ในช่วงเวลานี้ ขอแค่ได้ทำในสิ่งที่รักและรักในสิ่งที่ทำก็พอแล้ว เพราะเวลาเหลือไม่มาก ท้ายที่สุดของการรับราชการ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๙ และจะไปจบลงในเดือนกันยายน ๒๕๖๖
ขอมีความสุข ๕ ประการ สรุปงานไว้ให้ตนเองได้เดินทางไปถึงฝั่งฝัน เริ่มจากพัฒนาโคกหนองนา พัฒนาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ซ่อมแซมและปรับปรุงอาคารเรียน ตลอดจนพัฒนาเทคโนโลยี “คอมพิวเตอร์” และท้ายที่สุดพัฒนา “การอ่าน” ชั้น ป.๑
จริงๆแล้ว ก่อนหน้านี้ได้พยายามพัฒนาการอ่านมาแล้วทุกชั้น ตลอดระยะเวลา ๑๖ ปี ที่ได้บริหารจัดการในโรงเรียนขนาดเล็ก ผลการพัฒนาลุ่มๆดอนๆในระยะ ๕ - ๖ ปีแรก อันเนื่องมาจากปัญหาอุปสรรคและความขาดแคลนในโรงเรียน
ต่อมาปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ค่อยๆหมดไป แต่กลับกลายเป็นว่าจำนวนนักเรียนมากขึ้น สิ่งที่จุดประกายให้ใช้การอ่านเป็นเครื่องมือนำร่อง เกิดจากแนวคิดที่ผมมองโรงเรียนมาตลอด เพราะโรงเรียนขนาดเล็ก ไม่มีอะไรสำคัญและพัฒนาได้ง่ายเท่า “การอ่าน”อีกแล้ว
เพราะผมจบวิชาเอกภาษาไทย และผมสอนหนังสือได้ โรงเรียนขาดครูวิชาเอกหลักๆ ไม่มีครูเอกคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษ หากผมไม่ช่วยฉุดวิชาภาษาไทยให้สูงขึ้นมา โรงเรียนหลังนี้จะเหลืออะไรไว้ให้ชื่นชม
“การสอนอ่าน” ไม่ต้องรอให้ครูพร้อม ไม่ต้องรอให้นักเรียนพร้อมและไม่ต้องใช้เทคโนโลยีและงบประมาณมากมาย แค่ใช้หัวใจทำงาน และใช้หัวใจสั่งการให้รักการสอนอ่านและรักในงานที่เป็นวิชาชีพอันทรงเกียรตินี้ก็พอ
ตลอดเกือบ ๑๐ ปีที่สอนการอ่านให้นักเรียน ปรากฎผลในบั้นปลายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลการสอบโอเน็ตชั้น ป.๖ ไม่ตกต่ำ คือความพึงพอใจที่จดจำไว้เรื่อยมา ปี ๒๕๖๓ - ๒๕๖๔ สอนชั้นป.๑ - ป.๓ อย่างเต็มที่ แต่ปีนี้ไม่ใช่แล้ว
ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ขอพัฒนาการอ่านชั้น ป.๑ เพียงชั้นเดียว เพราะถ้ามุ่งสอนหลายชั้น ร่างกายจะไปไม่ไหวและจะไม่เกิดมรรคเกิดผลอะไรเลย ที่สำคัญก็คือ ชั้น ป.๑ เป็นชั้นที่วิกฤติที่สุด
ก่อนขึ้นชั้น ป.๑ นักเรียนกลุ่มนี้อยู่ชั้นอนุบาล ๓ ที่ไม่ได้ค่อยได้เรียนหนังสือ อยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ เพราะปัญหาโควิด การเรียนรู้ถดถอยมากมาย ขาดการเตรียมความพร้อมและขาดแรงจูงใจในการอ่านหนังสือ
ผมเริ่มสอนอ่านชั้นป.๑ ตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่ ๑ เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๕ นำพานักเรียนอ่านตั้งแต่ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก สอนให้รู้จักสระง่ายๆ ในขณะเดียวกันก็ใช้การปฏิสัมพันธ์ สร้างความรักความคุ้นเคยเพื่อให้เด็กอยากเรียน
ผลการทดสอบ ด้วยข้อสอบประเมินการอ่านของเขตพื้นที่ฯก่อนปิดภาคเรียนเดือนตุลาคม โรงเรียนได้รับเกียรติบัตรดีเด่นว่าอ่านได้ ๑๐๐ % ทำให้ผมมั่นใจว่ามาถูกทาง เด็กมีพัฒนาการที่เข้าใจการผสมตัวสะกดคำแบบฝังลึก
สิ่งที่ทำให้ผมมีกำลังใจก็คือวันที่ ๑ พฤศจิกายนที่ผ่านมานี่เอง เปิดเทอมวันแรก เด็กกลับมาอ่านหนังสือในบทเรียนที่ต้องทบทวน ทุกคนอ่านได้คล่องเหมือนเดิม แสดงว่าเขาเกิดความเข้าใจ มากกว่าการท่องจำ
รวมทั้งผู้ปกครองสนับสนุนส่งเสริม ให้ความร่วมมือตามที่ผมแนะนำ โดยเด็กแต่ละคนควรต้องพัฒนาหรือปรับปรุงแก้ไขตรงไหน อีกทั้งปัญหาสุขภาพที่ทำให้เด็กขาดเรียน เราก็ต้องหันมาร่วมมือและแก้ปัญหาไปด้วยกัน
ผมจำเป็นต้องลงทุนกับการจัดซื้อหนังสือส่งเสริมการอ่านชั้นป.๑ เพื่อให้เด็กของผมมีหนังสือที่มีคุณภาพไว้อ่านอย่างหลากหลาย แจกให้นักเรียนอ่านทุกวันเป็นรายบุคคล โดยผมจะสอนเป็นขั้นเป็นตอน สอนไปทบทวนไป ใช้ควบคู่กับหนังสืภาษาพาที ที่เป็นหนังสือของกระทรวงศึกษาธิการ
ทุกวันนี้ผมมีความสุขมาก ที่เห็นเด็กป.๑ ของผมอ่านได้ลายมือสวย สะกดคำได้เร็ว ไม่อ้ำอึ้งนานๆเหมือนเมื่อก่อน ทุกคนจะช่วยกันอ่าน เพื่อนจะสอนเพื่อนที่อ่อนกว่า ไม่ต่อว่ากัน อ่านคำใหม่ได้เร็วขึ้นและอ่านเรื่องราวยาวๆได้
อีก ๒ เดือน เด็กต้องสอบอ่านด้วยแบบทดสอบระดับชาติ ที่เรียกว่าสอบ RT ผมไม่ได้คาดหวังถึงค่าคะแนนว่าเด็กจะต้องได้ดีเยี่ยม แต่เชื่อว่าเด็กจะสอบอ่านคำและข้อความอย่างสนุก ครูคุมสอบจากโรงเรียนอื่นต้องแปลกใจแน่
ส่วนผมจะไม่แปลกใจแต่อย่างใด เพราะลงมือปั้นมากับมือ ฝึกปรืออยู่ทุกวัน และมีความสุขที่เห็นเด็กอ่านคล่องเขียนคล่อง ส่งต่อหรือเลื่อนชั้นขึ้นไปอย่างสดใส เรียนรู้ก้าวไกลไปตลอดกาล ส่วนผมก็เกษียณงานแต่เพียงเท่านี้
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
ไม่มีความเห็น