ประสบการณ์ชีวิตในการดูแลรักษาสิ่งที่เป็นที่รัก


ประสบการณ์ชีวิตในการดูแลรักษาสิ่งที่เป็นที่รัก 

สมัยที่คุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนมากก็ไม่ได้ดูแลปฏิบัติติท่าน เนื่องจาก น้องสาวและลูกสาวคนโต จะช่วยกันปฏิบัติ คุณแม่  ยังโชคดีที่มีโอกาสได้ปฏิบัติคุณแม่ในคืนสุดท้ายของชีวิตท่าน ผมดูแลท่านทั้งคืน เนื่องจากน้องสาวและลูกสาวดูแลจนเพลียไปตามๆกัน

 สำหรับคุณพ่อ ผมเสียใจมากที่ไม่ได้มีโอกาสดูแลรับใช้ท่าน เนื่องจากเวลาที่คุณพ่อป่วยก็เข้าโรงพยาบาย โดยมีคุณแม่เป็นผู้เฝ้าไข้ คุณพ่อไม่ได้ป่วยไข้อาการหนัก หลังจากเกษียณอายุราชการ คุณพ่อยังแข็งแรงดี  เพียงแต่ท่านเริ่มหลงลืมไม่สามารถขับรถไปนอกบ้านเองได้ ถูกปล่อยทิ้งอยู่ตามลำพัง ในบ้าน ลูกสาวและหลานสาวก็พาแต่คุณแม่ไปเที่ยว  ช่วงนั้นส่วนมากผมไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ นานๆจะพาท่านออกไปเที่ยวสักครั้ง ท่านดีใจมาก ยิ้มเหมือนกับเด็กได้ของเล่น  วันหนึ่งท่านมีเสลดในคอ  หายใจไม่สะดวก ผมจึงพาท่านขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาย และท่านเสียชีวิตในรถผมก่อนถึงโรงพยาบาล 

สรุปตลอดชีวิตผมไม่เคยได้อยู่ดูแลเฝ้าไขคนที่เจ็บหนักเลย อย่างไรก็ตามผมมีประสบการณ์ดูแลใกล้ชิดและรักษาแมวตัวแรก เมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา พาไปหาหมอและปฏิบัติดูแลเป็นอย่างดี เห็นความทรมานของแมวที่ป่วย ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำ และในที่สุดก็ตาย เสียทั้งเวลา และเงินค่ารักษาเป็นจำนวนมาก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ร้องไห้จากการสูญเสียชีวิตของสัตว์เลี้ยง หลังจากนั้นก็ดูแลเลี้ยงดูแมวตัวที่สองที่ไม่ได้ป่วยเป็นอะไร จนปี 2559 แมวตัวที่สองก็ป่วย เสียค่ารักษา กับหมอ ถึงสามราย ในที่สุดก็จบลงที่ ร.พ.สัตว์มหาวิทยาลัยเกษตร หมอสรุปอาการจากผลเลือด และก็แจ้งว่าหายเป็นปกติแล้ว แต่ไม่ทราบสาเหตุ 

  ต้นเดือนพฤศจิกายน  2564 แมวตัวที่สอง ที่อยู่ร่วมกับผมอย่างใกล้ชิด เหมือนกับพ่อลูก (สนิทกับแมวมากกว่าลูกแท้ๆ เนื่องจากลูกโตหมดแล้วและแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น ผมจึงอยู่กันแค่ หนึ่งคน กับหนึ่งตัว ) ไม่ยอมทานอาหารได้แต่นอน เหมือนกับอาการเมื่อปี 2559 

วันที่ 10 พ.ย.2564 ได้พาไปพบ สัตว์แพทย์ที่คลินิกเอกชน หมอตรวจพบว่ามีไข้  เจาะเลือด และให้น้ำเกลือบำรุง วันรุ่งขึ้นได้ผลเลือด หมอได้ให้ยามาทาน พร้อมอาหาร และนัดไปดูผลอาทิตย์หน้า เข้าใจว่า ติดเชื้อพยาธิในเม็ดเลือด   พยายามป้อนอาหาร และยาแต่ก็ป้อนได้นิดหน่อยแมวไม่ค่อยให้ความร่วมมือ และ แมวพยายามจะขอออกไปข้างนอกบ้าน เนื่องจากหมอสั่งไม่ให้ปล่อยให้ออกไปนอกบ้าน แมวแสดงความไม่พอใจ แต่ในที่สุดแมวก็ยอมจำนง และพยายามหาที่หลบภายในบ้าน เพราะกลัวผมจะจับป้อนอาหารและยา 

เมื่อครบอาทิตย์ วันที่ 23 พ.ย. ไปหาหมอฟังผลเลือด ทราบว่าเลือดดีขึ้น เป็นปกติ หมอก็เข้าใจว่ารักษามาถูกทางแล้ว จึงให้พยายามป้อนอาหารและทานยาเดิมที่ให้ต่อไปให้ครบเดือน  หยอดยา Revolution Plus แทน Broadline (ที่ใช้อยู่เดิม) 

 แมวไม่ยอมทานข้าวและยา ที่หมอสั่งมาให้ อาการแย่ลงไม่มีแรง สังเกตดูที่ท้องโตขึ้น 

วันที่ 26 พ.ย. หมอให้ไปเปลี่ยนยาจากยา VibraVet เป็นยา (Vet) Doxy ML แทน ยาเม็ดสีเหลืองทานหลังอาหาร พอป้อนยา แมว มีน้ำลาย.จึงไปหาหมออีกคลีนิคหนึ่ง ซึ่งเป็นหมอที่เคยดูแลรักษาแมวมาก่อน  พบว่าแมวมีไข้ หมอให้น้ำเกลือใต้ผิวหนัง  ฉีดยาลดไข้ และยาบำรุง    หลังฉีดยาแมวอาเจียนออกมามากซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน หมอก็แจ้งว่ายาที่ป้อนก่อนมาหาหมอ เป็นยาที่ต้องกินอาหารมาก่อน แต่เมื่อไม่มีอาหาร จึงเกิดกระทบกับระบบ  หมอเอามือจับท้องแมวที่โตผิดปกติแต่ก็ไม่ว่าอะไร สั่งยาน้ำ ลดอาเจียน และยาขับลม   

รุ่งขึ้น วันที่ 27 พ.ย. เตรียมให้อาหารแมว และได้ป้อนยาน้ำแก้อาเจียนก่อน เมื่อป้อนยาน้ำแก้อาเจียน แมวมีฟองเต็มปาก สักครู่แมวก็เค้นอาเจียนออกมาเป็นน้ำค้นๆ ออกมาสองกองเล็กๆ จึงพาไปหาหมอที่รักษาตั้งแต่แรกต่อ หมอเจาะเลือดอีก และเพิ่มการเช็คโปรตีนเพิ่ม ให้น้ำเกลือ 200 ลิตร ตั้งแต่ 12.00-19.00 อาการแย่กว่าเก่ามาก  หมอสงสัยจะเป็นโรค น้ำในท้อง ซึ่งถ้าเป็นจริง จะรักษายากมาก แนะนำให้ไป ร.พ.สัตว์บ้านหมอแอ๊นท์ ซึ่งมีเครื่องมือครบ ได้ติดต่อแนะนำให้ไปพบ

วันที่ 28 พ.ย. ได้ไปพบคุณหมอแอ๊นท์ คุณหมอพิจารณาข้อมูลทุกอย่างที่ดำเนินการ และทำอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง พบน้ำในช่องท้องเป็นจำนวนมาก ทำให้ช่องท้องอักเสปในแมว ซึ่งทำให้แมวปฏิเสธการกินข้าว และจะทำให้หายใจติดขัด คุณหมอแอ๊นท์แนะนำว่า ว่าควรหยุดรักษาเพราะมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว การรักษาแบบเก่าคือเจาะน้ำออกจากช่องท้องถ้าติดขัดในการหายใจ แต่ก็จะมีน้ำเข้าไปเพิ่มอีกก็ต้องเจาะน้ำออกอีก เป็นการยืดเวลา แต่สมัยใหม่มีการวิจัยและพัฒนาจึงได้วิธีการรักษาแบบใหม่ แต่ค่ายาแพงมาก  ยาฉีดชื่อ GS 441 ต้องฉีดทั้งหมด 84 เข็ม ฉีดทุกวันไม่ให้ขาด ราคาขวดละ 1,950 บาท ขวดหนึ่งฉีดได้ 2 - 3 เข็ม ขึ้นกับน้ำหนัตัวแมว คุณหมอแนะนำว่า ถ้ามีปัญหาด้านค่าใช้จ่าย ขอแนะนำว่าควรจะเลิกการรักษาทุกชนิด เพราะจะทรมานแมวและไม่หาย ผมจึงกลับมาบ้านด้วยความเศร้าใจ เพราะช่วงนี้ไม่มีปัญญาแน่ที่จะต้องจ่ายเงินเกือบแสนเพื่อรักษาโดยไม่แน่ใจว่าจะหายจริงหรือไม่เพราะอาจมีโรคอื่นแทรกซ้อนขึ้นมาอีก และถ้าตกลงรักษาก็ต้องไปหาเงินมาเป็นค่ารักษา ขณะนี้ก็อยู่ในสถานะการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยที่จะมีรายได้พอเพียงกับค่ารักษา จึงตัดสินใจว่าจะไม่รักษาต่อ พอกลับมาถึงบ้าน ครอบครัวถาม ผมร้องไห้ด้วยความเสียใจ เป็นอย่างมาก

          คุณหมออีกรายที่เป็นผู้รักษาตั้งแต่ตน และรักษาผิดโรค แย้งผมว่าไม่ควรปล่อยไปอย่างนั้น  ถึงแม้นไม่สามารถรักษาวิธีทีต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากได้ ก็ควรรักษาด้วยวิธีอื่น ผมได้เช็ค และสอบถามและปรึกษาคุณหมออีกหลายๆท่าน ท่านแนะนำว่าผมควรจะไปโรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทยาลัยเกษตร 

เช้ารุ่งขึ้นวันที่ 29 พ.ย.ผมจึงรีบไปขอบัตรคิวตั้งแต่ตีห้า และรอพบหมอเพื่อปรึกษาโดยไม่นำแมวไปเพราะทรมานแมวมาก หมอเริ่มตรวจตั้งแต่ 8.30 น แต่ผมได้คิวพบหมอเวลา 10.00 น (ใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมง จึงได้พบหมอผู้หญิง (ดีที่ไม่ได้นำแมวไปทรมาน ด้วย) เมื่อพบหมอได้นำข้อมูลและการักษาพร้อมทุกอย่างไปเล่าให้คุณหมอฟังและขอคำแนะนำว่าควรจะทำอย่างไร ควรหยุดตามคำแนะนำของหมอท่านหนึ่ง หรือควรรักษาต่อไป คุณหมอแจ้งว่าไม่ได้เห็นแมวจึงแนะนำลำบาก แจ้งว่าควรจะนำมาให้ดูอาการและหาสาเหตุให้ชัดเจนว่า แมวเป็นอะไรแน่ และช่วยเหลือโดยการทำนัดพิเศษให้ในเวลา 13.30 น เพื่อพบหมออายุรกรรมสัตว์ป่วยนอก ชื่อ สัตวแพทย์ ธนายต สุขอารมณ์ เพื่อพาแมวมาตรวจ

