เพิ่งเสร็จจากการปฏิบัติภาวนามยปัญญา ด้วยการบำเพ็ญศีล ปฏิบัติสมาธิ และเจริญวิปัสสนา ตามหลักสูตรวิปัสสนา 10 วัน(ครั้งหลังสุด)ที่ศูนย์ฯธรรมตโปทา(เขาใหญ่) อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา (1-12 มีนาคม)
บรรยากาศอันสงบเงียบ ร่มรื่น เย็นสบายท่ามกลางขุนเขาและแมกไม้นานาพรรณ ตลอดจนห้องพัก ห้องปฏิบัติรวม ห้องปฏิบัติเดี่ยว อาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสรรพอย่างเป็นสัปปายะที่มีผู้บริจาคให้ ช่วยส่งเสริมการปฏิบัติและสกัดกั้นกิเลสความอยากไม่ให้ก่อตัวเพิ่มขึ้นอีก
วันแรกของการอบรม อาจารย์ได้แจ้งจุดประสงค์ของการสมัครใจมาอบรมหลักสูตรนี้ว่าเป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้มาปฏิบัติ "บารมี10 ประการ" อันหมายถึงคุณธรรมที่จะช่วยให้เรา ข้ามมหาสมุทรแห่งความทุกข์ยากไปยังฝั่งอันปราศจากความทุกข์ทั้งมวล ได้อย่างจริงจังและครบถ้วน กล่าวคือ
"เนกขัมมะบารมี" เป็นบารมีจากการดำเนินชีวิตอย่างนักบวช ที่จะช่วยทำลายอัตตาคือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนให้หมดสิ้นไป โดยการอบรมครั้งนี้ไม่มีผู้ใดต้องเสียค่าใช้จ่ายในการมาปฏิบัตินี้เลย แต่เกิดจากผู้ที่มาปฏิบัติรุ่นก่อนได้บริจาคไว้แล้วทั้งสิ้น เราจึงมีโอกาสที่จะปฏิบัติเพื่อสร้างบารมีนี้ได้อย่างเต็มที่
"ศีลบารมี" เราปฏิญานตนรักษาศีล เรามีบรรยากาศของธรรมะและกฏกติกาที่เคร่งครัด อันจะช่วยให้สามารถรักษาศีลได้ไม่ด่างพร้อย โดยเฉพาะกฏของการรักษาความเงียบ ต้องแยกเขตชายเขตหญิง ไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน ไม่พูดจาสื่อสารใดใดติดต่อกันตลอดการอบรม
"วิริยะบารมี" แต่ละวันเราต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ เริ่มปฏิบัติตั้งแต่ตีสี่ครึ่งถึงสามทุ่ม วันละประมาณ 8-9 ชั่วโมงรวมทั้งได้รับฟังธรรมะบรรยาย และมีกฏแห่งการตรงต่อเวลา ทำให้เราเกิดความพากเพียรทุกขณะที่ปฏิบัติ
"ปัญญาบารมี" เป็นการพัฒนาปัญญาจากประสบการณ์ของการปฏิบัติจริงในการรักษาศีล บำเพ็ญสมาธิ และเจริญวิปัสสนาเพื่อสร้างปัญญา ได้ค้นพบความจริงภายในตนเอง ซึ่งก็คือภาวนามยปัญญาไม่ใช่เพียงสุตมยปัญญาหรือจินตามยปัญญาดังที่เราเคยคุ้นชิน
"ขันติบารมี" คือความอดทน อดกลั้นในการที่ต้องปฏิบัติร่วมกับผู้อื่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างเต็มที่ ที่จะไม่ทำให้เกิดการรบกวนผู้อื่น แต่ถ้าจะมีใครสักคนมารบกวนตน เช่นไอหรือจามออกมา เราก็จะไม่เกิดความขุ่นมัว แต่จะให้ความรักและความเมตตาต่อเขา
"สัจจะบารมี" แม้เราจะรักษาศีลอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว แต่ทุกย่างก้าวของการปฏิบัติเราจะต้องอยู่แต่กับความจริง เราจะไม่ใช้จินตนาการ แม้ว่าจะเริ่มจากความจริงขั้นหยาบๆก่อน แต่แล้วก็จะค่อยๆละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้นเป็นลำดับ
"อธิษฐานบารมี" เราจะต้องมีความตั้งใจอันแน่วแน่ในการปฏิบัติ ระหว่างปฏิบัติ เราจะต้องรักษากฎ ระเบียบ วินัย และตารางเวลา ตลอดจนการรักษาความเงียบ และหลังจากเริ่มเข้าสู่การฝึกวิปัสสนาในวันที่ 4 เราจะต้องนั่งโดยไม่เปลี่ยนท่านั่งเลย วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง ซึ่งเราเรียกว่า "ชั่วโมงอธิษฐานบารมี" ซึ่งเป็นบารมีที่จะนำไปสู่จุดหมายปลายทาง เฉกเช่นพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานอย่างแน่วแน่ไว้ว่า "เราจะไม่เปลี่ยนท่านั่งเลย จนกว่าจะบรรลุโพธิญาณ"
"เมตตาบารมี" หมายถึงความรักความเมตตาต่อผู้อื่น เราจะได้เรียนรู้วิธีการแผ่ความรักและความเมตตาให้แก่ผู้อื่น หลังจบวิปัสสนาทุกครั้ง เราจะแผ่เมตตาแก่ผู้อื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆเลย
"อุเบกขาบารมี" หลักสูตรนี้จะฝึกอานาปานสติเพื่อให้เกิดพลังสมาธิ 3 วันแรกก่อน จากนั้นก็จะฝึกวิปัสสนาต่อเนื่องอีก 7 วัน ขณะปฏิบัติเมื่อเกิดเวทนาหรือความรู้สึกใดใดขึ้น จะพอใจหรือไม่พอใจต่อความรู้สึกนั้นก็ตาม เราก็จะพยายามวางอุเบกขาหรือวางเฉยต่อความรู้สึกนั้นๆ เพื่อตัดวงจรการสร้างสังขารที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ให้เบาบางลงไป โดยเข้าใจว่า เวทนาทั้งหลายล้วนไม่เที่ยง ล้วนเป็นอนิจจัง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะดับไปเองตามธรรมชาติ
"ทานบารมี" เมื่อเราได้รับทานจากการบริจาคของผู้อื่นในการมาปฏิบัติครั้งนี้ ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติ หากเรามีจิตที่จะบริจาคทานเพื่อผู้อื่นที่จะเข้ามาปฏิบัติในรุ่นต่อๆไปบ้าง ตามกำลังที่เราสามารถทำได้ มีน้อยก็บริจาคน้อย มีมากก็บริจาคมาก ก็จะเป็นการขัดเกลากิเลส ความเห็นแก่ตัวให้ลดน้อยลง และจะนำความสุขมาสู่ตนเอง
ความเงียบสงบจากธรรมชาติที่เป็นสัปปายะและการรักษากฏ ระบียบ วินัยดังกล่าว ช่วยส่งเสริมให้เราสามารถเลื่อนไหลการดูเวทนาที่กาย จากปลายสุดของศีรษะไปยังปลายสุดของเท้า และจากปลายสุดของเท้าไปยังปลายสุดของศีรษะภายในทุกส่วนของร่างกายไปตามลำดับ ได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ส่งจิตออกนอกกายได้ยาวนานกว่าปกติ
เนื่องจากผมอยู่ในวัยชรา และมีโรคประจำตัวหลายโรค โดยเฉพาะเพิ่งผ่าตัดกระดูกสันหลังและกระดูกต้นคอมาไม่นาน เกรงว่าจะนั่งอาสนะไม่ได้นาน จึงขอเก้าอี้ไว้ แต่พอเริ่มปฏิบัติ ทดลองนั่งอาสนะ แม้จะเห็นเวทนาเกิดขึ้นเยอะมาก แต่ก็พยายามวางอุเบกขาตามที่อาจารย์สอน ก็สามารถก้าวข้ามไปได้ จึงนั่งอาสนะต่อไปทุกวันจนตลอดการอบรม จะนั่งเก้าอี้บ้างก็เฉพาะเวลาฟังธรรมะบรรยายเท่านั้น
สังเกตได้ว่าเมื่อพิจารณาร่างกายจนครบรอบมาบรรจบที่ปลายสุดของศีรษะทุกครั้ง หากยังคงเห็นจุดเล็กๆบนปลายกระหม่อมยังเต้นตุบๆ และแผ่ซ่านไปบนหนังศีรษะ ลมหายใจยังละเอียดเบาสบาย ก็แสดงว่ายังสามารถรักษาพลังจิตไว้ได้อยู่ ก็จะยังคงเดินวิปัสสนาต่อไป
ยามใดที่รู้สึกว่าจิตเริ่มอ่อนล้า ก็หันมาจับเวทนาที่ลมหายใจบริเวณสามเหลี่ยมใต้ช่องปลายจมูกเหนือริมฝีปากบนอีกครั้ง จนรู้สึกว่าลมหายใจละเอียดและเข้มแข็งขึ้น จึงเดินวิปัสสนาต่อไป รอบแล้วรอบเล่า จนสิ้นสุดเวลาของการอบรม
ปัจจัยความสำเร็จจากการปฏิบัติครั้งนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการได้ร่วมกันบำเพ็ญทานและรักษาศีลอย่างมั่นคงต่อเนื่องในชีวิตประจำวันของครอบครัวเรา และที่สำคัญคือการร่วมปฏิบัติภาวนาเช้า-เย็น พร้อมกันทุกวัน จึงสามารถทำให้เกิดความต่อเนื่อง ของการเลื่อนไหลในการสังเกตเวทนาและการวางอุเบกขาของการปฏิบัติครั้งนี้ จนสามารถเจาะลึกเข้าไปถึงภายในร่างกายทุกส่วนได้อย่างคล่องแคล่วและยาวนานได้มากขึ้น จึงขอโมทนาในบุญกุศลนี้ร่วมกันด้วยเถิด
เมื่อการปฏิบัติตามหลักสูตรวิปัสสนา 10 วันผ่านพ้นไป รู้สึกเบากายเบาใจจากพังคะที่หลุดลอกออกไปได้มากทีเดียว
หลังทำเมตตาภาวนาในวันสุดท้าย ออกจากห้องปฏิบัติ ทอดสายตามองสรรพสิ่งภายนอกอย่างเต็มตา พืชพรรณนานาชนิดที่ถูกปลูกตกแต่งไว้ให้เป็นไม้ประดับของศูนย์ฯตามอาคารปฏิบัติแต่ละหลัง ซึ่งปลูกสร้างอย่างประณีตและสมดุล กอไผ่เป็นทิวแถว ทอดยาวไปตามแนวทางเดินของแต่ละแยก ช่วยปิดกั้นอาณาเขตของอาคารแต่ละหลังอย่างเป็นสัดส่วน
ดอกชงโคสีชมพูที่ออกดอกบานเต็มต้นเมื่อวันแรกที่มา บัดนี้ดอกได้ร่วงหล่นไปจนหมดแล้ว ตะแบกกลางขุนเขาออกดอกสีม่วงบานสะพรั่งขึ้นมาทดแทน ปีบหลายต้นยืนตระหง่าน คงยังไม่ถึงฤดูกาลออกดอกให้หอมฟุ้งกลบกลิ่นดอกไม้อื่น งิ้วห้าต้นยังคงอวดหนามที่แหลมคม ราวกับจะข่มให้คนเกรงขามต่อการกระทำผิดผัวผิดเมียผู้อื่น
บัดนี้ถั่วบราซิลได้ออกดอกสีเหลืองอร่าม แผ่ขยายไปทั่วอาณาบริเวณ สปริงเกอร์รดน้ำ ยังคงปรับเปลี่ยนหมุนเวียนทำงานกันต่อไป ตามเวลาที่เขาตั้งไว้
การเกิดขึ้นและดับไป ปรากฏให้เห็นชัดขึ้น สรรพสิ่งทั้งหลายต่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามสภาพปัจจัยภายในและภายนอก และตามกฎธรรมชาติ
คำสอนของอาจารย์ยังก้องกังวานในหัวใจ
"จงมีสติ จงมีอุเบกขา ...จงหยุดสร้างสังขารใหม่ ไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นอีกต่อไป...จงปฏิบัติต่อไปด้วยความขยันหมั่นเพียร อดทน และไม่ท้อถอย แล้วจะประสบความสำเร็จ...ประสบความสำเร็จ"
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ธรรมะอันประเสริฐนี้ และขอขอบคุณศูนย์ฯ มูลนิธิฯ ผู้บริจาคสิ่งอำนวยความสะดวกทุกท่าน ตลอดจนผู้จัดการหลักสูตร ธรรมบริกร และผู้ดูแลความสะดวกต่างๆในการปฏิบัติครั้งนี้ ขอโมทนาในบุญกุศลของทุกท่านมา
ณโอกาสนี้
บุญกุศลใดที่เกิดจากการปฏิบัติครั้งนี้ ขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ผู้ที่เคารพนับถือ คนในครอบครัวของข้าพเจ้า ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ทุกท่านดังกล่าวจงพ้นจากความทุกข์และพบกับความสงบสุขที่แท้จริงถ้วนหน้ากันทุกท่านด้วยเถิด สาธุๆๆ
ไม่มีความเห็น