               ทรงเป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นท้าวสักกะยิ่งกว่าท้าวสักกะ ทรงเป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม ทรงเป็นพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าพระพุทธเจ้า เมื่อจะทรงยกย่องคือทำให้ปรากฏซึ่งพุทธจริยา คือเหตุแห่งพระพุทธเจ้าของพระองค์ จึงได้ภาษิตคือตรัสธรรมบรรยายคือพระสูตรธรรมเทศนา ชื่อว่าพุทธาปทานิยะ คือชื่อว่าประกาศเหตุแห่งพระพุทธเจ้าแล.

               พรรณนาพุทธาปทาน               
               ในวิสุทธชนวิลาสินี อรรถกถาอปทาน               
               จบบริบูรณ์เท่านี้               
               -----------------------------------------------------         

หมายเลขบันทึก: 712701เขียนเมื่อ 9 พฤษภาคม 2023 10:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2023 10:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท