ระบบต่างๆ ของประเทศไทยที่ล้าหลัง ถ่วงความเจริญ ทุกระบบ ต่างก็มีสภาพเป็น wicked problem จึงต้องมียุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน (Transformation) อย่างแยบยล
กลยุทธหนึ่งคือ ปลุกพลังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ให้ลุกขึ้นมาเป็น Co-creator ซึ่งหมายความว่า หาทางชักชวนส่งเสริมให้ผู้รับผล ลุกขึ้นมาเป็นผู้กระทำการ (actor) หรือร่วมกันทำการ ในลักษณะร่วมสร้างสรรค์ (Co-creator)
การเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ wicked ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหากเราเข้าใจความ wicked ของมัน และรู้จักใช้ wickedness นั้นเองมาเป็นพลัง ในลักษณะ “หนามยอก เอาหนามบ่ง”
ความ wicked มีข้อดีคือ ให้โอกาสเรียนรู้สูง และให้โอกาสสร้างสรรค์สูง โดยเปิดโอกาสให้ทดลองดำเนินการในรูปแบบใหม่ๆ (หากเรากล้าริเริ่มและฟันฝ่า)
การริเริ่มใหม่ๆ นั้น ควรเริ่มจากเป้าหมายที่ทรงคุณค่า และมีความชัดเจน โดยควรเป็นเป้าหมายที่ผู้รับผลเป็นผู้กำหนด หรือร่วมกำหนด คือใช้หลักการ empathy ใน design thinking และเชื่อมโยงต่อ สู่การใช้หลักการของ Developmental Evaluation (DE) ให้ผู้รับผลเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ที่จะต้องร่วมดำเนินการ (actor) หรือร่วมสร้างสรรค์ (co-creator)
ในการ transform ระบบที่ wicked ให้ได้ผลจริงจัง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายต้องร่วมกันเป็น co-creator หรือเป็นผู้ร่วมกันริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่ทำตัวเป็นผู้รอรับผล โดยไม่ลงมือร่วมกระทำการ
นี่คือเคล็ดลับของการสร้าง transformation ให้แก่ระบบต่างๆ ของประเทศ ที่ต่างก็เป็น wicked systems ทั้งสิ้น ซึ่งผมตีความเคล็ดลับนี้ว่า การสร้าง transformation เชิงระบบ ทำโดยแนวทาง top-down, command & control จะไม่ได้ผล ต้องดำเนินการตามแนวทาง ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมเป็นผู้ร่วมคิด และริเริ่มกระทำการ มีการจัดการวงจรเรียนรู้จากการปฏิบัติให้เป็นพลังของ transformation
ผมเสนอแนวทางใช้ “พลังจักรวาล” เพื่อการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงไว้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=p9FDK3MPqMY
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ธ.ค. ๖๕
But not all stakeholders can ‘negotiate their benefits’ (in simpler terms -they can’t always divide the pie peacefully). Co-creation is only possible when the stakeholders agree to settle first before they put in the effort to make ‘the pie’.