GotoKnow

คิดอย่างเป็นระบบกับคิดฐานทฤษฎีระบบ (Systematic and Systems-based Thinking)

​ศ.ดร. สมาน (Saman) อัศวภูมิ (Asawapoom)
เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2565 16:03 น. ()

เชื่อว่าผู้อ่านคงเคยได้ยินและคุ้นเคยกับคำว่า “การคิดอย่างเป็นระบบ (systematic thinking” แต่เชื่อว่าคงไม่เคยได้ยินหรือค่อยคุ้นเคยกับคำว่า “การคิดฐานทฤษฎีระบบ (systems-based thinking” เพราะนี่เป็นศัพท์บัญญัติและหลักคิดที่ผมนำใช้มาสองสามปีนี่เอง 

ลูกศิษย์ที่ผมสอน หรือผู้เข้าอบรมที่ผมเป็นวิทยากรอาจจะเคยได้ยินคำนี้ แต่อาจจะไม่ค่อยใส่ใจหรือสนใจว่ามันต่างกันอย่างไร แต่ถ้าเข้าใจและนำใช้ในชีวิตประจำวันหรือการทำงานแล้วผมเชื่อว่า “การคิดฐานทฤษฎีระบบ” จะสร้างความแตกต่างในสิ่งที่คุณเข้าใจและทำอยู่อย่างสิ้นเชิงครับ 

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “การคิดอย่างเป็นระบบคืออะไร และเป็นประโยชน์อย่างไร” ครับ 

การคิดและใช้ผลการคิดอย่างเป็นระบบมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตและการทำงานของมนุษย์มาหลายศัตวรรษ แต่การคิดฐานทฤษฎีระบบนี้เพิ่งมีบทบาทต่อวิธีคิดและวิธีทำงานของมนุษยชาติมาประมาณ แปดสิบปีมานี่เอง 

การทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ ว่า “การคิดอย่างเป็นระบบ” ก็คือ การเปรียบเทียบกาคิดอย่างเป็นระบบ กับการคิดอย่างไม่เป็นระบบครับ และถ้าจะให้เข้าใจง่ายกว่านั้นก็คือ “การทำที่เป็นระบบกับไม่เป็นระบบ” เช่น กับเก็บข้าวของที่เป็นระบบกับไม่เป็นระบบ ซึ่งผมไม่ต้องอธิบายว่าต่างกันอย่างไร 

การคิดอย่างเป็นระบบก็คือ "การคิดอย่างมีโครงสร้าง และมีขั้นมีตอน เพื่อจัดระบบในเรื่องที่คิดให้เป็นกลุ่มก้อน เป็นระบบระเบียบ เพื่อสะดวกในการทำความเข้าใจ นำเสนอ และจดจำ การจัดกลุ่มความคิดเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างระบบ และสร้างทฤษฑีครับ แต่การคิดฐานทฤฎีระบบนั้นสำคัญกว่านี้ครับ 

ทฤษฎีระบบ (system theory) พัฒนาขึ้นและส่งผลสำคัญต่อวิธีคิดและวิธีทำงานของนักวิชาการตั้งแต่ประมาณต้นทศวรรษที่ 1950 โดยเฉพาะหลังจาก ​Ludwig von Bertalanffy ได้รวบรวมแนวคิดและเขียนหนังสือ “General System Theory: Foundations, Development, Applications” ออกมาในปี 1968 เป็นต้นมาครับ  แต่แนวคิดของ “ทฤษฎีระบบ” ส่งผลสำคัญต่อพัฒนาการของแนวคิด ทฤษฎี และวิธีทำงานของคนบทโลกใบนี้มากมาย แต่ไม่ค่อยมีใครการนำมาใช้ในการอธิบายวิธีคิดและพัฒนาวิธีคิดของคนเราเท่าใดนัก

ผลก็คือเรามักจะพบว่า “มีการแก้ปัญหาแบบตาบอดคลำช้างบ่อยครั้ง” กล่าวคือเราทำงานหนัก ใชเ้กำลังคนเยอะ เสียงบประมาณ และเวลามากเพื่อแก้ปัญหาเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะแก้ได้ แต่อาจะพบว่าผลการแก้ปัญหาดังกล่าว สร้างปัญหาใหม่อีกหลายปัญหา ทำให้เราแก้ปัญหาแบบลิงแก้แหครับ 

หลังจากผมศึกษาแนวคิดของทฤษฎีระบบ การประยุกต์ใช้ทฤษฎีดังกล่าวในศาสตร์ต่าง และวิธีทำงานจากการประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีระบบมากหมาย แต่ก็ยังพบว่าโลกของเราก็ยังเผชิญปัญหามากมาย ในที่สุดก็พบว่า เรานำใช้ทฤษฎีระบบในการพัฒนาศาสตร์และวิธีทำงานมากมาก แต่เราไม่นำใช้ศาสตร์ดังกล่าวในการพัฒนาวิธีคิดของเราเลย จึงเร่ิมศึกษาว่าเราจะนำนวคิดจากทฤษฎีระบบมาใช้ในการพัฒนาวิธีคิดของเราได้อย่างไร จึงได้เสนอ “การคิดฐานทฤษฎีระบบ” ขึ้นมา และนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับลูกศิษย์และผู้เข้าอบรมที่ผมเป็นวิทยากรเรื่องนี้มา 2-3 ปี แล้ว จึงอยากนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ 

การทำความเข้าใจและการประยุกต์ใช้ทฤษฎีระบบเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการประยุกต์ใช้ สำหรับการนำใช้ทฤษฎีระบบเป็นฐานในการคิดที่มีประสิทธิผลนั้เนผมเห็นว่าหลักคิดสำคัญดังนี้ (1) ชุดขององค์ประกอบย่อยที่มีอิสระจากกันแต่มีความสัมพันธ์ในการทำหน้าที่ร่วมกันอย่างมีวัตถุประสงค์ และผลรวมในการทำหน้าที่ร่วมกันขององค์ประกอบเหล่านั้นจะมากกว่าผลบวกของหลังแต่ละองค์ประกอบรวมกัน (2) ระบบทุกระบบในโลกและจักวาลย์นี้มีความสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อกัน การแยกแยะ และกำหนดขอบเขตของระบบแต่ละระบบได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้  เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ทฤษฎีระบบ  และองค์ประกอบต่างที่อยู่ในขอบเขตระบบนั้นคือองค์ประกอบย่อยของระบบ ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ ที่อยู่นอกขอบเขตดังกล่าวเป็นบริบทของระบบ และ(3) การกำหนดขอบเขตของระบบอาจจะปรับเปลี่ยนได้จะกว่าจะตอบวัตถุประสงค์ของระบบเพื่อประโยชน์สูงสุดในการกำหนดระบบ 

ผู้อ่านพิจารณากรณีการกำหนดขอบเขตของระบบตามฐานทฤษฎีระบบในกรณี “ระบบการหายใจ” ของคนเราดูครับจะมีขอบเขตแค่ไหน และมีองค์ประกอบย่อยอะไรบ้าง" และก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า “วัตถุประสงค์ของระบบการหายใจคือ การนำอากาศเข้าและออกร่างกายเรา” 

บางท่านอาจจะบอกว่าระบบหายใจประกอบด้วย “ปอด หลอดลม จมูก” ขณะที่บางท่านอาจจะบอกว่า ระบบหายใจประกอบด้วย “ปอด หลอดลม จมูก กระบังลม และเส้นลือด” ซึ่งไม่มีใครผิด หรือถูกครับ แต่ประโยชน์อยู่ที่การใช้ประโยชน์ของระบบในกรณีรักษาปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ ถ้าเรากำหนดขอบเขตและองค์ประกอบของระบบการหายใจแบบหมอคนแรก เราก็จะมุ่งการรักษาปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจอยู่ที่ “ปอด หลอดลม และจมูก” ขณะที่หมอคนที่สองจะดูทั้ง “ปอด หลอดลม จมูก กระบังลม และหลอดเลือด” ซึ่งมีวิธีและผลที่แตกต่างแน่นอนครับ 

ผมจึงเห็นว่า “การคิดฐานทฤษฎีระบบ” เป็นจุดเริ่มต้นในการทำความเข้าใจ วิเคราะห์ปรากฏการณ์ หรือการแก้ปัญหาต่าง ๆ ต่อไปครับ กล่าวคือ ก่อนที่เราจะคิดอย่างเป็นระบบ หรือใช้ทฤษฎีต่าง ๆ ต่อไป เราต้องเร่ิมต้นทำจากการตีกรอบของเรื่องที่เราจะศึกษา หรือแก้ปัญหาก่อน แล้วเราจะเข้าใจระบบที่เราศึกษาหรือแก้ปัญหาไม่ตรงจุดมากขึ้นครับ 

ถ้ายังมีประเด็นอยากแลกเปลี่ยนต่อเนื่อง จะใช้ email ([email protected])  หรือแอดไลน์เบอร์โทร 0984262614  นี้ได้ครับ 

สมาน อัศวภูมิ 2565 

10 กรกฎาคม 2565

สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ

ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย