หมอตาประจำตัว ศ. พญ. วณิชา ชื่นกองแก้ว (อ. วิม) นัดผ่าตัดหนังตาคนแก่ ที่ขนตาม้วนลงไปแยงตา ทำให้ตาแดงและน้ำตาไหล มีคนทักเรื่องตาแดงมาสองสามปี ได้ฤกษ์ (ว่าง) เช้าวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๖
ก่อนหน้านั้น อ. วิมเอาใบนัด ใบลงนามยินยอมผ่าตัด และใบแนะนำการเตรียมตัว มาให้ ผมลงนามแล้วถ่ายรูปเก็บไว้ ในใบนัดบอกเพียงวันเวลา โดยเขาระบุโทรศัพท์ ๒ หมายเลข อันแรกเป็นของเก่าที่เวลานี้ลูกสาวคนโตใช้ เจ้าหน้าที่จึงโทรศัพท์ไปบอกที่ลูกสาวว่าให้ไปถึง ๗.๓๐ น. โดยกินอาหารอ่อนไปก่อนได้ ไปแสดงสิทธิ์ข้าราชการ และไปแสดงตัวที่ห้องหมายเลข ๑๐๐ อาคารสยามินทร์ ลูกสาวจึงลางานไปเป็นเพื่อนโดยผมไม่ได้ขอร้อง และช่วยให้ทุกสิ่งราบรื่น
ผมไปถึงก่อน ๗ น. ลูกสาวก็เช่นกัน เขามีเพื่อนทันตแพทย์ทำงานที่แผนกทันตกรรมจึงไปรอที่นั่นและโทรศัพท์มาถามว่าผมอยู่ที่ไหนแล้ว ผมตอบว่าไปนั่งรออยู่ที่ชั้นล่างของตึกสยามินทร์แล้ว ใกล้ ๗.๓๐ น. เธอก็มา ผมเอาหลักฐานการแสดงตัวว่ามีสิทธิ์ข้าราชการที่ได้จากการเอาบัตรประชาชนไปสอดที่เครื่อง แล้วเราก็ขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องผ่าตัดจักษุ ชั้น ๓ เมื่อใกล้ ๘ น. ตามเวลานัด เราก็ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ เขาถามหาแฟ้ม เราไม่รู้ว่าไปเอาที่ไหน เขาบอกแบบหน้างอบอกบุญไม่รับว่า ให้ลงลิฟท์ไปที่ชั้น ๑ ยื่นบัตรและหลักฐานการเป็นข้าราชการที่ช่อง ๔ ซึ่งเราก็ลงไปจัดการได้เรียบร้อย
ทำให้นึกว่า ในใบแจ้งควรระบุให้ชัดเจนไปเลย ว่าข้าราชการให้ไปยื่นอะไรที่ไหนบ้าง และนึกว่า หัวหน้าไม่ควรเอาคนที่สีหน้าอารมณ์ไม่รับแขกมาประจำเคาน์เตอร์ เรื่องแบบนี้ ราชการไม่สนใจ แต่เอกชนเขาเก่งมาก
นั่งรอจนราวๆ ๘.๑๕ น. เขาก็มาเรียกให้เข้าไปในห้อง โดยให้เอาของมีค่าฝากลูกไว้ทั้งหมด ให้เอาแมสก์ ใหม่ไปด้วย ๑ อัน ไปถอดรองเท้าใส่ที่เก็บเบอร์ ๙ ที่เขาเขียนชื่อติดไว้ให้เป็นพิเศษ ผมตระหนักทันทีว่า ชื่อคนไข้ที่เขียนว่า ศ. นพ. วิจารณ์ พานิช ออกฤทธิ์แล้ว เขาให้สวมรองเท้าแตะ พร้อมกับยื่นเสื้อกางเกงโรงพยาบาลและหมวกคลุมผม ให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าผู้ชาย โดยบอกว่าให้เอาเสื้อผ้าของผมเก็บที่ตู้เบอร์ ๙ ที่เขียนชื่อติดไว้แล้ว เขาคงจะมีประสบการณ์ว่า คนแก่อายุเกิน ๘๐ อย่างผมมักหลงๆ ลืมๆ จำตู้ที่เก็บเสื้อผ้าหรือรองเท้าไว้ไม่ได้
เขาบอกว่าเมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จให้ไปล้างหน้าด้วยน้ำยาที่ห้องน้ำชายที่อยู่ติดกัน ผมถือโอกาสถ่ายปัสสาวะด้วย ออกมานั่งรอ ก็เอาผ้าขนหนูขนาดใหญ่และหนามากมาให้คลุมพร้อมกับบอกว่าในห้องอากาศเย็นมาก มีเจ้าหน้าที่มาวัดความดันโลหิต ได้ ๑๔๙/๘๖ เขาจึงวัดใหม่ ได้ ๑๔๖/๘๔ เขาเอาเครื่องวัดอ็อกซิเจนในเลือดมาครอบนิ้วชี้ เมื่อได้ค่าแปดสิบกว่า พยาบาลจึงบอกให้วัดใหม่ และบอกให้ผมหายใจเข้าออกลึกๆ จึงได้ค่าปกติที่ร้อยละ ๙๘ พยาบาลอีกคนมาซักประวัติโรคประจำตัว การแพ้ยา ที่แสดงว่าเขาอ่านประวัติมาก่อนแล้ว และถามว่าถ่ายปัสสาวะบ่อยไหม ผมตอบว่าบ่อย เขาแนะนำว่าก่อนเข้าผ่าตัดให้เข้าห้องน้ำเสียก่อน แล้วให้กินยาพาราเซตามอล ๑ เม็ด วาเลี่ยม ๑ เม็ด แล้วพาไปนั่งรอที่เก้าอี้เอกเขนก LazBoy ที่แสนสบาย ผมนอนฟังเสียงอึกทึกแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือผ่อนคลาย ในห้องรอผ่าตัดอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง อ. วิมก็มาคุยด้วย นอกจากเรื่องตาของผมที่ท่านสังเกตว่าตาซ้ายเป็นมากกว่าตาขวา ท่านคุยเรื่องงานของ สบช. และของมูลนิธิพัฒนาการศึกษาวิชาชีพสุขภาพอยู่ราวๆ ๑๕ นาที
เจ้าหน้าที่มาตามไปผ่าตัด ผมขอเข้าห้องน้ำอีกครั้ง แล้วเขาพาไปขึ้นรถเข็นนอน เพื่อเตรียมเข้าห้องผ่าตัด ตอนเข้าห้องผ่าตัดผมนอนหลับตาอย่างสบาย เวลาน่าจะราวๆ ๙.๓๐ น. ต้องขยับตัวจากรถเข็นไปนอนที่เตียงผ่าตัด ที่นอนไม่สบายเลย สักครู่พยาบาลก็เอาผ้ามาหนุนขาพับตรงเข่า ทำให้สบายขึ้น ตามด้วยเอาผ้ามาหนุนคอ ๒ ชั้น ช่วยให้สบายขึ้นอีก เอาผ้าบางๆ มาคลุมตัว ตามด้วยผ้าหนา และเอาผ้าคลุมบริเวณหน้า เขาถามว่าหายใจคล่องไหม ตอบว่าไม่ค่อยสะดวก เขาจึงจัดผ้าใหม่ ช่วยให้หายใจคล่องขึ้น แต่พอจัดผ้าจนใกล้เสร็จ ผมก็บอกว่าหายใจไม่ค่อยออก อ. วิมจึงบอกให้เขาเอาสายอ็อกซิเจนมาสอดรูจมูกช่วยการหายใจ แล้วจัดผ้าคลุมใหม่
ผมสังเกตเห็นว่าบนเพดานมีรูปผีเสื้อสวยติดอยู่ จึงนึกได้ว่า ตอนผ่าตัดต้อกระจกก็เห็นเช่นนี้ จึงทักขึ้น ได้ความรู้ว่าเป็นห้องผ่าติดของ อ. วิม ที่ท่านให้คนปีนเอาภาพผีเสื้อไปติด อยู่นานกว่า ๒๐ ปีมาแล้ว ห้องผ่าตัดนี้จึงเก่ามาก เวลาลดระดับเตียงจึงมีเสียงดังโครกคราก ภาพผีเสื้อมีประโยชน์เวลาหมอบอกให้ผู้ป่วยมองที่จุดหนึ่งนิ่งๆ
การผ่าตัดใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงครึ่ง เริ่มจากมีเจ้าหน้าที่มาทายาฆ่าเชื้อที่ใบหน้า มีแพทย์ประจำบ้านผู้ชายคนหนึ่ง และพยาบาลอีก ๒ คน เป็นผู้ช่วย เริ่มที่ตาซ้าย โดยหยอดยาชา แล้วจึงฉีดยาชา ซึ่งเป็นตอนที่เจ็บที่สุด ผมสังเกตว่าไม่ว่าผมจะลืมตาหรือหลับตา หมอก็ดำเนินการผ่าตัดได้โดยไม่ติดขัด ตอนฉีดยาชาผมรู้สึกว่าฉีดที่เปลือกตาล่าง แต่ไปชาที่เปลือกตาบนที่เป็นบริเวณผ่าตัดด้วย ตอนกรีดผมไม่รู้สึกเลย บอกไม่ได้ว่ากรีดตรงไหน ได้ยินแต่ อ. วิม สอนแพทย์ประจำบ้านว่า เห็น ... (ลืมชื่อ) ไหม ให้ช่วยคีบออก ที่ตาซ้ายทำอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง หลังกรีดแผลแล้ว เป็นการผ่าตัดโดยมีกล้องช่วย ทำกัน ๓ คน มีการจี้ห้ามเลือดสองครั้ง ราดน้ำ และซับสองสามครั้ง แล้วเย็บ ตอนเย็บช่วยกัน ๓ คน อ. วิมบอกผมว่าเป็นไหมละลาย แต่ตรงไหนไม่ละลายเองก็มาตัดออกได้
แล้วจึงทำตาขวา ที่ อ. วิมบอกว่าจะใช้เวลาน้อยกว่า เพราะผิดปกติน้อยกว่ามาก ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ไม่ต้องจี้ห้ามเลือด
ผ่าตัดเสร็จ อ. วิมเอาแผ่นรองปิดเฉพาะตาขวา เพื่อป้องกันเลือดออก และบอกให้เอาออกตอนบ่ายสามโมง และเอาถุง cold pack ของโรงพยาบาลประคบตาทั้งสองข้างไว้ พร้อมทั้งสั่ง cold pack ให้ไปใช้ประคบตาที่บ้าน ๒ แพ็ค แล้วบอกลากัน ให้ผมออกไปนอนรอที่ห้องรอหลังผ่าตัด โดยมีถุงเย็นประคบตาอยู่ตลอด นอนอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เมื่อยแล้วเมื่อยอีก ผมจึงบอกเจ้าหน้าที่ขอไปถ่ายปัสสาวะ เขาใจดีมากช่วยเข็นรถไปใกล้ห้องน้ำ หลังจากนั้นผมขอไม่ขึ้นไปนอนบนรถเข็น ขอนั่งรอ เขาก็พาไปนั่งอีกห้องหนึ่ง นั่งกึ่งนอน เพราะมีถุงเย็นประคบตาอยู่
รวมเวลานั่งรอหลังผ่าตัดค่อนชั่วโมง ระหว่างนั้นเขาให้ลูกสาวไปซื้อยา ชุดถุงเย็น และจ่ายเงิน รวมค่าบริการ ๑๕,๔๘๔.๕๐ บาท ใช้สิทธิ์ข้าราชการบำนาญได้เกือบทั้งหมด ผมจ่ายเพียง ๔๙๔ บาท ขอขอบคุณประชาชนไทยที่จ่ายภาษีเป็นเงินสวัสดิการบริการสุขภาพ ช่วยให้คนแก่ยังมีสุขภาพดีรับใช้สังคมได้
ได้ยามา ๓ ชนิด คือ (๑) พาราเซตามอล แก้ปวด ๑๐ เม็ด กิน ๑ เม็ด เวลาปวด จนถึงเวลาที่เขียนบันทึก เกือบ ๑๗ น. ผมไม่ปวดเลย (๒) Cravit Eye Drop 0.5% 5 ml หยอดตาทั้งสองข้าง วันละ ๔ ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน (๓) Chloramphenicol Eye Ointment ป้ายแผลเปลือกตา วันละ ๒ ครั้ง
กลับมาบ้าน ประคบเย็นต่ออีกราวๆ ๑๕ นาที ก็นอนพัก ตื่นราวๆ บ่ายสามโมง ประคบเย็นอีก ๑๕ นาที และเปิดตาซ้าย ไปส่องกระจกดูแผลผ่าตัดจึงรู้ว่าเข้าใจผิดเรื่องความผิดปกติของเปลือกตามาตลอด จริงๆ แล้วปัญหาอยู่ที่เปลือกตาล่าง แผลผ่าตัดยู่ที่เปลือกตาล่าง ไม่ใช่เปลือกตาบน การฉีดยาชาที่เปลือกตาล่างจึงถูกที่ ไม่มีการแตะต้องเปลือกตาบนเลย โรคหรือความผิดปกติที่(ตา)ผมเป็นเรียกชื่อว่า ectropion และสิ่งที่เมื่อกรีดแผลดึงออกทิ้งเรียกว่า tarsal plate
ได้รับยาหยอดตา Cravit ophthalmic solution (Levofloxacin 0.5%) มาหยอดตาวันละ ๔ ครั้ง และ ChlorOph (1% Chloramphenicol Eye Ointment) มาป้ายตา วันละ ๒ ครั้ง ให้ประคบเย็นตาทุก ๔ ชั่วโมง ๓ วัน ตามด้วยประคบอุ่นอีก ๒ สัปดาห์
ผมพบว่า ศัตรูตัวร้ายคือมือของผมเอง ที่ตอนนอนหลับมักขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว
ผมหมั่นประคบตามด้วยประคบร้อนจนถึงวันที่ ๒๐ เมษายน ก็ได้ฤกษ์นัด อ. วิมตัดไหมให้ ตัดแล้วหายเคืองตาเป็นปลิดทิ้ง แสดงว่าตาผมมันไม่เก่ง ละลายไหมเย็บแผลได้ไม่หมด
วิจารณ์ พานิช
๖ เม.ย. ๖๖ เพิ่มเติม ๒๑ เม.ย. ๖๖
Thank you for sharing your experience.
I’m on my way to an eye surgery soon and feeling quite anxious. I try to think about knocking over small things (due to visual precision), this must be done.
ขอบคุณที่อาจารย์เล่าประสบการณ์โดยละเอียดนะคะ
ตอนนี้แก้วเริ่มสูงวัย ปัญหาเรื่องตาที่จะเริ่มมีค่ะ ตาแห้ง แสบตา
ขอบคุณอาจารย์ค่ะที่เล่าเรื่องการผ่าตัดตาโดยละเอียด ทำให้รู้ว่าไม่น่ากลัวเกินเหตุ แต่กลัวนิดหน่อยตอนฉีดยาชาเพราะเจ็บ ทำฟันก็เจ็บที่สุดตอนฉีดยาชานะคะ