เรียนรู้เหนือกระแส
Hyper-learning
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
[email protected]
24 มิถุนายน 2564
บทความเรื่อง เรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-learning ) ดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่อง Hyper-Learning: How to Adapt to the Speed of Change ประพันธ์โดย Edward D. Hess จัดพิมพ์โดย Berrett-Koehler Publishers (September 1, 2020)
ผู้ที่ประสงค์จะได้บทความนี้ ในรูปแบบ PowerPoint (PDF file) สามารถ download ได้ที่ https://www.slideshare.net/maruay/hyper-learning
เกี่ยวกับผู้ประพันธ์
Ed Hess เป็นศาสตราจารย์ด้านบริหารธุรกิจ, Batten Fellow และ Batten Executive-in-Residence ที่ Darden Graduate School of Business แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย
เขาใช้เวลามากกว่า 20 ปีในโลกธุรกิจในฐานะผู้บริหารระดับสูงที่ Warburg Paribas Becker, Boettcher & Company, Robert M. Bass Group และ Arthur Andersen
เขาเป็นผู้เขียนหนังสือ 13 เล่มและบทความมากกว่า 150 บทความ ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโต นวัตกรรมและวัฒนธรรมการเรียนรู้ ระบบและกระบวนการ
โดยย่อ
การเรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-learning) แสดงให้เห็นว่า ผู้คนและบริษัทสามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ผู้ประพันธ์อธิบายกรอบความคิดการเติบโต ในการทำงานร่วมกัน และการลดอัตตาของคุณ ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นว่า คุณสามารถคงความเกี่ยวข้องและแข่งขันได้ ในขณะที่โลกรอบตัวคุณมีการเร่งความเร็ว
เราเกี่ยวข้องอย่างไรกับยุคดิจิตอล?
ท่ามกลางการพัฒนาทางเทคโนโลยีตั้งแต่ AI และ machine learning ไปจนถึงวิทยาการหุ่นยนต์ เราอาจรู้สึกว่า อีกไม่นานเราจะแพ้การต่อสู้เพื่อรักษาความเกี่ยวข้อง
ศาสตราจารย์ Ed Hess ยืนยันว่า คำตอบนี้คือ การเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส (hyper-learner) ไม่เพียงแต่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยของคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทุกยุคทุกสมัย ที่เป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส
บรรดาผู้ที่ปลูกฝังจิตวิญญาณแห่งความอยากรู้อยากเห็นอย่างต่อเนื่อง จะมีโอกาสมากขึ้น และเป็นหัวใจของการพัฒนาตนเอง
การเรียนรู้เหนือกระแสคืออะไร ทำไมจึงมีความสำคัญสูง
การเรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-Learning) คือ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การเลิกเรียนรู้ของเดิม และการเรียนรู้ของใหม่ (continual learning, unlearning and relearning)
โดยคำว่า hyper ไม่ได้หมายถึงความตื่นตัว คลั่งไคล้ ประหม่า หรือกระสับกระส่าย แต่ใช้คำนี้เพื่ออ้างอิงความหมายดั้งเดิมของกรีก ว่า “เหนือกว่า (over)” หรือ “อยู่เหนือ (above)”
Hyper-Learning คือการเรียนรู้ที่รู้มากกว่าปกติ เป็นการเรียนรู้คุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง
การเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส (Being a Hyper-Learner)
การเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส เป็นวิธีที่ทำให้เรามีความเกี่ยวข้องในที่ทำงาน นั่นคือเราจะมีงานที่มีความหมายในยุคดิจิตอล
ยุคดิจิตอลจะเปลี่ยนวิธีการทำงานของเราและการทำงานโดยพื้นฐาน
ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของปัญญาประดิษฐ์ นาโนเทคโนโลยี ความเป็นจริงเสมือนและความเป็นจริงแบบเสริม การคำนวณแบบควอนตัม และบิ๊กดาต้า จะนำไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ ๆ ที่เร็วขึ้นมาก และจะส่งผลให้มีการทำงานอัตโนมัติมากขึ้นหลายสิบล้านงานอย่างเห็นได้ชัด ในทศวรรษนี้
ระบบอัตโนมัติจะเกิดขึ้นในงานทุกประเภท รวมถึงงานระดับมืออาชีพ ด้านกฎหมาย, การบัญชี, การจัดการ, การให้คำปรึกษา, การแพทย์ และอื่นๆ
เพื่อทำให้มีความเกี่ยวข้องในที่ทำงาน เราต้องอัปเดตสิ่งที่เรารู้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง และเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ในขณะที่เทคโนโลยียังคงฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ
เราจะต้องอัปเดต แบบจำลองทางความคิด (mental models) อย่างต่อเนื่อง ว่าโลกทำงานอย่างไร เช่นเดียวกับที่เราอัปเดตซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ของเรา
การเปลี่ยนแปลงจะมีตลอดเวลา เราต้องสามารถปรับตัวได้ และนั่นหมายถึงการเป็นเลิศในการเรียนรู้เหนือกระแส
การเรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-Learning) คือวิธีที่ทำให้เรานำหน้าเครื่องอัจฉริยะ
ผู้เรียนรู้เหนือกระแสคืออะไร จะรู้ได้อย่างไร?
