Trekking เบาๆ ไปชมตาดหมอกกันเถอะ


ขอเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวต่อจาก Ep. ที่ผ่านมาที่เพื่อนมารอรับที่ตลิ่งท่าบ้านสบกอง  ดีใจมว๊ากกกที่เห็นหน้าเพื่อน อยากโผเข้ากอด  แต่คงกอดไม่ได้  เพราะฉันหัวซุกหัวซุนปีนตลิ่งขึ้นบนฝั่ง เสียงหายใจฟืดฟาดยังกับช้างตกมัน ถามหาลูกกับเมียของเอนก  เอนกว่า อยู่ที่นา...ไม่ได้ชวนมาด้วย...มันไกล...นั่นคือคำพูดที่ฉันไม่ได้ยิน...”มันไกล”

การลงเรือว่ายากแล้วสำหรับคนที่ไม่ใช่สายสปอร์ต แต่ยากกว่านั้น  คือการปีนตลิ่งนะจะบอกให้

เอนกกับญาติผู้ชายอีกคนช่วยขนกระเป๋า พาไปแวะทักทายญาติๆในหมู่บ้าน พร้อมบอกว่า  ให้แยกเอาสิ่งที่จำเป็นไปเท่านั้น กระเป๋าใบใหญ่ของฉันให้ทิ้งเอาไว้บ้านเซี่ยงเคนบ้านพี่ชายของนางต๊อด  ฉันทิ้งกระเป๋ามหาสมบัติไว้  มีกระเป๋าหิ้วไป 2 ใบ เอนกบอกให้พิจารณากระเป๋าอีกที  เน้นว่า...เอาไปเท่าที่จำเป็น...ฉันทบทวนแล้ว  เห็นว่าส่วนที่หิ้วคือส่วนที่จำเป็นแหล่ะ  ของฝากลูก ของฝากที่เอามายามญาติๆเพื่อน

รถกะบะที่เอนกขับมาจากเมืองไทยจอดไว้ข้างบ้านญาติ เอนกพาฉันเดินผ่านบ้านพี่น้อง ผ่านรถไป  มีการแนะนำทักทายสบายดีกัน คุณน้าคนนึงบอกว่า จะไปนอนที่นาตาดหมอกเหรอ  คงไปถึงค่ำแน่ๆ มันไกล ฉันยังไม่รู้ตัวเลยความไกลมันจะไกลจริงจัง...คิดว่าเอนกจะพาเดินกลับมาเอารถกะบะไป  ที่ไหนได้เริ่มเดินถึงท้ายหมู่บ้าน  ตัดทุ่งนาออกไป
เอาจริงหน่ะ  เอาจริงก็เอา  เริ่มต้นการ Trekking ณ ชายหมู่บ้านสบกอง เป็นการเดินป่าแบบทางราบ...อีกแบบก็จะเป็นเหมือนพวกวิ่ง Trail เพียงแต่ฉันไม่ได้วิ่ง ฉันเดินเอา

ดูชุดเดินป่าหรือชุด Trekking ของฉันซะก่อน  .ใส่ตุ้มหูระย้าแบบอินเดียสไตล์ด้วยนะ ออกไปทางน่าหมั่นไส้

ก็บอกแล้วว่าทำรองเท้าสปอร์ตหาย แถมเป็นผู้หญิงเท้าใหญ่ เบอร์ 42 เท้าแบนต้องมีรุ่นรองเท้าอีก  ใช่จะหารองเท้ามาใส่ได้ง่ายๆ  เห็นทรงตัวเองแล้ว  น่าจะเก็บทรงไม่อยู่  เป็นตาเพื่อนเบื่อตาแท้ 

เพื่อนฉันก็อายุเยอะแระ  ทั้งหอบขวดเหล้าต้ม  ทั้งหิ้วกระเป๋าให้ฉัน  ฉันว่ามันก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน ไอ้เราก็งงว่าน้ำที่นางหิ้วนาตาดหมอกไม่มีเหรอ  ต้องเอาไปด้วยเหรอ ทำไมเอาไปน้อยจัง ถ้าเป็นเหล้า 4-5 ขวดไม่น้อยแล้วฉันรู้ว่าการที่เพื่อนหิ้วกระเป๋าที่บรรจุของจำเป็นให้ฉัน  ก็คงเหนื่อย  มันหนักนี่นะ  กาแฟ 3in1 กี่ห่อหล่ะ  มาม่า ขนมเด็กอีกทุกอย่างจำเป็นหมด 555

