ร่าง พรบ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... ระบุในมาตรา ๕๕ ให้มีสถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ และมาตรา ๙๘ ระบุให้ สสวท. ทำหน้าที่นี้ ใน ๕ ปีแรก สสวท. จึงตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ (สพลร.) มี รศ. ดร. คุณหญิง สุมณฑา พรหมบุญ เป็นประธาน ผมได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการด้วย จึงมีโอกาสได้เรียนรู้มากจากกระบวนการทำงาน
ผมมีความเห็นว่า สถาบันนี้ต้องก้าวข้ามมายาคติอย่างน้อย ๒ อย่าง ที่เป็นกับดักความก้าวหน้าของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทย คือ
ในโลกแห่งความเป็นจริงที่มีลักษณะ VUCA (volatile, uncertain, complex, ambiguous) / BANI (brittle, anxious, non-linear, incomprehensible) ระบบใดก็ตามที่ไม่มีกลไกเรียนรู้และปรับตัวภายในระบบ เสี่ยงต่อความล้าหลักตกยุค (ดังที่ระบบการศึกษาของเรากำลังเผชิญ)
สพลร. จึงต้องใช้กระบวนทัศน์ใหม่ใน ๒ ประเด็นข้างบนคือ
เท่ากับ สพลร. ทำหน้าที่จัดกระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่มีชีวิต ทำให้การพัฒนาและการประยุกต์ใช้หลักสูตรเข้ามาบรรจบเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกัน และขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปด้วยกัน โดยมีการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ หรือเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงาน ที่เรียกว่า Kolb’s Experiential Learning Cycle โดยใช้พลังของ Action Science ที่เรียกว่า Double-Loop Learning
หัวใจสำคัญคือ หน่วยพัฒนาหลักสูตรต้องไม่ทำตัวเป็นหน่วยเหนือ ทำหน้าที่ “ผู้รู้” กำหนดให้ฝ่ายปฏิบัติ (“ผู้ไม่รู้”) ทำตาม เพราะลงท้ายจะกลายเป็น “ผู้เขลา” ไปทั้งหมด ชวนกันร่วมกันเป็นขบวน “ผู้ล้มเหลว”
ในยุค VUCA/BANI “ผู้สำเร็จ” คือผู้เรียนรู้เร็ว ปรับตัวเร็ว ต้องไม่รอให้คนอื่นมาบอก คือต้องเรียนรู้จากการปฏิบัติของตัวเอง และต้องหาภาคีร่วมเรียนรู้ และที่สำคัญยิ่งคือต้องกล้าหาญที่จะร่วมเรียนรู้กับ ผู้/หน่วยงาน ที่คิดต่างมองต่าง ต้องพร้อมที่จะเข้าสู่ transformative learning
วิจารณ์ พานิช
๒๑ ก.ค. ๖๕
ไม่มีความเห็น