ผมกลับบ้านมาพาแมวไป ร.พ. แมวอาการแย่มากแล้ว ไม่ทานอาหารและไม่ยอมให้ป้อนยามาร่วม 20 วัน ไม่มีแรงลุกขึ้นยืน และเดินเองไม่ได้ นอนอย่างเดียว  ผมต้องค่อยๆอุ้มพาขึ้นรถ และไปถึงโรงพยาบาล ในเวลา 13.00   พอเวลา 13.30 น ก็ได้พบหมอตามเวลานัด คุณหมอดูเอกสารและฟังที่ผมเล่าให้ฟังทั้งหมอ คุณหมอแจ้ง ว่าตอนนี้ถึงขั้นโคม่าแล้ว อย่างไรก็ตาม จะต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น เนื่องจากหมอเดิมไม่ได้ให้เอกสารส่งตัวและรายละเอียดแนบมา มีแต่ผลตรวจเลือด เท่านั้น อัลตร้าซาวด์ก็ไม่มีเอกสาร ผมตกลงให้หมอดำเนินการ เนื่องจาก ตอนนี้รู้เพิ่มเติมว่า แมวมีน้ำในโพรงท้อง แต่ยังไม่ทราบว่ามาจากสาเหตุอะไร ความจริงตอนอัลตร้าซาวด์ เขาควรเจาะน้ำออกมาตรวจหาสาเหตุว่าเป็นอะไรแน่  (คุณหมอแอ๊นท์หมอที่ทำอัลตร้าซาวด์ ให้คำแนะนำอย่างตรงประเด็นและสรุปอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้ให้เอกสารมา เนื่องจาก คุณหมอ ไม่ได้คิดเงินค่าตรวจจากผมเลย และให้คำแนะนำอย่างชัดเจน ว่าไม่ควรรักษาต่อ) ตอนแรกผมก็เชื่อตามคำแนะนำพอมาถึงบ้านร้องไห้ด้วยความเศร้าใจและสงสารแมวมาก  จุดเปลี่ยนอยู่ที่คุณหมอจาก ร.พ.เกษตร ที่ให้คำปรึกษาผมว่า อาจจะมาจากสาเหตุอื่นก็ได้ จึงควรเจาะน้ำออกมาตรวจให้แน่ ว่าเป็นอะไรแน่ ผมจึงตัดสินใจใหม่เนื่องจากเกิดความหวังอีกครั้งว่าอาจจะไม่ใช่โรคที่คาดว่าจะเป็นก็ได้ และถ้าแค่เจาะน้ำออกไปตรวจอย่างเดียวจึงไม่น่าจะทรมานไปมากกว่าปัจจุบัน แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด 

คุณหมอธนายุต สุขอารมย์  ได้สั่งให้เริ่มดำเนินการใหม่ทั้งหมอเลย เริ่มจาก เจาะเลือด ให้น้ำเกลือ x-ray อัลตร้าซาว หลังจากนั้นเมื่อได้ผลเลือด ก็พบหมออีกที และหมอก็สั่งให้ไปฉีดยา และให้น้ำเกลืออีก สรุป เสร็จเวลา 16.00 น แมวถูกทรมานอีกเช่นเคย ได้แจ้งว่าที่คุณหมอทำก็เหมือนกับที่ทำมาแล้วทั้ง 4-5 วันที่ผ่านมา คุณหมอก็อ้างว่า ตอนนี้ได้ให้ยาใหม่และรักษาตามอาาการปัจจุบัน ไม่ใช้ยาตามเดิม ก็ได้แจ้งไปว่าเดิมแมวก็ไม่ยอมกินอาหารและยา ป้อนได้บ้างไม่ได้บ้างแมวจึงไม่มีแรงและอาการหนักขึ้น สรุปไม่ทราบจะทำอย่างไรแล้ว หมอบอกวันนี้จะส่งน้ำที่เจาะมาไปเข้าห้องแลปเพื่อหาว่าเป็นโรคอะไรแน่ อีกสามวันจึงจะรู้ผล และนัดให้ไปพบวันที่ 3 ธันวาคม แผนกอายุรกรรม เพื่อดูอาการ ตรวจเลือด อีก หลังจากนั้น ก็นัดอีกในวันที่ 13 ธันวาคม เพื่อพบกับหน่วยโรคแมว กับหมอวิภาวดี เพื่อดูอาการ และตรวจเลือดอีก 

สรุปผมควรจะเชื่อ ร.พ.สัตว์ บ้านหมอแอ๊นท์ แต่ก็ตัดสินใจผิดไปเชื่อที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตร ซึ่งทำขั้นตอนเดียวกับที่ผมทำกับ โรงพยาบายอื่นมาก่อนนั้น และเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 4,865 บาท แมวไม่ได้ดีขึ้นเลยหนักว่าเก่า ผมไม่น่าโง่ขนาดนี้ หมอดีที่แนะนำ ตรงจุดและถูกต้องที่สุด แถมไม่คิดเงินผมแม้นแต่บาทเดียว ผมไม่เชื่อ ไปเชื่อกับหมอที่ทำทุกอย่างตามขั้นตอนและนโยบายของโรงพยาบาล ผมแจ้งไปแล้วกับหมอที่ให้คำปรึกษาผมว่าขอให้ตัดเรื่องอายุกรรมไปเลย ขอให้ยึดจากข้อมูลที่ทำไว้แล้วและต่อยอดโดยการนำน้ำในท้องมาตรวจเช็คทาง Lab เลย จะได้ตัดสินใจได้ถูกต้องว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร 

 แต่โทษใครไม่ได้  ผมควรจะรอบครอบและคิดให้ดีกว่านี้ ไม่ควรปล่อยให้เขาทำเช่นนั้นตามที่ผมมีเป้าหมายอยู่แล้ว  แต่พอพบคุณหมอที่มีน้ำใจ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย คุณหมอก็ต้องทำตามหน้าที่ของท่านโดยคิดที่จะรักษาให้หาย และทำจนถึงที่สุดตามวิชาการที่เรียนรู้มา แต่ท่านไม่ได้คิดถึงว่าเจ้าของต้องเสียเงินเท่าไหร่ และผลออกมาจะเป็นอย่างไรบ้าง

แมวตัวแรกที่ตายเมื่อ 7-8 ปีที่แล้วก็ตายที่โรงพยาบายสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตร์ หมดค่ารักษาไปร่วมสองหมื่นกว่าบาท

 

สรุปตามที่หมอนัดวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ผมจะไม่พาแมวไปที่ ร.พ. จะไปพบคุณหมอและขอทราบผมจาก Lab และจะตั้งสติให้ดี ในการปรึกษากับคุณหมอในครั้งนี้ จะต้องรู้ขั้นตอน และวิธีการต่อไป พร้อมทั้งผลที่จะเกิดทั้งระยะสั้น และระยะยาว รวมถึงค่าใช้จ่าย ด้วย

 

แมวตัวนี้มีความผูกพันกับผมมากที่สุด เนื่องจาก ลูกๆผมโตหมดแล้ว และแยกย้ายไปอยู่ที่อื่น ผมอยู่กับแมวตัวนี้มาตลอดเวลา 8 ปี อยู่กัน หนึ่งคน และหนึ่งตัว มีความผูกพัน เหมือนพ่อกับลูก 

วันนี้ได้เขียนบทความนี้เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการทบทวนเรื่องทั้งหมด ทำให้ทราบว่า ผมไม่ได้ใช้สติในการพิจารณา แต่ใช้อารมณ์ความรู้สึกในการตัดสินใจ จึงทำให้ตัดสินใจพลาด หลายครั้งด้วยกัน จึงนำออกเผยแพร่ เพื่อการศึกษาเรียนรู้จากของจริง และอาจเป็นประโยชน์กับผู้อ่านได้บ้าง 

ม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท

1 ธันวาคม 2564

หมายเลขบันทึก: 693692เขียนเมื่อ 1 ธันวาคม 2021 18:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 ธันวาคม 2021 18:12 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท