คำนิยม
หนังสือ บทเรียน การพัฒนา ความท้าทาย TSQP
วิจารณ์ พานิช
…………………
ผมอ่านต้นฉบับหนังสือ บทเรียน การพัฒนา ความท้าทาย TSQP ของมูลนิธิสตาร์ฟิช ด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะวิธีออกแบบหนังสือเป็นการให้ข้อมูลปฐมภูมิจากครูแกนนำ ๗ ท่าน จาก ๗ โรงเรียน ที่เป็นโรงเรียนในโครงการ TSQP (โรงเรียนพัฒนาตนเอง) รุ่นที่ ๑ ภายใต้การดำเนินการของมูลนิธิ สตาร์ฟิช คันทรีโฮม จำนวน ๕๗ โรงเรียน ช่วยให้ผมได้เข้าใจสภาพจริงที่ครูเผชิญ ในโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ดูแลนักเรียนที่มาจากชุมชนชายขอบ หรือมาจากครอบครัวด้อยโอกาส
ช่วยให้ผมเห็นคุณค่าของโครงการ TSQP (Teacher and School Quality Program) หรือชื่อไทยว่า โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเองทั้งระบบ ที่ กสศ. (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) ริเริ่มขึ้นเมื่อ ๓ ปีก่อน และผมได้รับโอกาสเป็นประธานคณะอนุกรรมการกำกับทิศทางของโครงการ
มูลนิธิ สตาร์ฟิชคันทรีโฮม นำโดย ดร. นรรธพร จันทร์เฉลี่ย เสริบุตร (ดร. แพร) เป็น ๑ ใน ๕ ทีมโค้ชที่ได้รับการคัดเลือก จาก กสศ. ให้ดำเนินการโครงการ TSQP ทั้งรุ่น ๑ และรุ่น ๒ โดยหนังสือเล่มนี้ เป็นบันทึกเรื่องราวของโรงเรียนรุ่น ๑ ที่ดำเนินการโครงการครบ ๓ ปีแล้ว
ต้นฉบับหนังสือเล่มนี้ ช่วยให้ผมเข้าใจสภาพจริง ที่เกิดขึ้นต่อนักเรียน ครู ผู้อำนวยการ และโรงเรียน ในช่วง ๓ ปีของโครงการ ที่เริ่มจากปี พ.ศ. ๒๕๖๓ จนสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ เพิ่มจากข้อมูลที่มีการนำเสนอในการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับโครงการ
เป็นสภาพจริงที่มีลักษณะลุ่มๆ ดอนๆ ต้องเผชิญวิกฤติจากการระบาดของโรคโควิด ๑๙ ในช่วงปีที่ ๒ และ ๓ ของโครงการ ได้เห็นภาพการจัดการการเรียนรู้ ให้แก่นักเรียน ในสภาพที่ไม่ปกติ เป็นข้อมูลจริง และข้อมูลจากการสะท้อนคิดของครู ที่มีคุณค่ายิ่ง และจะมีคุณค่ายิ่งขึ้น หากท่านผู้อ่านสะท้อนคิดอีกชั้นหนึ่ง ว่าข้อมูลจริงและข้อสะท้อนคิดเหล่านี้ บอกอะไรแก่เรา ในประเด็นของการจัดระบบการศึกษาไทย เพื่อให้ระบบการศึกษาไทยส่งมอบผลลัพธ์การศึกษาคุณภาพสูงแก่นักเรียน
ข้อความในต้นฉบับของหนังสือนี้ ช่วยยืนยันความเชื่อของผมว่า ครูไทย ผู้บริหารโรงเรียนไทย และโรงเรียนไทย แม้จะเป็นโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ดูแลนักเรียนชายขอบหรือด้อยโอกาส สามารถพัฒนาตนเองสู่สภาพสถานศึกษาคุณภาพสูงได้ หากได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้องเหมาะสม โดยที่เป้าหมายของการพัฒนานั้น อยู่ที่นักเรียน มีเป้าหมายเพื่อผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับสูงของนักเรียน
การสนับสนุนที่ถูกต้องเหมาะสม อยู่ในตอนที่ ๓ ของหนังสือ เน้นการสนับสนุนด้วยวิธีการ coaching ซึ่งเน้นความสัมพันธ์แนวราบ
นอกจากนั้น สาระในต้นฉบับหนังสือ น่าจะช่วยสื่อสารต่อผู้มีอำนาจ และมีหน้าที่รับผิดชอบคุณภาพการศึกษาไทย ให้พิจารณา เปลี่ยนมาใช้วิธีการที่มูลนิธิสตาร์ฟิช คันทรีโฮม ดำเนินการให้แก่โรงเรียนในโครงการนี้ เปลี่ยนจากวิธีบริหารแบบเดิมที่เป็นความสัมพันธ์แนวดิ่ง ควบคุมและสั่งการ มาเป็นวิธีการโค้ช และเรียนรู้ไปด้วยกัน
มูลนิธิสตาร์ฟิช คันทรีโฮม เป็นทีมโค้ชทีมเดียวใน ๕ ทีมของโครงการ TSQP รุ่นที่ ๑ ที่สะท้อนการเรียนรู้จากการทำหน้าที่ โค้ช แก่โรงเรียนในเครือข่าย ออกมาเป็นหนังสือเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง ดังหนังสือ สร้างทักษะแห่งอนาคต ด้วย Makerspace และ STEAM Design Process (ที่อ่านคำนิยมของผมได้ที่ https://www.gotoknow.org/posts/692271) y ผมจึงขอแสดงความชื่นชมต่อมูลนิธิฯ ที่มีการทำงานควบคู่กับการเรียนรู้จากประสบการณ์ ตีความจากประสบการณ์ออกเป็นหลักการ (conceptualization) ออกสื่อสารเผยแพร่เพื่อประโยชน์สังคมอย่างต่อเนื่อง
ผมขอแสดงความชื่นชมวิธีนำเสนอในตอนที่ ๑ และ ๒ ของหนังสือ ที่ทีมงานของมูลนิธิสตาร์ฟิช คันทรีโฮม ตั้งคำถามให้เกิดสุนทรียสนทนา (dialogue) กับผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับครู ๗ ท่าน จาก ๗ โรงเรียน เป็นคำถามที่ชักนำให้เกิดการพูดคุยสบายๆ ออกมาจากใจ เมื่อเอามาลงไว้ในหนังสือช่วยสื่อให้เห็นสภาพการทำงานในโรงเรียนทั้ง ๗ ได้อย่างลุ่มลึก ที่หลายส่วนน่าจะสื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดได้ฉุกคิดและปรับปรุงวิธีทำงาน รวมทั้งสื่อให้เห็นว่า วิธีการของโครงการ TSQP และที่ มูลนิธิสตาร์ฟิช คันทรีโฮม คิดสร้างสรรค์ขึ้น ใช้การได้จริง
แต่เราจะได้รับรู้จากข้อความเสวนาที่ครูสะท้อนออกมาว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดขึ้นได้ยากมากในสภาพของระบบการบริหารงานในกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน เพราะโรงเรียนเหล่านี้เป็นเพียงทางผ่านของครูและผู้บริหาร มีครูน้อยคนที่คิดปักหลักทำงานสร้างผลงานและสร้างตัวในโรงเรียนนั้นๆ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของคุณภาพการเรียนรู้ที่นักเรียนจะได้รับ
สาระของคำเสวนาของครูทั้ง ๗ บอกผมว่า ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน เป็นระบบเพื่อผู้ปฏิบัติงานในระบบเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง ไม่ใช่คุณภาพของผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง ไม่ทราบว่าผมหลงผิดหรือไม่ ที่ตีความดังกล่าว
จะเห็นว่า คุณค่าของหนังสือเล่มนี้ ที่เป็นปฐมภูมิคือ วิธีการจัดการเรียนรู้แบบ การเรียนรู้เชิงรุก (active learning) และวิธีเผชิญวิกฤติโควิด ๑๙ เพื่อเอาชนะสภาพการสูญเสียการเรียนรู้ (learning loss) จากการที่นักเรียนไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียน คุณค่าเชิงทุติยภูมิคือ การสื่อสารต่อผู้รับผิดชอบระบบการศึกษาไทย ตามที่ผมตีความ (ที่ไม่รับรองว่าตีความถูกต้อง)
ผมขอแสดงความชื่นชมต่อภาวะผู้นำของ ดร. นรรธพร จันทร์เฉลี่ย เสริบุตร (ดร. แพร) ที่ริเริ่มการจัดทำหนังสือ จากประสบการณ์ดำเนินการโครงการ TSQP ออกเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง ขอขอบคุณทีมงานของมูลนิธิ ที่จัดทำหนังสือที่มีคุณภาพ มีความประณีต และเปี่ยมด้วยสาระออกเผยแพร่แก่สังคมไทย
วิจารณ์ พานิช
๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๕
………………………