 


เวลาจากบ่าย 3 คล้อยไปบ่าย 4 ฉันยังเดินตัดทุ่งสบายใจ  อยู่กับเพื่อนแล้วนี่ จะต้องกลัวอะไร หายใจหอบบ้าง ฟืดฟาดบ้าง  มีชาวบ้านบางคนถามเอนกว่าแม่มาเยี่ยมเหรอ...ทำเอาฉันต้องพิจารณาหน้าฉันอย่างจริงจัง  หน้าตรูดูแก่กว่าเอนกกี่เท่าวะนี่
ทุก 10 ก้าว ฉันก็ออกปากถามไหน...บ้านเหนกอ่ะ...นางตอบ…โน่นหลังเขาโน้นหล่ะ  เดี๋ยวก็ถึง ตอบพร้อมหัวเราะ  ไหวบ้อแม่ตุ่น  คำนี้เป็นเสียงที่ได้ยินบ่อย 
ระหว่างทางก็มีการปีนรั้วกันสัตว์...ทำเอาหวนคืนสู้วัยเยาว์  เพียงแต่วันนี้ฉันแก่  ฉันอ้วน  และฉันเหนื่อย
สรุประยะทางน่าจะประมาณ  2  กม.  ได้มั้ง  ชาวบ้านน่าจะใช้เวลาเดินไม่เกิน 30 นาที  ส่วนฉันทุบสกอร์ค่ะ  ใช้เวลาการเดินสูงสุดมั้งคะ ชั่วโมงกว่า  

เข้ามาถึงนาตาดหมอกนี่ 5 โมงเย็นเกือบ 6 โมง  อากาศหนาว  ฟ้าสลัวลงมาก   เอนกชี้ให้ดูหลังคาบ้าน  ถ้าเดินข้ามน้ำนี่ก็ถึง ...ความรู้สึกเหมือนสารแห่งความสุข (Endorphin) หลั่งค่ะ  หลังแนวพุ่มไม้ ฉันได้ยินนางต๊อดบอกลูกว่า  แม่ตุ่นมาแล้ว  ไปรับแม่ตุ่นเร้ววว  เสียงเด็กๆ ทะลุพุ่มไม้ออกมาทำเอาฉันสะออนลูกเพื่อนแรงแท้  น้องคลัง  น้องแคน  แม่ตุ่นมาแล้ววววววว  เสียงที่หูได้ยินฟังดูว่าจะมีเสียงเอคโค่สะท้อนกลับ…รึ ลมออกหูฉันนะ

ฉันมาถึงบ้านนางต๊อดแล้ว  ตอนงานแต่งเค้าฉันก็ไม่ได้มา  ตอนเค้าชอบกันแรกๆ เค้ามาเยี่ยมบ้านกันฉันก็ไมได้มา ตอนนี้ได้มาถึงแล้ว  ถึงนางต๊อดจะอายุน้อยแต่ก็ดูแลเพื่อนฉันได้จนเป็นครอบเป็นครัว เป็นภรรยาที่ดี การที่ได้มาเยี่ยมเยือนกันจึงนับเป็นเรื่องที่ดี และที่สำคัญฉันรู้สึกว่าเพื่อนของฉันมีพลังในเรื่องนี้ เรื่องการแปงบ้านให้เป็นเฮือนพัก ฉันมาดูฝันของมัน

จะไม่ให้ฉันดีใจกับความสำเร็จเล็กน้อยในการเดินทางมาถึงนาตาดหมอกได้ยังงัย  ของที่ฉันว่า”จำเป็นมาก”...”มันก็หนักมาก” ทางเดินก็ไกลจริงจัง พื้นทุ่งนาก็ไม่เสมอ ฉันเดินมาด้วยรองเท้าลำลองของผู้หญิงแบบมีส้น  ทำเอาเท้าพลิกบ้างตะแคงบ้าง  ต้องเดินผ่านก้อนหินในลำธารก็เออรองเท้าพลิกอีกแล้ว 555 โทษใคร..โทษตัวเองที่ทำเกิบ (รองเท้า) หาย 

นี่ขนาดฉันได้พักร่าง  พูดคุยทักทายกับพี่น้อง ที่"เย็นสบายชาวนา คอฟฟี่ แอนด์โฮมสเตย์"แล้วนะ ซึ่งเป็นบ้านของเซี่ยงไช ญาติของนางต๊อด หรือบ้านของนางติ๊กแม่น้องน้ำผึ้งที่ฉันเจอที่ท่าเรือ แล้วเดินทางมาบ้านสบกองพร้อมกัน สรุปน้องน้ำผึ้งคือลูกของเซี่ยงไช ถ้าไม่ได้พักฉันจะขนาดไหน…ยกให้ฉันเป็นกรณีพิเศษเถอะ  ฉันไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหน่ะ ณ เย็นสบายชาวนาก็นับว่ามาถึงครึ่งทางได้

หลังที่เอนกแนะนำให้รู้จักกัน  หนุ่มๆ 2 คน  เอนกกับเซียงไซก็แอบคุยกันเรื่องอะไรกันไม่รู้หัวเราะเสียงดังเลยที่เดียว แล้วจบประโยคว่า “สงสัยกำลังสืบ” เซี่ยงไชจัดชาร้อนให้จิบ  เพื่อนฉันได้พักสูบบุหรี่แก้เหนื่อย  ฉันได้พักขา  ชม ฟาร์มผักอินทรีย์ และโฮมเสตย์แบบความเดินช้า (Slow Life) 

แล้วเราก็ขอตัวไปต่อ  ไหว้ลาคุณตาพ่อของเซี่ยงไช พอท่านเห็นสภาพฉัน  ท่านยังบอกเลยไม่ต้องไปที่นาตาดหมอกหรอก...มันไกล  เอนกยังทำรีสอร์ทยังไม่แล้วเสร็จดี  อาจจะไม่สะดวก นอนที่นี่หล่ะ ไม่คิดเงิน  เล่นเอาซาบซึ้ง  แต่ฉันต้องไปหาลูกฉันงัย  ถ้าพักที่นี่เดี๋ยวภารกิจจะไม่สำเร็จ  
 

ง่ายๆ จะมานาตาดหมอก จะมีจุดให้แวะพักทานกาแฟที่เย็นสบายชาวนา ซึ่งฉันว่าเป็น The Must


ตัดภาพกิจกรรมระหว่างที่อยู่นาตาดหมอกเอาไว้เล่าเรื่อง  Stay : ที่นี่คือสบกองแห่งเมืองงอย  ฉันขอเล่าเรื่อง Trekking ก่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2565  วันขึ้นปีใหม่สากล ฉันนอนตื่นมาเกือบ 8 โมง  เอนกตื่นตามมา 9 โมงกว่า เรากินกาแฟ 3in1 ด้วยกาน้ำต้มด้วยฟืน  กลิ่นฟืนในวันอากาศเย็น  ทำให้กาแฟ 3in1อร่อยขึ้นมาทันตาเห็น เสร็จแล้วนางก็บอกลูกว่า ใครจะพาแม่ตุ่นไปดูน้ำตก 

ทั้งพี่คลังน้องแคนหล่ะค่ะ ที่ไปเป็นเพื่อนฉัน  สภาพฉันก็ตามเคย อ้วน  สูงวัย  ไม่สู้งานหนัก  เดินตามเอนกต้อยๆ กรี๊ดกร๊าดไปตามเรื่องตามราว  ดูแล้วพี่คลังน้องแคนน่าจะเป็นเพื่อนที่ฉันมาเยี่ยมมากกว่ามาหาเอนก  บางทีอาจจะดูว่าเอนกมีลูก 3 คน  ศักยภาพในการเอาตัวรอดของฉันคงไม่ต่างจากเด็กป.2 ป.3  เอนกหันมาถามตลอดๆ ว่า แม่ตุ่นไหวไหม...และนางก็พูดนู่นนี่นั่นให้ฟัง  เรื่องการเก็บไฟจากน้ำตก สิ่งแวดล้อม รวมถึงว่าที่นาตาดหมอก นักท่องเที่ยวชอบมาเดินป่าระยะสั้นกัน  มะวานที่พาฉันเข้ามาก็สวนกับนักท่องเที่ยวที่กำลังกลับออกไป และเล่าถึงความเป็นอยู่ของคนที่นี่


“ตาด” ภาษาลาวกับภาษาอีสานบ้านฉันน่าจะเหมือนกัน  ที่แปลว่า ลานหินเป็นชั้นๆ เป็นพักๆที่มีน้ำตกไหลผ่าน  และที่ตาดแห่งนี้ได้ชื่อว่า  ตาดหมอก  ก็คงเพราะว่ามีหมอกปกคลุมอยู่ตลอด...ฉันมาเดือนธค.ต่อ มค.อากาศยังเย็นสบาย  และจึงเป็นที่มาของ นาตาดหมอก…แปลงนาที่อยู่ติดตาดหมอก…พี่คลังให้เรียกที่นี่ว่า…นาตาดหมอก

ฉันเดินสบายขึ้นนิดเพราะยึดรองเท้าแตะของเอนกมา แต่ชุดยังเป็นชุดเดรสมะวาน  เล่าไม่อายค่ะ  ไม่ได้อาบน้ำ  หนาววววววววววววววว  กะลงไปจากเขาที่หล่ะจะกลับไปอาบน้ำ  หวังว่าบ่ายมาจะมีแดดออก
เอนกพาเดินลัดละเลียบลำดับขึ้นไปที่น้ำตก ผ่านลานหินแต่ละชั้นขึ้นไป  น้ำใสมากกก  ต้นไม้สวย เฟิร์น กับมอสนี้ชอุ่มมาก 

เสียดายที่แบตโทรศัพท์หมดค่ะ เพราะที่นาตาดหมอกไม่มีไฟค่ะ  ใช้เครื่องปั่นไฟเฉพาะที่จำเป็น คนที่นาตาดหมอกบางทีก็ถือโอกาสไปชาร์จตอนเข้าไปในหมู่บ้าน  

ฉันเห็นอะไรก็สวยหมด ถ่ายรูปเก็บ จนมาเจอไอ้ที่สวยจริงๆ ไม่มีแบตให้ถ่ายรูปแล้ว  ปากเริ่มยื่นมาติดจมูกแล้วค่ะ...ด้วยความเสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพสวยๆ มาฝากทุกคน...ภาพที่ถ่ายได้ก็ไม่สวยด้วยมือถือที่ตกบ่อยจนกล้องเสื่อมสมรรถภาพ และความไม่มีแสงแดดเลยตลอดวัน 


ฉันบอกนางต๊อดว่าอย่ากังวลว่าฉันจะลำบาก ฉันเลือกที่จะมาเอง มาแล้วก็เอาให้สุด “เพราะเราไม่สามารถย้ายน้ำตกและธรรมชาติแบบนี้ไปไว้ในเมืองได้...คนต้องเป็นฝ่ายออกมาหาธรรมชาติ  และรักษาธรรมชาติไว้ในสิ่งที่มันควรจะเป็น”


เด็ก 2 คนขนาดมาที่ตาดบ่อยๆ  ยังอดไม่ได้ที่จะลงเล่นน้ำ  ในวันหนาวๆๆๆแบบนี้อ่ะนะ  เอาจริงถ้ามีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนฉันอาจจะลงเล่นน้ำกับเด็กๆนะ  น้ำใสมาก  สีฟ้าอมเขียว สวยงาม...ฉันอยากมีโมเม้นต์หวนคืนสู่วัยเยาว์  แต่คิดถึงต้องเดินกลับทั้งที่เปียกๆ ก็คงไม่ไหว เดี๋ยวจะสู่ขิต


อ้อยอิ่งยุพอประมาณ  อดทักออกจากปากไม่ได้  เหนกตุ่นอยากได้เฟิร์น  อันนั้นก็สวย  อันนี้ก็สวย...เอนกคงเอือม  นางว่า...เอาตัวให้รอดซะก่อน  555


จาก”รีสอร์ทนาตาดหมอก”ที่เอนกกับนางต๊อดกำลังก่อสร้างให้เป็นที่พักแนวฟาร์มสเตย์แอนด์รีสอร์ท ฉันว่าผัวเมียคู่นี้ได้ทำเลดี  ที่ดินดี  ใช้เวลาเดินมาตาดไม่ไกลค่ะ  ลัดเลาะต้นไม้มา  วันแดดจ้าก็คงไม่ร้อนมาก  

 

เอนกพาฉันปีนกลับอีกฝั่ง  อย่าลืมนะคะ น้ำตกคือที่สูง  กลับอีกทางคือกลับฝั่งน้ำตก คือเดินขึ้นที่สูง  ทางเดินค่อนข้างสะดวก   ชุมชนเค้าฟันดินให้เป็นขั้นบันได้ มีราวไม้ให้จับพยุงตัว แม้กระนั้นฉันต้องหยุดหายใจบ่อยๆ ขนาดทางเรียบยังเกือบจะไม่รอด  กลับไปต้องออกกำลังกายให้มากขึ้นแล้ว

มาฝั่งนี้จะได้เดินไปที่เนินเขาเพื่อใช้โทรศัพท์มือถือได้  ที่นี่มีจุดรับสัญญาณแต่จุดเดียว  นางต๊อดเล่าให้ฟังว่าวันที่ฉันเดินทางมาหนองเขียว  เอนกไม่ได้ไปรับที่ท่าเรือแต่นางขึ้นมา MS ไปถามข่าวคราวตลอดๆ บนเขาลูกเล็กๆนี้เอนกก็ชี้ให้ดูว่า  "เดี๋ยวสักหน่อยจะมาสร้างบ้านของตัวเองอีกหลังไว้บนเขาตรงนู้นนะเอาไว้ปลีกวิเวก"  "เดี๋ยวจะให้คนเค้าตัดเถาวัลย์คลุมต้นไม้ต้นนั้นออก  มันจะกลายเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่เลย  ต้นมันฟอร์มสวย" ดูนางมีเรื่องเล่าตลอดการเดินทาง ส่วนลูกๆ ก็ผลัดกันเล่าเรื่องไปค่ายลูกเสือ  ผลัดกันหิ้วกระบอกน้ำ สงสารเจ้าแคนเหมือนกัน...ถึงจะเป็นน้องเล็ก  แต่ต้องช่วยพี่คลังหิ้วน้ำนะ...อยู่ในภาวะที่ทำได้อยู่…น้องแคนก็สามารถดูแลแม่ตุ่นได้


สรุปว่าระยะทางการ Trek ก็ประมาณ 5  กม.ได้  มีขึ้นที่สูง ลงที่ต่ำ ตามธรรมชาติของน้ำตก  ใช้เวลาเดินอ้อยอิ่ง หยุดหายใจทางปาก รอเด็กๆ เล่นน้ำ ก็ประมาณ 1 ชม.  ลงจากเขาลูกเล็กๆ เราก็มากินข้าวเช้าที่นางต๊อดทำรอไว้  ความหิวทำงานเต็มที่แล้ว

เอนกบอกว่า  กินข้าวเสร็จจะนั่งเรือไปที่หนองเขียว  หาอาหารมาทำเลี้ยงกันฉลองวันปีใหม่  แม่ตุ่นจะไปด้วยกันไหม…ฉันว่า  ไม่ไปหรอก เพิ่งข้ามมาเมื่อวานนี่เอง…จะให้เดินตัดทุ่งออกไปอีกเหรอ ยังไม่หายเหนื่อยเลย ฉันอยากเล่นอยู่ที่นาตาดหมอกนี่แหล่ะ…เอนกบอกถ้าอยู่ได้ก็ตามใจ…จบ EP. นี้ค่ะ  ขากลับออกไปฉันเดินสบายมาก  ของน้อยกว่าขามา และความรู้แล้ว ความมีประสบการณ์ผ่านมาแล้ว…ทำให้การเดินกลับออกไป สบายกว่าขามา


สำหรับสายธรรมชาติ สาย Out door สาย Slow life นี่เป็นทริปที่น่าสนใจนะ...มานะใครสนใจ ขอข้อมูลได้ แต่ประเภทต้องมีไดรฟ์เป่าผมนี่  คงไม่เหมาะ  แล้วมาติดตาม Ep.หน้าว่า นอกจากการเดินป่าระยะสั้น ฉันมาทำกิจกรรมอะไรบ้างที่นาตาดหมอกแห่งนี้

 

 

หมายเลขบันทึก: 711738เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2023 23:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2023 15:13 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ชมแล้วครับ ภาพสวย น่าไปเที่ยวครับ

ขอบพระคุณกำลังใจในการเขียนจากท่านผอ.ชยันต์นะคะ ตอนนี้หนูได้กล้องใหม่ อยากออกรอบแล้วค่ะ อยากไปเก็บภาพ เก็บประสบการณ์

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท