การศึกษา..ณ ปัจจุบัน มีความพยายามจะยกระดับอาชีพ “ครู” ทำทุกวิถีทางที่จะพัฒนาครูสู่มืออาชีพ มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริง
เริ่มตั้งแต่ปรับปรุงหลักสูตรการผลิตครูและ เปลี่ยนแปลงกระบวนวิธีสอนตั้งเเต่ครูยังอยู่ในรั้วของมหาวิทยาลัย เพื่อให้ว่าที่ครู...มีทั้งความรู้และประสบการณ์
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ครูต้องพร้อมและปรับตัว เพื่อก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลง ที่มาจากนโยบายที่อ้างถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของโลก
นวัตกรรม..รูปแบบและกิจกรรมที่แปลกใหม่ถาโถมมาให้ครูนำสู่ห้องเรียน ทุกสรรพสิ่งขับเคลื่อนสอดรับกับมาตรฐานการศึกษาชาติ ที่ครูมิอาจปฏิเสธได้
ทั้งแนวทางการกำหนดตำแหน่งและแต่งตั้งครูถูกปรับปรุงอยู่ตลอด การได้มาซึ่งวิทยฐานะไม่ง่ายอีกต่อไปแล้ว รวมไปถึงล่าสุดการเขียน “คำร้องขอย้าย” ให้ครูเขียนได้ปีละ ๒ ครั้ง
ตามเกณฑ์ของกคศ.ที่กำหนดไว้อย่างละเอียดยิบ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เอื้อให้ครูได้เขียนย้ายหรือฝันว่าจะได้ย้าย จะไม่ง่ายดายอีกต่อไปแล้ว
มองอีกมุมหนึ่ง..เขา(กคศ.) คงต้องการพัฒนาครูทั้งระบบจริงๆ หากครูทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การนำผลที่เกิดจากการปฏิบัติงานมาประกอบในคำร้อง ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก
หลักเกณฑ์ในการเขียนคำร้องขอย้ายของครู มีอยู่ข้อหนึ่งที่ครูต้องสนใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องศึกษา มิฉะนั้นจะเสียคะแนนและอาจทำให้ผิดหวัง ไม่ได้ย้ายกลับไปอยู่โรงเรียนใกล้บ้าน...
ตามเกณฑ์แต่ละข้อล้วนมีคะแนน ครูอบรมสัมมนาหลักสูตรใด? ที่ไหน? จัดโดยใคร? เป็นจำนวนกี่วัน? ให้ระบุมาให้ชัดเจน ครูจะทำเป็นตาราง แยกแยะมากแค่ไหนไม่มีใครว่า
แต่ครูต้องบอกให้ได้ว่า..ความรู้ที่ครูได้มาจากการศึกษาอบรมนั้น ครูนำไปใช้พัฒนานักเรียนอย่างไร? บังเกิดผลดีต่อนักเรียนและโรงเรียนมากน้อยแค่ไหน?..บรรยายไม่เกิน ๓ หน้า
งานนี้...ผู้บริหารโรงเรียนมีโอกาสได้อ่านบทความของครูอย่างแน่นอน ก่อนลงนามในคำร้องของครู...จึงต้องดูให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อมิให้ครูสูญเสียคะแนนในส่วนนี้
ครูหลายคน...ไม่อยากคิดและเขียน จึงไปคัดลอกในเพจสำเร็จรูป ลอกต่อๆกันไป โดยที่ไม่สอดคล้องกับปริมาณและคุณภาพของงาน ตลอดจนไม่เกี่ยวข้องกับบริบทของงานที่ทำอยู่จริง
เชื่อว่า....เขตพื้นที่การศึกษาฯ ก็รู้ คงต้องดูต่อไปว่าจะทำอย่างไร...ผมจึงให้กำลังใจครูที่มีปัญหาในจุดนี้ว่า จงเขียนเองเถิด ด้วยความจริงและสำนวนอันใสซื่อนี่แหละ...ดีที่สุด
ครูที่เสร็จสิ้นการอบรมสัมมนา แล้วนำสิ่งที่ได้มาสรุปให้ผอ.ทราบ หรือครูที่ต่อยอดด้วยงานโครงการฯ จะมีการรายงานผลตอนสิ้นปี ครูกลุ่มนี้น่าจะเขียนบรรยายในคำร้องขอย้ายได้ไม่ยาก
แต่ถ้าคิดไม่ออกบอกไม่ถูก ผมคิดว่า..ครูต้องหยิบยกเอาหัวข้อการอบรมสัมมนามาสัก ๑ – ๒ รายการ เลือกหัวข้อที่อยู่ในความนิยม หรือเป็นงานนโยบายที่ต้นสังกัดเน้นย้ำ
เช่นการอบรม ACTIVE LEARNING เวลาที่ครูเขียนบรรยายถึงวิธีการนำไปใช้ ครูควรเขียนให้ตรงวิชาเอก หรือวิชาที่สอน และระบุชั้นให้ชัดเจน เพื่อให้งานเขียนง่ายขึ้นและเชิงประจักษ์มากขึ้น
ยกตัวอย่าง ครูภาษาไทยกับACTIVE LEARNING และสอนชั้น ป.๓ หลังจากอบรมฯ ครูปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอนอย่างไร ก็ต้องเริ่มจากการผลิตสื่อฯ ครูให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรม มีการแสดงบทบาทสมมุติ และมีการศึกษานอกสถานที่
ครูเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดและพูด ตลอดจนนำเสนอผลงาน ด้วยกระบวนการคิดและวิเคราะห์ต่างๆนานา...ครูก็เขียนบรรยายตามความเป็นจริง
ท้ายที่สุด..ครูก็ต้องบอกผลที่เกิดขึ้น เด็กมีพัฒนาการอย่างไร..เช่น.สนใจเรียน และเรียนอย่างมีความสุข นักเรียนและผู้ปกครองมีความพึงพอใจ การปรับเปลี่ยนวิธีสอนทุกอย่างย่อมส่งผลต่อคุณธรรมจริยธรรมของเด็ก
ครูต้องบอกได้ว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร มีสมาธิ มีวินัยหรือมีความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน หรืออาจจะบอกผลในเชิงพัฒนา เป็นค่าคะแนนร้อยละ จากการทดสอบและประเมินผลปลายปีก็ได้
ผมคิดว่า...ครูจะอบรมอะไรมา ผลที่สุดแล้ว ก็ต้องมาจบลงที่ห้องเรียนและสะท้อนที่ตัวเด็ก หากครูเก็บเล็กผสมน้อย ฝึกเขียนบรรยายสั้นๆเอาไว้ ประติดประต่อให้ดี เขียนย้ายแต่ละที คงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๒๕ มกราคม ๒๕๖๖
ไม่มีความเห็น