มัจจุราชมองไม่เห็นตัว
มัจจุราชมองไม่เห็นตัว
ดร. ถวิล อรัญเวศ
มัจจุราช หรือความตายนั้น ไม่มีใครจะหยั่งรู้ได้ว่า
จะมาถึงตัวเราเมื่อไร แต่มันติดตามเราเหมือนเงาตามตัวฉะนั้น
จึงเป็น เรื่อง “ความไม่ประมาท” เป็นหลักธรรมระดับ
หัวใจสำคัญของพุทธศาสนา ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระพุทธองค์ได้ตรัสปัจฉิมโอวาทว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลาย
มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท”
“ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย ความไม่ประมาท
เป็นทางแห่งความไม่ตาย คนไม่ประมาท ไม่มีวันตาย คนประมาท ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว”
รูปแบบหนึ่งของความไม่ประมาท ก็คือการไม่ผัดวันประกันพรุ่ง หรือ “การทำวันนี้ให้ดีที่สุด”
อันสอดคล้องกับพระพุทธดำรัสที่ว่า
“ควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรู้ว่าความตาย
อาจมาถึงในวันพรุ่ง”
พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นักเขียน นักปราชญ์คนสำคัญของไทย
เคยเล่าถึงตัวอย่างของการไม่ประมาทผ่านประสบการณ์ของท่านเอาไว้อย่างน่าสนใจมาก
ท่านเล่าว่า
สมเด็จฯ เสด็จกลับมาจากหัวหิน ผมก็ไปเฝ้าเยี่ยมในเย็นวันนั้น ที่ปากประตูกุฏิมี
ต้นอะไรแค่คืบใส่กระป๋องนมวางอยู่ ผมถามสมเด็จฯ ว่าต้นอะไร ท่านบอกว่า
“ต้นพะยอมว่ะ สมภารวัดหัวหินท่านให้มา”
“โอ้โฮ” ผมว่า
“ทำไมโอ้โฮ” สมเด็จฯ ถาม
“ก็ต้นพะยอมมันต้องใช้เวลาตั้งสี่สิบปี หรือห้าสิบปีตั้งแต่ปลูกจึงจะโตออกดอกได้
สมเด็จฯ แก่จะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว จะไปได้ดูดอกมันทันได้อย่างไร”
“อย่างนั้นหรือ” สมเด็จฯ ว่า
“เอ็งว่ากี่ปีนะ”
“ห้าสิบปี”
สมเด็จฯ ตะโกนเรียกไวยาวัจกรลั่นกุฏิ พอไวยาวัจกรมาเฝ้าแล้วรับสั่งให้เอา
ต้นพะยอมแค่คืบนั้นไปหาที่ปลูกทันที อย่าให้เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว
“ไอ้นี่มันบอกว่าต้องปลูกถึงห้าสิบปี ต้นพะยอมมันจึงจะออกดอก
ต้องรีบปลูกเร็วๆ อย่าให้เสียเวลา ลุแก่ความไม่ประมาทไม่ได้”
นับแต่นั้นเป็นต้นมา อาจารย์คึกฤทธิ์ก็เข้าใจถึงหลักธรรมข้อนี้ และ
ไม่ว่าท่านมีต้นไม้อะไร หรือมีอะไรที่จะต้องทำ ท่านก็จะรีบทำให้เร็วที่สุด
ไม่เคยผัดวันประกันพรุ่งอีกเลย
จากเรื่องเล่าที่กล่าวมาพอจะ
ทำให้เกิดตาสว่างแล้วว่า เราตั้งใจ
จะทำอะไรก็จงอย่าประมาทนั้นเอง
มีอะไรที่พอจะทำให้เสร็จไปได้วันนี้
ก็รีบทำเสียเลย ไม่ต้องรอวันรุ่งขึ้น
เพราะไม่มีใครที่อาจจะหยั่งรู้ได้ว่า
วันพรุ่งนี้ เราจะยังมีอีกไหม
ท่าน ว.วชิรเมธี ได้ให้แง่คิดไว้ว่าความประมาท 5 ประการ ที่ชาวพุทธควรหลีกเลี่ยง
1.ประมาทในชีวิตว่าจะยืนยาว
2.ประมาทในวัยว่ายังหนุ่มสาว
3.ประมาทในสุขภาพว่ายังแข็งแรง
4.ประมาทเวลาว่ายังมีอีกมาก
5.ประมาทในธรรมว่าเอาไว้ก่อนวันหลังค่อยสนใจ
ใครก็ตามถ้าประมาทในเหตุทั้ง 5 ประการนี้ มักต้องมานั่งเสียใจทุกครั้ง
เมื่อบุคคลอันเป็นที่รักต้องมาพลัดพรากจากไป หรือหากตัวเองจะต้องตายขึ้นมาบ้าง
ก็มักจะบ่นเพ้อด้วยความเสียดายว่า “รู้อย่างนี้ทำดีไปตั้งนานแล้ว”
ดังนั้น หากเราไม่อยากเสียใจ ไม่อยากพลาดวันเวลาสำคัญของชีวิตก็ควรหมั่นเจริญมรณัสสติอยู่เสมอ
เพราะเมื่อเราใช้ชีวิตดังหนึ่งความตายกำลังกวักมือเรียกอยู่ข้างหน้าทุกขณะจิต เราจะตระหนักรู้ว่าชีวิตมีค่าแค่ไหน มารดา บิดา สามี ภรรยา ลูกแก้ว เมียขวัญสำคัญเพียงไรสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็นเพียงไร
และทรัพย์สินศฤงคารอำนาจราชศักดิ์เป็นเพียงสิ่งสมมุติมายาเพียงชั่วคราวอย่างไร
ความตายจะเป็นดั่งระฆังแห่งสติที่เตือนให้เรากลับมาดำรงอยู่กับ
ความจริงและอยู่กับสิ่งที่เป็นแก่นสาร ทิ้งสิ่งที่เป็นเปลือกหรือหัวโขนของชีวิตอย่างรู้เท่าทัน
เมื่ออยู่เบื้องหน้าของความตาย อะไรๆในโลกก็กระจิริดไปเสียทั้งหมด
เราระลึกถึงความตายเพื่อเข้าใกล้ชีวิตที่มีแก่นสารที่สุด ดำรงอยู่อย่างคนที่ตื่นตัวและตื่นรู้ที่สุด
ฉะนั้น การระลึกถึงความตายแล้วเศร้าหมอง หดหู่ จึงไม่ใช่มรณานุสติที่ถูกต้อง
มรณานุสติที่ถูกคือ พอระลึกถึงว่าตนจะต้องตายในวันหนึ่ง
จิตจะตื่นขึ้นมาตระหนักรู้ถึงสัจธรรม
แล้วเร่งรีบกระทำแต่กรรมดี ใช้ชีวิตนี้อย่างคุ้มค่าที่สุด นี่ต่างหากคือสัมมาทิฏฐิ
(ความเข้าใจที่ถูกต้อง) และสัมมาปฏิบัติ (พฤติกรรมที่ถูกต้อง)
อันเป็นผลโดยตรงจากการเจริญมรณานุสติ
อวสฺสํ มยา มริตพฺพํ
วันหนึ่งเราจะต้องตาย
ชีวิตํ อนิจฺจํ
ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง
มรณํ เม ชีวิตํ
ความตายของเราเป็นของเที่ยง
ตระหนักรู้สัจธรรมอย่างนี้แล้ว พึงดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท
ความชั่วต้องรีบหนี ความดีต้อง
รีบทำ เพราะหากทำความดีช้าไป ผิว่าความตายอาจจะมาพราก
ก็จะมีแต่ความเศร้าและความเสียใจติดค้างไปตราบนานเท่านาน
แต่สำหรับบุคคลผู้ตื่นอยู่ หมั่นเจริญมรณานุสติอยู่เนือง ๆ
ดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท ครั้นความตายมาถึงเข้า ย่อมไม่วิโยคตกใจ
พร้อมเผชิญต่อความตายดังหนึ่งคนงานยืนรอเวลาเลิกงานด้วยใจยินดีปรีดา
มาถึงเมื่อไรก็พร้อมไปเมื่อนั้น
ที่กล่าวมาเพียงอยากจะให้
ตระหนักว่า ความตายไม่สามารถ
มองเห็นหรือหยั่งรู้ได้ว่าเราจะตาย
เมื่อไร วันนี้ วันพรุ่งนี้ หรือวัน
ต่อ ๆ ไป เราจะต้องตั้งอยู่ใน
ความไม่ประมาท ยังประโยชน์ตน
และประโยชน์ท่านให้สำเร็จด้วย
ความไม่ประมาท คือ
1.ไม่ประมาทในชีวิตว่าจะยืนยาว
2.ไม่ประมาทในวัยว่ายังหนุ่มสาว
อยู่
3.ไม่ประมาทในสุขภาพว่าเรายังแข็งแรงดีอยู่
4. ไม่ประมาทเวลาว่ายังมีอีกมาก
ยังมีเวลาเหลือเฟืออีกเยอะแยะค่อยทำก็ได้ไม่เห็นเป็นไร และ
5.ประมาทในธรรมว่าเอาไว้ก่อนวันหลังค่อยสนใจ ค่อยเรยนกัน ยังหนุ่มยังสาวอยู่
เอาไว้ทำตอนแก่โน้นก็ยังได้ แต่เราหารู้ไม่ว่า มัจจุราช หรือความตาย มองไม่เห็นตัว
ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ว่า ตัวเราเอง
จะตายเมื่อไร
ท้ายสุดขอฝากคำกลอนไว้ว่า
อย่าริหัด ผัดวัน ประกันพรุ่ง
ว่าเริ่มรุ่ง เราจะสู้ มิรู้ถอย
ผลวันหน้า อย่าหวัง เพียงแต่คอย
อย่ายอมปล่อย เวลาล่วงไปฟรี
จงรีบหมั่น ขยันไว้ แต่วันนี้
เพื่อโชคดี มีชัย ในวันหน้า
วันนี้เราเหน็ดเหนื่อย เมื่อยกายา
แต่วันหน้า เราคงพบโชค ประสบชัย
สุโข สุขัง สตางค์มีใช้กันเยอะ ๆ
ไม่ขาดมือ สมหวังดั่งใจปอง
แหล่งข้อมูล
https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/46651.html