การเรียนรู้เหนือกระแสคือ การรับรู้ อารมณ์ และพฤติกรรม (cognitive, emotional and behavioral)
เราสามารถระบุ ผู้เรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-Learner) ได้จากพฤติกรรมและวิธีที่พวกเขาคิดอย่างไร ฟังอย่างไร เชื่อมโยงทางอารมณ์และสัมพันธ์กับผู้คนอย่างไร และทำงานร่วมกันอย่างไร
พวกเขาประพฤติตนในลักษณะที่เป็นหลักฐานได้แก่ ความอยากรู้อยากเห็น ความใจกว้าง มีอัตตาเงียบๆ มีสติอยู่กับปัจจุบัน ความเห็นอกเห็นใจ ความกล้าหาญที่จะลอง ความยืดหยุ่น และพฤติกรรมการเอาใจใส่ที่ดี
พวกเขาเป็นคนไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไม่ทำโดยปฏิกิริยาอัตโนมัติ
ผู้เรียนรู้เหนือกระแส ยอมรับความไม่แน่นอนและความคลุมเครือ พวกเขาพยายาม "สร้างความหมาย (make-meaning)" กับผู้อื่น ฟังเพื่อการเข้าใจแต่ไม่ยืนยัน และพวกเขาจะไม่แสดงอารมณ์ เมื่อความคิดเห็นของพวกเขาถูกท้าทาย
ผู้เรียนรู้เหนือกระแส ยอมรับวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เราทุกคนเป็นผู้เรียนที่ด้อยประสิทธิภาพอยู่ และพวกเขาจะมีส่วนร่วมในการปฏิบัติประจำวัน เพื่อเป็นผู้เรียนที่ดีขึ้น
ผู้เรียนรู้เหนือกระแส มักถามคำถามเช่น ทำไม? เกิดอะไรขึ้นถ้า? แล้วทำไมไม่ได้ล่ะ? (Why? What if? and Why Not?)
พวกเขาแสดงการเห็นด้วยว่า "ใช่แล้ว และ..." ซึ่งตรงข้ามกับ "ใช่แล้ว แต่..."
พวกเขาใช้รายการตรวจสอบ เพื่อคิดอย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์
พวกเขาใช้วลีเช่น "สมมติฐานของฉันคือ..." ปล่อยให้ตัวเองเปิดกว้างเพื่อเปลี่ยนแปลง หากมีข้อมูลที่ดีขึ้น
พวกเขามักจะไม่ขัดจังหวะผู้คน
พวกเขาถามคำถามเพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขามีความเข้าใจคนอื่น ก่อนที่จะสนับสนุนหรือบอกกล่าว
พวกเขาไม่ได้ระบุด้วยสิ่งที่พวกเขารู้ แต่เน้นที่การปรับปรุงคุณภาพการคิด การฟัง การเชื่อมโยงและการทำงานร่วมกัน
พวกเขามีความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ จริงใจ โปร่งใส น่าเชื่อถือ และยอมรับ "ความเป็นอื่นได้อีก (otherness)" แทนที่จะแข่งขันด้วยความคิดที่ว่า ผู้แข็งแรงที่สุดจึงอยู่รอด (survival of the fittest)
อุปสรรคการเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส
เราทุกคนมีอุปสรรคหลักสองประการในการเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส
ประการแรก กระบวนทัศน์ของเรา (our wiring) ศาสตร์แห่งการเรียนรู้ของผู้ใหญ่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า สมองและจิตใจของเรา ได้รับการปรับให้เป็นนักคิดที่มีประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว
โดยธรรมชาติแล้ว เราพยายามที่จะยืนยันสิ่งที่เรารู้หรือเชื่อ ปกป้องอัตตาของเรา เพื่อตีความสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ในลักษณะที่เหมาะสมกับเรื่องราวที่เราเชื่อว่า โลกทำงานอย่างไร
เราใช้เวลาส่วนใหญ่ในระบบอัตโนมัตินี้
ประการที่สองคือ เราทุกคนต่างมีปัญหากับตัวยับยั้งการเรียนรู้ที่สำคัญสองอย่าง นั่นคือ อัตตาและความกลัวของเรา (our ego and fears)
อัตตาของเรา สามารถขัดขวางการเรียนรู้ได้ เพราะมันนำไปสู่ความใจแคบ ความเย่อหยิ่ง เชื่อตนเองด้วยสิ่งที่เรารู้ ทักษะการฟังที่ไม่ดี และการทำงานร่วมกันที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ความกลัว ขัดขวางการเรียนรู้ เมื่อคนเรากลัวที่จะทำผิดพลาด กลัวผิด กลัวว่าจะดูแย่หรือไม่เป็นที่ชอบใจ หรือกลัวว่าจะทำให้คนอื่นขุ่นเคือง โดยการถามคำถามยากๆ
3 ขั้นตอนสู่การเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส (3 steps to become a Hyper-Learner)
1. ปลูกฝังความสงบภายใน (Cultivate inner peace)
2. ชุดความคิดใหม่ที่ฉลาด (NewSmart Mindset)
3. การวินิจฉัยพฤติกรรมการเรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-Learning Behavioral Diagnostic)
ขั้นตอนที่ 1. ปลูกฝังความสงบภายใน (Cultivate inner peace)
ความสงบภายใน เกิดขึ้นได้โดยการมี อัตตาที่เงียบสงบ จิตใจที่สงบ ร่างกายที่เงียบสงบ และสภาวะอารมณ์เชิงบวก (Quiet Ego; a Quiet Mind; a Quiet Body; and a Positive Emotional State)
ความสงบภายใน เป็นกระบวนการควบคุมความเป็นเจ้าของ คือตัวของคุณ วิธีคิด วิธีจัดการอารมณ์ วิธีปฏิบัติตน อิทธิพลต่อเคมีในร่างกาย และวิธีเอาชนะปฏิกิริยาสะท้อนกลับที่ฝังแน่น
วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความสงบภายใน
วิธีที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นกระบวนการนี้คือ การนำแนวปฏิบัติที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ซึ่งคุณใช้ทุกวันเพื่อฝึกฝนตัวเอง ให้บรรลุสภาวะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
อย่างแรกคือ คุณต้องเชื่อวิทยาศาสตร์ที่บอกว่า เราทุกคนเป็นผู้เรียนที่ด้อยประสิทธิภาพ
จากนั้นคุณต้องสร้าง “ทำไม (WHY)” ของคุณ คือสร้างเหตุผลส่วนตัว (แรงจูงใจของคุณว่า ทำไมคุณจึงต้องการทำงานประจำวัน และทำให้ตัวเองเป็นผู้เรียนที่ดีขึ้น)
หลายคนต้องการที่จะได้งานที่มีความหมายอย่างต่อเนื่องในยุคดิจิตอล แรงจูงใจของพวกเขาคือ ความกลัวว่าจะไม่มีงานทำ หรือทำงานที่ไร้ความหมาย
ผู้คนต้องการเป็นคนที่ดีที่สุดที่พวกเขาสามารถเป็นได้ การบรรลุความเป็นเลิศของมนุษย์ในที่ทำงาน ไม่ต่างไปจากการบรรลุความเป็นเลิศในฐานะนักกีฬาหรือนักรบ ที่ต้องใช้การฝึกฝนอย่างรอบคอบทุกวัน
หลักปฏิบัติประจำวันเริ่มต้นโดยทั่วไปคือ การทำสมาธิ การสแกนร่างกาย ฝึกหัดการหายใจลึก ๆ ความกตัญญูกตเวที การสร้างมโนภาพ สร้างและยืนยันความตั้งใจประจำวันของคุณที่คุณต้องการประพฤติตน (Mindfulness Meditation; Body Scan Meditation; Deep Breathing Exercises; Gratitude Practices; Visualization; and creating and affirming your Daily Intentions)
หากคุณยังใหม่ต่อการปฏิบัติเหล่านี้ คุณควรเริ่มนั่งสมาธิ 2-3 นาทีทุกเช้า และหายใจลึกๆ 5 นาทีหลายๆ ครั้งในหนึ่งวัน เมื่อคุณรู้สึกว่าร่างกายหรือจิตใจของคุณเต้นรัว
ในแต่ละคืน ทบทวนวันของคุณและพฤติกรรมของคุณ เทียบกับความตั้งใจรายวันของคุณ (วิธีที่คุณต้องการประพฤติตน)
เริ่มเล็ก ๆ ฝึกเป็นนิสัยในชีวิตประจำวัน คุณจะก้าวไปสู่จุดที่คุณจะใช้เวลา 20-30 นาทีในการนั่งสมาธิทุกวัน และ 30 นาทีเพื่อไตร่ตรองว่า คุณอยากจะประพฤติอย่างไรและได้ประพฤติตนแล้วอย่างไร
การเรียนรู้จากการไตร่ตรอง
การเรียนรู้ทั้งหมดมาจากการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง หรือการสนทนากับผู้อื่น
การไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง เกิดขึ้นเมื่อคุณเรียนรู้การสนทนากับตัวเอง
การไตร่ตรองคือวิธีที่เรา "สร้างความหมาย (make-meaning)" มันเป็นวิธีที่เราสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีการทำงานของโลก และวิธีที่เราต้องการอยู่ในโลกนั้น ๆ
เวลาที่ใช้ทบทวนไตร่ตรอง เป็นสิ่งจำเป็นในการเรียนรู้และเพื่อการพัฒนาตนเอง
เราต้องลงทุนในเวลา เพื่อใช้เวลาในการเป็นเจ้าของอัตตา จิตใจ ร่างกาย และอารมณ์ของคุณ ไม่เช่นนั้นคุณจะกลายเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่มีงานทำ
ถ้าคุณบอกว่าไม่มีเวลา แสดงว่าคุณมีเวลาแต่คุณไม่ได้ถามตนเองว่า "ทำไม (WHY)"
ทำไมคุณควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้?
เพราะหากไม่มี "ทำไม (WHY)" ที่น่าสนใจ คุณก็จะไม่มีแรงจูงใจในการทำงานนี้
คุณมีทางเลือก เลือกอย่างชาญฉลาด (You have a choice. Choose wisely.)
ขั้นตอนที่ 2. ชุดความคิดใหม่ที่ฉลาด NewSmart Mindset
ประการที่สอง ให้เน้นที่ ชุดความคิดใหม่ที่ฉลาด (NewSmart Mindset) ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณเปลี่ยนวิธีการระบุตัวเองว่า ยังเป็นผู้เรียน
วิธีนี้ ช่วยให้คุณลดอัตตาที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งแย่งชิงความสามารถในการเรียนรู้
อุปสรรคในการเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-Learner)
หนึ่งในอุปสรรคใหญ่ในการเป็น ผู้เรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-Learner) คืออัตตาของเรา
พวกเราหลายคนนิยามตัวเองว่า "ฉันฉลาด (I am smart)" และเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ฉันต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในห้องนี้
นั่นอาจเริ่มต้นในโรงเรียนประถม เมื่อเราได้เรียนรู้ว่า ความฉลาดถูกกำหนดโดยเกรดที่ครูมอบให้เรา คนฉลาดได้เกรดสูงสุดและได้คะแนนสูงสุด เพราะพวกเขาทำผิดพลาดน้อยที่สุด
กรอไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วสู่โลกแห่งการทำงาน หลายคนเมื่ออายุมากขึ้น กลายเป็นคนที่มีอัตตาที่ฉลาดหลักแหลมในการ “รู้ (knowing)” ที่นำไปสู่ความคิดคับแคบ ความเย่อหยิ่ง ทักษะการฟังที่ไม่ดี และการมองว่าการทำงานร่วมกันเป็นการแข่งขัน
ทั้งหมดนี้ขัดขวางการเป็น ผู้เรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-Learner)
ดังนั้น บางทีเราอาจต้องการวิธีใหม่ในการกำหนดตัวเอง
ความฉลาดใหม่ (NewSmart)
จุดประสงค์ของ ความฉลาดใหม่ (NewSmart) คือ "ฉันไม่ได้ถูกกำหนดโดยสิ่งที่ฉันรู้หรือรู้มากแค่ไหน แต่ด้วยคุณภาพของความคิด การฟัง ความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกัน (I’m defined not by what I know or how much I know, but by the quality of my thinking, listening, relating and collaborating)"
เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับคุณ มันอาจทำให้คุณป้องกันตนน้อยลงเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยกับคุณ อาจทำให้คุณเปิดใจมากขึ้น อาจทำให้คุณต้องเป็นผู้ฟังที่ไตร่ตรอง มันช่วยให้คุณยอมรับความจริงที่ว่า ขนาดของความเขลาของคุณมีมากกว่าขนาดของสิ่งที่คุณคิดว่าคุณรู้ ทั้งหมดนี้ ช่วยให้คุณเข้าถึงการเรียนรู้ได้ดีขึ้น
ความฉลาดใหม่ (NewSmart) ช่วยให้อัตตาของคุณเงียบ
ขั้นตอนที่ 3. การวินิจฉัยพฤติกรรมการเรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-Learning Behavioral Diagnostic)
ประการที่สาม ใช้ การวินิจฉัยพฤติกรรมการเรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-Learning Behavioral Diagnostic) และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมย่อยที่คุณต้องปรับปรุง
เลือกหนึ่งหรือสองพฤติกรรมเพื่อปรับปรุง และสร้างแผนการปรับปรุงของคุณ โดยใช้เทมเพลตในหนังสือ และเริ่มทำเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมนั้น
แนวทางปฏิบัติเพื่อเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส (Hyper-learning practices)
หนังสือเล่มนี้ยังเป็นหนังสือ "วิธีการ (how-to)" ซึ่งเป็นหนังสือ "เรียนรู้โดยการทำ (learn by doing)" ที่มี เทมเพลต รายการตรวจสอบ และกระบวนการต่างๆ มากมาย ที่สามารถใช้เพื่อเป็นนักคิดเชิงวิพากษ์ที่ดีขึ้น เป็นนักคิดเชิงนวัตกรรมที่ดีกว่า เป็นนักสำรวจที่สามารถเข้าไปในสิ่งที่ไม่รู้จักและคิดออก เป็นผู้ฟังไตร่ตรอง เชื่อมต่อกับผู้อื่นทางอารมณ์ในเชิงบวก สร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจ ค้นพบข้อมูลเชิงลึกใหม่ เป็นผู้ทำงานร่วมกันที่ดีขึ้น บททดสอบความเครียด สมมติฐานที่รองรับความเชื่อของคุณ ฯลฯ
จากนั้น นำเครื่องมือในหนังสือมาจัดการอารมณ์ของคุณ วิธีสร้างอารมณ์เชิงบวก และวิธีจัดการอารมณ์เชิงลบ
ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับการที่คุณเป็นเจ้าของความคิด จิตใจ อัตตา และอารมณ์ของคุณ เพื่อให้คุณสามารถจัดการตัวเอง โดยการเลือกวิธีปฏิบัติที่ดี
ฟังดูเหมือนเยอะ นั่นคือเหตุผลที่คุณเริ่มต้นเล็ก ๆ และเชื่อในความเป็นจริงที่ว่า การพัฒนาตนเองไม่สิ้นสุด (self-improvement never ends)
สรุป
ยุคดิจิตอลจะทำให้เกิดคำถามว่า มนุษย์เราจะมีความเกี่ยวข้องในที่ทำงานได้อย่างไร
เพื่อให้มีความเกี่ยวข้อง เราต้องพัฒนาความรู้ความเข้าใจ พฤติกรรม และอารมณ์ ในแบบที่เทคโนโลยีไม่สามารถทำได้
ศาสตราจารย์ Ed Hess เชื่อว่า เราต้องเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส คือ เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เลิกเรียนรู้ของเดิม และเรียนรู้ใหม่อย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วเท่าทันการเปลี่ยนแปลง
****************************
สามบทเรียนจากหนังสือ (3 key lessons from the book)
1. หากต้องการเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแส คุณต้องเปลี่ยนความคิดก่อน (To become a hyper-learner, you must first change your mindset)
2. การปรับปรุงพฤติกรรมของคุณ เป็นขั้นตอนต่อไปในการเป็นผู้ที่เรียนรู้เหนือกระแส (Improving your behavior is the next step in becoming a hyper-learner)
3. มีสี่เสาหลักธุรกิจที่การเรียนรู้เหนือกระแสนำไปใช้ประโยชน์ได้ (There are four pillars on which a hyper-learning business stands)
บทเรียนประการที่ 1 เปลี่ยนความคิด (first change your mindset)
ขั้นตอนแรกในการเป็นผู้เรียนรู้เหนือกระแสคือ การทำให้อัตตาของคุณสงบลง สิ่งนี้เริ่มต้นด้วยการปลดปล่อยชื่อ ป้ายกำกับ และตัวตนที่คุณมี ให้ใช้ทัศนคติอยากรู้อยากเห็นและสามารถถูกสอนได้ ต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ
วิธีที่ดียิ่งขึ้นคือ การทำสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้จิตใจที่ยุ่งวุ่นวายสงบลง เพื่อเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการฝึกฝน คุณต้องจดจ่อกับลมหายใจและเปลี่ยนความคิดของคุณเมื่อจิตใจคุณซัดส่าย
การระงับอัตตาและจิตใจที่ยุ่งวุ่นวายด้วยการทำสมาธิ จะช่วยให้คุณมีทัศนคติที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นส่วนต่อไปของการเป็นผู้ที่เรียนรู้เหนือกระแสคือ ความคิด (mindset) ซึ่งมีสองประเภทที่คุณสามารถมีได้คือ
ความคิดยึดติด (Fixed mindset) เมื่อคุณเชื่อว่าสติปัญญาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คุณคิดว่าคุณติดอยู่กับที่โดยไม่สามารถเติบโตได้อีก
ความคิดแบบเติบโต (A growth mindset ) เกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่า คุณสามารถปรับปรุงจิตใจ สติปัญญา ทัศนคติ และทุกอย่างเกี่ยวกับตัวคุณได้ นี่คือความคิดของผู้เรียนรู้เหนือกระแส
บทเรียนประการที่ 2 ปรับปรุงพฤติกรรมของคุณ (Improve your behavior)
ขั้นตอนต่อไปในการเรียนรู้เหนือกระแสคือ การเปลี่ยนแปลงการกระทำของคุณ แค่เชื่อในการเติบโตไม่เพียงพอ คุณต้องทำเพื่อให้มันเกิดขึ้นจริง หมายถึงแม้แต่รายละเอียด เช่น กิริยาท่าทางและคำที่คุณใช้
เริ่มต้นด้วยการดูพฤติกรรมทั่วไปของผู้เรียนรู้เหนือกระแส ที่ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี สอนได้ ยอมรับความไม่แน่นอน และเปิดใจกว้าง เป็นต้น
สมมติว่าคุณต้องการเริ่มต้นด้วยการพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกัน คนที่ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีทำอย่างไร? คุณสามารถพูดได้ว่าพวกเขาเป็นผู้ฟังที่ดี แต่คุณต้องลงลึกกว่านี้ อะไรทำให้ใครบางคนเป็นผู้ฟังที่ดี? เมื่อพิจารณาคำตอบของคำถามนี้ เราจะเห็นว่าการไม่รบกวนผู้อื่น มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ และถามคำถามเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาเข้าใจ
หากต้องการเจาะลึกลงไปอีก ให้ระบุสิ่งที่ผู้ทำงานร่วมกันในอุดมคติไม่ทำ บางทีคุณอาจทราบตัวอย่างบางส่วนในสำนักงานของคุณ ที่สอนวิธีที่ไม่ควรทำ มันง่ายที่จะเห็นว่าพวกเขาแย่แค่ไหนในการทำงานเป็นทีมและสิ่งที่พวกเขาทำ ดังนั้นคุณสามารถทำสิ่งที่ตรงกันข้าม เพื่อเป็นสิ่งที่คุณต้องการจะเป็น
บทเรียนประการที่ 3 ทำตามแนวคิดสี่ข้อ (Follow four key ideas)
หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจและไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงให้ทันกับเวลา คุณจะล้มเหลว
ลองดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Blockbuster และ Kodak ผู้ยึดติดกับวิถีเดิมๆ ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และบรรดาผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม ที่ทะยานสูงขึ้นกว่าที่ใครๆ คิดไว้
สถานที่ทำงานแบบดั้งเดิมเต็มไปด้วยการแข่งขัน ความกลัว และความเป็นผู้นำจากบนลงล่าง สิ่งเหล่านี้ไม่มีประสิทธิภาพสำหรับโลกที่กำลังก้าวหน้า เพราะไม่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ และยับยั้งนวัตกรรมและโอกาสทั้งหมดสำหรับการเติบโต
จะเป็นการดีที่สุดถ้าคุณมีมุมมองใหม่เกี่ยวกับธุรกิจ และเริ่มต้นด้วยหลักการสี่ข้อนี้:
1. นำแนวคิดเรื่องคุณธรรม (idea of meritocracy) มาใช้ ซึ่ง Google ได้ทำสิ่งนี้แล้ว และเป็นส่วนสำคัญว่า ทำไมพวกเขาจึงประสบความสำเร็จ พวกเขานำความคิดที่ดีที่สุดมาใช้โดยไม่คำนึงถึงว่าความคิดเหล่านั้นมาจากไหน
2. เป็นบวก (Be positive) จากการวิจัยของBarbara Fredrickson และ Alice Isen ที่บ่งบอกว่า เราสามารถเพิ่มความสามารถทางจิตด้วยอารมณ์เชิงบวก นั่นหมายความว่า คุณและทีมของคุณจะทำงานได้ดีขึ้น เมื่อคุณมองในแง่ดี และจะแย่ลงเมื่อคุณไม่ทำ
3. สร้างบรรยากาศของความปลอดภัยทางจิตใจ (psychological safety) หมายความว่า มีวัฒนธรรมที่พนักงานไม่กลัวที่จะแสดงออก พวกเขาต้องรู้สึกปลอดภัยจากการถูกไล่ออกโดยไม่สมควร ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง หรือถูกกีดกันจากความคิดหรือความรู้สึกใดๆ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้พวกเขามีความกล้าหาญในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และช่วยให้คุณก้าวไปสู่ระดับต่อไป
4. สนับสนุนทัศนคติการกำหนดตนเอง (self-determination) หมายความว่า ช่วยให้ผู้คนเรียนรู้ที่จะกระตือรือร้นในการแสวงหาความท้าทายและพัฒนาทักษะของตนเอง ให้ผู้คนรู้สึกว่า พวกเขาเป็นผู้ควบคุมงานของพวกเขาและประสิทธิภาพการทำงาน มีความสุข แล้วการมีส่วนร่วมของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระดับที่คุณไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้
ถ้าคุณอยากจะสำเร็จ ต้องดีกับผู้คน (you need to be good to people if you want to succeed!)
******************************