นี่คือปิ๊งแว้บ จากการเตรียมประชุมคณะอนุกรรมการด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์ ติดตามและประเมินผล ในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ครั้งที่ ๔/๒๕๖๕ เย็นวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๕
หลังจากดำเนินการมา ๓ ปี เริ่มเห็นผลของการ ปลดล็อก กฎระเบียบที่รัดรึงโรงเรียนและครู โดยเห็นว่านักเรียนได้รับประโยชน์ ผลลัพธ์การเรียนรู้มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ครูจัดการเรียนรู้แบบ เรียนรู้เชิงรุก (active learning) แก่นักเรียนได้สะดวกขึ้น ครูถูกใช้งานด้านอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการดูแลนักเรียนน้อยลง โรงเรียนได้รับการสนับสนุนจากกลไกสนับสนุนในพื้นที่มากขึ้น มีจังหวัดสมัครเป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จาก ๘ จังหวัดเดิม คือ กาญจนบุรี เชียงใหม่ ระยอง ศรีสะเกษ สตูล นราธิวาส ยะลา ปัตตานี มีสมัครขอเป็นจังหวัดพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเพิ่มอีก ๗ จังหวัด คือ กระบี่ ตราด แม่ฮ่องสอน สุโขทัย สงขลา สระแก้ว อุบลราชธานี
ผมตีความว่า พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเป็นการทดลองให้พื้นที่ (จังหวัด) จัดการตนเองด้านการศึกษา ซึ่งในขณะนี้การทดลองทำได้เพียงไม่ถึงครึ่ง เพราะยังไม่สามารถปลดล็อกด้านการบริหารเงินและบุคลากรได้ แม้เวลาจะผ่านมากว่า ๓ ปีแล้ว ไม่ทราบว่าปลดไม่ได้หรือไม่อยากปลด
กระแสสังคม น่าจะช่วยกันเรียกร้อง ให้ปลดให้หมด ไม่ขยักอำนาจของส่วนกลางไว้
แต่นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของบันทึกนี้
วัตถุประสงค์หลักของบันทึกนี้คือ ต้องการชี้ให้เห็นเป้าหมายหลักของการมีพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ว่าไม่ใช่เพื่อมีพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา แต่เพื่อใช้พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของระบบใหญ่ ในลักษณะทำไปเรียนรู้ไปขับเคลื่อนไป คือต้องรู้จักใช้พลังของ Kolb’s Experiential Learning Cycle
ดังนั้น สบน. (สำนักบริหารพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา) จึงต้องสร้าง Experiential Learning Platform ของและระหว่างพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาขึ้น สำหรับยกระดับคุณภาพผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนในพื้นที่นวัตกรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป และสื่อสารเป็นตัวอย่างให้แก่ระบบใหญ่ของประเทศ
ข้างบนนั้นเขียนก่อนการประชุม ในที่ประชุม มีการเสนอข้อมูลการขอเข้าเป็นจังหวัดพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาของจังหวัดอุบลราชธานี และสงขลา ที่การนำเสนอสะท้อนภาพของมุมมองและวิธีคิดของคนในวงการบริหารการศึกษา ที่น่าจะได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาทางขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต่อไป
อีกวาระหนึ่งคือ ความก้าวหน้าของโครงการจัดทำมาตรฐานข้อมูลและมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลการจัดการศึกษาของ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาและสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ที่ทีมงานจากจุฬาฯ นำเสนอ ช่วยให้ได้ตั้งคำถามลึกๆ จากมุมมองของผมว่า มาตรฐานข้อมูลและระบบข้อมูลเป็น means ไม่ใช่ end ตัว end คือมีการใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ต่อตัวเด็ก และนักเรียนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ต้องการ
การประชุมล่วงเลยไป ๑ ชั่วโมง ผมได้โอกาสเสนอตอนจบ ว่า สบน. ควรจัดให้มี learning platform ระหว่างพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เปิดโอกาสให้แต่ละพื้นที่นำประสบการณ์ของตนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน สู่ความเข้าใจหลักการ ที่จะนำสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ และมีความเสมอภาค ของนักเรียน
วิจารณ์ พานิช
๑๗ ส.ค. ๖๕
ไม่มีความเห็น