ชื่อบันทึกนี้ฟังดูง่ายๆ ว่าเป็นเรื่องของการเสียสละ เป็นเรื่องของการทำเพื่อผู้อื่น เพื่อส่วนรวม
แต่เวลาทำจริงๆ ไม่ง่าย มันอยู่ในความซับซ้อนของชีวิต ยิ่งในสังคมปัจจุบัน ยิ่งซับซ้อน คนเรามักทำเพื่อตัวเอง เพื่อผลงานของตน เพื่อเส้นทางความสำเร็จในชีวิตของตนเป็นสำคัญ ทำให้เผลอลืมคิดถึงเป้าหมายใหญ่ เพื่อบ้านเมือง
ข้อความในย่อหน้าบนนั้น ผมไม่เชื่อ โดยไม่เชื่อมาตลอดชีวิต และพิสูจน์มาด้วยตนเองว่า ความไม่เชื่อนั้นให้ผลดีต่อชีวิตของผมมากอย่างอเนกอนันต์
ผมคิดว่าคนเราส่วนใหญ่ถูกม่านบังตา ม่านนั้นคือกิเลสตัณหาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้มองไม่ทะลุไปที่เป้าหมายใหญ่กว่า คือผลประโยชน์ส่วนรวม ผลประโยชน์ของผู้อื่น ชีวิตจึงอยู่กับเป้าหมายระยะสั้น หรือเป้าเล็ก ไม่ไปสู่เป้าใหญ่ ดังบันทึก (๑) และ (๒)
นี่คือเรื่อง “จิตใหญ่” มุ่งทำเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าทำได้ยาก มีคนเห็นด้วยน้อย มีคนคัดค้านหรือขัดขวางมาก เพราะมองไม่เห็นเป้าหมายนั้น หรือเห็นแต่คิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน
คนส่วนใหญ่จึงไม่กล้า ไม่อยาก และเผลอไม่ทำ ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ที่ยิ่งนับวันผมก็ยิ่งสังเกตเห็นว่า สาเหตุหลักคือกิเลสในตน ที่คนเราที่เป็นปุถุชนทุกคน (รวมทั้งผม) มี และเข้ามาบดบังเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ และแนวทางที่จะเกิดประโยชน์ยิ่งใหญ่เสีย
เดี๋ยวนี้ ผมจึงยับยั้งตัวเอง ไม่ให้เข้าไปผลักดันเป้าหมายหรือยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนและมุ่งประโยชน์ส่วนรวมในวงที่ทดสอบแล้วว่ายังมีม่านบังใจหนา ยังมุ่งทำเพื่อตัวเองเป็นหลัก เพราะเสียเวลาของผม เวลา และความสามารถของผมมีจำกัด และมีโอกาสเลือกเข้าไปผลักดัน ณ จุดที่น่าจะทำงานก่อประโยชน์ได้หลากหลายจุด หลากหลายแบบ
คิดอย่างนี้ถูกหรือผิดก็ไม่ทราบ
วิจารณ์ พานิช
๗ ก.ย. ๖๕