การดูแลอารมณ์ตัวเอง ตอนที่ 5...Boundary


ในการดูแลอารมณ์ตัวเอง อีกเรื่องหนึ่งที่ส่วนตัวเห็นว่าสำคัญ คือ

เรื่อง การมีขอบเขตของตัวเอง จะเรียกว่าเป็นรั้วในใจเพื่อดูแลบ้านของใจให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัยขึ้นก็ว่าได้ ขอใช้ว่า Boundary เพื่อความเป็นสากลและฝึกฝนภาษาอังกฤษของตัวเอง

 

Boundary คืออะไร? ที่บอกว่าเป็นขอบเขต เป็นรั้วของใจน่ะ แบบไหน?

ขอแบ่งปัน ตามความเข้าใจ จากประสบการณ์ของตัวเอง

 

Boundary คือ การที่ตัวแม่ดาวนั้น รู้จักความรู้สึก ความต้องการของตัวเอง และสามารถสื่อสาร(บอก)ความรู้สึก ความต้องการของตัวเองให้ผู้อื่นรับรู้ได้

ซึ่งในอดีตแม่ดาวเป็นคนที่มี Boundary ชัดเจน แข็งแรง สูง หนาและมีหนามด้วย คิดว่ามันดีต่อตัวเอง ปกป้องตัวเองขั้นสุด และหากใครก้าวล้ำ เข้ามาก็จะถูกจัดการด้วยพลังคลื่นความร้อน

 

 สายตาเพชรฆาต ท่าทีและวาจาที่คมกริบ ฟันใจผู้ล้ำเส้นขาดกระจุยได้ง่ายๆ หมายถึง มี Boundary ที่ไม่มีคุณภาพที่ดีต่อใจสักเท่าไหร่

 

 เรียกว่า เหมือนจะดีต่อใจตัวเอง แต่ทำร้ายใจผู้อื่น

.

แต่พอผ่านการเรียนรู้ชีวิตได้กลับไปทบทวนตัวเองพบว่า Boundary ที่มีในอดีตทำร้ายทั้งใจตัวเองและผู้อื่น

.

Boundary ในอดีตที่ไม่มีคุณภาพ เช่น แม่ดาวเชื่อว่าการเลี้ยงลูกเชิงบวกนั้นดีต่อลูก ฉันต้องการเลี้ยงลูกเชิงบวก ด้วยความรู้สึก เชื่อมั่นอย่างแรงกล้า สามีคิดต่าง แม่(คุณยายของลูก) หรือครูที่โรงเรียน หรือใครที่คิดต่าง มาตำหนิ ต่อว่าวิธีการเลี้ยงดูเชิงบวกของแม่ดาว พวกเขาเหล่านั้นจะโดนแววตาพิฆาต นางมารในตัวทำงานทันที วาจาแหลมคมทิ่มแทงกลับไป

.

อย่าได้มาล้ำเส้น ถ้ายังล้ำเส้นไม่หยุด คือ ใช้พลังเสียงSuperPower ระเบิดใส่กลับไปค่ะ นี่ไง คุณแม่ คิดบวก คือ พร้อมบวก(สวน)

กลับตลอดๆ ในอดีต

พอผ่านการใช้ชีวิต ผ่านประสบการณ์ความเจ็บปวด ทั้งผลกระทบต่อตัวเองและผู้อื่นก็ค่อยรู้สึกตัว ใคร่ครวญ เรียนรู้ชีวิต เลือกสร้าง Boundary แบบใหม่ที่ดีต่อใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น

Boundary ใหม่ ที่ผ่านการเรียนรู้ปรับปรุงแล้ว

1. สังเกต ความรู้สึก ความต้องการของตัวเอง ณ ขณะนั้น

2. พิจารณาว่ามันสำคัญมากน้อยแค่ไหน ที่ต้องสื่อสารออกไป

เพราะบางครั้งก็แค่รับรู้ เห็นขอบเขตภายใน การล้ำเส้นของคนอื่นนั้น

กับบางคน(หลายคนด้วยซ้ำ) ยอมรับได้ เพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้มีอิทธิพลต่อชีวิตเราขนาดนั้น และเห็นถึงความปรารถนาดีที่เขามี แม้จะหยิบยื่นมิตรไมตรีความห่วงใย หวังดีแบบขาดความเข้าใจ เห็นว่า เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เข้าใจเรา เพราะเราบางทียังเข้าใจตัวเองได้ยากนะว่ามั้ย

 

3. ถ้าคิดว่ามันสำคัญมาก และต้องการสื่อสาร กลับมาดูใจอีกครั้งค่ะว่า ในใจตอนนั้นเรารู้สึกอย่างไร ระดับความรู้สึก อารมณ์ ต้องอยู่ในระดับที่ไม่ท่วมท้นจนสมองส่วนหน้าทำงานต่อไม่ได้ ใช้การสื่อสารเชิงบวก หรือการสื่อสารอย่างสันติ และกรุณาดูฝ่ายผู้ฟังด้วยเขาพร้อมฟัง หรือพร้อมพัง

และดีที่สุดสำหรับตัวเองคือ เลือกสื่อสารตอนที่ใจอยู่ในภาวะปกติสุข การที่เขาล้ำเส้น ข้ามเขต ข้ามรั้วเรามา ก็เพราะว่าเขาอาจไม่เคยรู้

เพราะเราก็อาจไม่เคยสื่อสาร หรือในกรณีที่เราเคยสื่อสารไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังกล้าข้ามเขตเข้ามา

.

ก็อาจเป็นได้หลายกรณี เช่น เขาเองก็อารมณ์ท่วมต้องระบายออกเช่นกัน เลยเผลอตัวเผลอใจล้ำเส้นเรา หรือเขาก็มีภาวะความเครียด ความกังวลใจ ความห่วงใยในแบบของเขา หรือ เขาก็อาจลืมค่ะ ว่าเราเคยสื่อสารกันไว้

4. ดังนั้น ส่วนตัวคิดว่า การมี Boundary ภายในที่ชัดเจนสำคัญ และอย่าให้ถึงขนาดแบ่งเขต แยกเขา กับเรา จากกันอย่างน่าใจหาย ทำร้ายใจกัน บางเส้นเป็นขอบเขตที่ยืดหยุ่นได้บ้าง เส้นไหนเขตไหนที่สำคัญมากๆ ก็สื่อสารไปแบบขีดเส้นหนาสีแดงๆ และอย่าเยอะ เดี๋ยวอีกฝ่ายจะจำไม่ได้

 

5. การสังเกต Boundary ผู้อื่นก็สำคัญ ใส่ใจกับการสังเกต อาจใช้การตั้งคำถามเพื่อให้เราเห็น Boundary ผู้อื่นได้ชัดขึ้น และให้ความเคารพกับขอบเขตนั้นไม่ล้ำเส้นเข้าไป แม้จะมีเจตนาที่ดีมากก็ตาม

จากประสบการณ์ผู้คนส่วนใหญ่ที่แม่ดาวเจอนั้น พวกเขามักมี Boundary ล่องหน ล่องหนจนตัวเองก็ไม่รู้ในหลายคน ต้องใช้การสังเกต ตั้งคำถามช่วย(ถ้าเขาร้องขอตัวช่วยจากเราเนาะ)

หรือกับบางคนก็ใช้การสังเกตว่าเขาน่าจะเปิดใจ ก็ลองใช้การถามเพื่อเปิดใจสื่อสารกัน หรือบางคนรู้ว่าตัวเองมี

แต่ไม่กล้าบอก กลัวความขัดแย้ง กลัวทำร้ายความรู้สึกเรา เกรงใจ แล้วก็เก็บเจ็บปวดกับการถูกล้ำเส้นจนวันหนึ่งก็อาจทนไม่ไหว ระเบิดใส่ผู้คน แล้วคนที่โดน ก็จะงงๆ ไม่เข้าใจว่า ทำผิดอะไรว้าาาาา ก็ปกติก็พูด/ทำแบบนี้ได้ ไม่เห็นเป็นไร

.

มาดูตัวอย่าง Boundary ใหม่ ที่ผ่านการเรียนรู้ พัฒนามาแล้ว

ต้องบอกก่อนว่า รุ่นใหม่นี้จะนำมาใช้ได้ดี หากมีสติ

ถ้าขาดสติก็อาจเผลอกลับไปใช้รุ่นเก่า "รุ่นเราเผากันไป" 

 

รุ่น Hot และ Hit

(ร้อนและพุ่งชนทำร้าย)

กับคนอื่นๆ เช่น ที่อาจเพิ่งเจอกันและอาจไม่มีโอกาสได้โคจรมาเจอกันบ่อยๆ หากถูกเขาล้ำเส้น ก็จะเข้าใจเขา ไม่มีโต้แย้งใด ๆ เขาเสนอ สอนอะไรก็รับฟัง ยิ้มตอบ ข้างในก็สงบ ไม่มีอาการนางยักษ์แยกเขี้ยวใส่ (พิมพ์ไปคล้ายๆ สุนัขมากกว่ายักษ์หรือเปล่านะ) เรารู้ตัวเองภายในว่าสิ่งที่เราคิด รู้สึก ทำ เราทำเพื่ออะไร ต้องการอะไร เรามีความเชื่ออย่างไร นั่นคือความปรารถนาดีของเขา หรือบางทีถ้าบางเรื่องที่อาจต่างจากความคิดที่มี แต่ฟังแล้วน่าสนใจก็เก็บประเด็นไว้มาทำงานกับตัวเองต่อ ไม่ด่วนปัดทิ้ง ใช้ทักษะการฟังด้วยใจ

.

กับคนในครอบครัว เช่น สามี ถ้าเรื่องไหนที่แม่ดาวขีดเส้นแดงหนาๆ ตัวโตๆ ก็จะ สื่อสารค่ะ อย่างเรื่องการเลี้ยงลูก ที่เรามักคิดและทำต่างกัน เรื่องไหนที่เขาพูดย้ำๆ อยากได้ความร่วมมือจากแม่ดาว ซึ่งแม่ดาวไม่สามารถให้ความร่วมมือได้

.

ก็จะสื่อสารตรงๆ ด้วยความรักความเข้าใจ เคารพความคิดเห็นต่างของเขา เพราะเขารักและหวังดีต่อลูกในแบบของเขา แม่ดาวก็รับฟัง แสดงความเข้าใจ และยังยืนยันถึง วิธีการของตัวเองที่ต้องการใช้ในการดูแลลูกในวิถีของตัวเอง

.

ถึงวันนี้ช่องว่างความต่างระหว่างแม่ดาวกับสามีก็คิดว่าลดน้อยลงไปมาก เข้าใจกันมากขึ้น ยอมรับกันได้มากขึ้น ขอบคุณสามีแหละที่เขาพยายามเข้าใจเรา และขอบคุณตัวเราที่มีสติมากพอที่จะรับฟัง เข้าใจเขา ได้มากขึ้นเยอะ

.

.

Boundary สำหรับแม่ดาว คือการให้ความใส่ใจ ให้ความสำคัญกับตัวเอง อีกทั้งยังเป็นการให้เกียรติผู้อื่นด้วยเช่นกัน ก็ทำให้แม่ดาวรู้สึกมั่นคงภายในได้ง่ายขึ้น ดูแลอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น ก็เลยอยากนำมาขยายความและแบ่งปันกันค่ะ

.

ด้วยรักและเป็นกำลังใจให้เสมอ

จากแม่ดาวคนเดิม เพื่อนร่วมทุกข์ของเธอ

+

ขอบคุณภาพประกอบตามสั่งจากแม่อ้อ Art ตัวแม่

ประทับใจ เนื้อเรื่องอะไม่เคยได้อ่านก่อน แค่เล่าประเด็น

ในใจ แล้วแม่อ้อก็จะเนรมิตภาพมาให้เช่นนี้เสมอ

ด้วยรัก ชื่่นชมและขอบคุณเสมอนะตัวเธอ

.

เพื่อนคนไหนมีคำถามเพิ่มเติม หรืออาจมีความคิดเห็นที่ต่างไป

หรืออย่างไร ส่งมาบอกเล่ากันได้นะคะ

ด้วยความยินดีและรู้สึกขอบคุณมากๆ

หมายเลขบันทึก: 691324เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2021 17:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 กรกฎาคม 2021 17:54 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท