พ่อจำได้..พี่ชายของหนู(พี่เพชร)เรียนจบจากโรงเรียนนี้(อนุบาลเสาวลักษณ์ หมู่บ้านการเคหะสุราษฎร์ธานี)
และจบออกไป เกือบ 10 ปี พ่อถึงมีหนูมาเป็นลูกสาวของพ่อให้พ่อเลี้ยงอีกคน ...
พฤติกรรมการเรียนของพี่เพชรเมื่อครั้งยังเล็ก พ่อมานั่งนึกย้อนหลังกลับไปร่วม 20 ปี
ภาพความทรงจำวัยเรียนของพี่เพชรที่พ่อยังพอจำได้มันก็แว๊ปผ่านเข้ามา หลายฉากหลายตอน
“พี่เพชรเป็นเด็กที่ไม่ค่อยชอบอยู่ในห้องเรียน วันๆ ก็ชอบไปนั่ง ไปนอน ไปทำกิจกรรมเล็กๆ อยู่แต่ในห้องธุรการของโรงเรียนแห่งนี้เสมอและบ่อยมาก ๆ แต่พ่อกลับชื่นชมทางโรงเรียนและคุณครูประจำชั้น ที่ไม่เคยบ่น ไม่เคยว่า ไม่เคยตี ไม่เคยบังคับหรือคะยั้นคะยอให้พี่เพชร กลับเข้าห้องเรียนแต่อย่างใด เมื่อชอบนั่งในห้องธุรการ ก็ทำกิจกรรมบ้าง เรียนบ้าง และส่วนใหญ่ก็สอนกันตรงนั้น ตรงห้องธุรการนั้นแหละ”
มาถึงวันนี้ วันที่พี่เพชร เรียนจบระดับอุดมศึกษา พ่อว่านะ!!สิ่งหนึ่งที่พี่เพชร เอาติดมาด้วยตั้งแต่สมัยพี่เพชรเรียนในวัยเด็กนั่นคือ...
การชอบอยู่นอกห้องเรียน พ่อไม่เคยเห็นหนังสือเรียนของลูก ไม่เคยเห็นสมุดจด พี่เพชรสอบผ่านโดยไร้หนังสือเรียน (หากจะมีอยู่บ้าง ก็ซุกอยู่ตามซอกตามเหลือบของห้องนอน... )
พ่อเคยถามพี่เพชรครั้งหนึ่งตอนพี่เพชรสอบว่า...”พ่อไม่เคยเห็นลูกอ่านหนังสือเลย...ลูกจะสอบได้หรือ?..ทำได้หรือ?”
พี่เพชร พูดตอบพ่อว่า “มันอยู่ในหัวครับพ่อ” (เชื่อมั้ย!!...พ่อเองก็งง เพราะชีวิตของพ่อ..พ่อไม่เคยเรียนหนังสือแบบนี้)
อยู่มาจนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้รู้ทางด้านการศึกษาท่านหนึ่ง ได้พูดคุยกับพ่อว่า “ไม่ต้องห่วงเขา ไม่ต้องกังวลในตัวลูก หากลูกชอบที่จะเรียนแบบนี้ ทำแบบนี้ ต้องปล่อยเขา มั่นใจในตัวเขา และเชื่อในตัวลูก”
ถึงแม้นว่าพี่เพชร จะไม่ได้เป็นดั่งใจพ่อ แต่ลูกก็มีความเป็นตัวของตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง และรางวัลเชิดชูเกียรติที่ลูกได้รับจากมหาวิทยาลัย ในฐานะที่เป็น นักศึกษาผู้มีพัฒนาการยอดเยี่ยม จึงเป็นเสมือนหนึ่งสิ่งที่บอกกับพ่อได้ถึง ความสำเร็จในชีวิตของลูกด้านหนึ่ง มันทำให้พ่ออดคิดถึงคำพูดของผู้รู้อีกท่านหนึ่ง " อาจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช" ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ในบทความทางด้านการศึกษา ใจความว่า“เด็กเขามีความฉลาดหลายแบบ การศึกษาในตอนนี้มันมีความเหลื่อมล้ำในการตีความเรื่องความฉลาด เพื่อนผมหลายคนเรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง แต่มีหัวศิลปะ เป็นนักกีฬาขณะที่ครูก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความถนัดของเขา ครูจึงต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ และหาทางทำให้สิ่งที่เขาถนัดเป็นตัวฉุดด้านอื่นๆ ที่เขาไม่ถนัดขึ้นไปด้วย”
อาจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ท่านเน้นย้ำครับว่า “การที่จะบรรลุเป้าหมายทางการศึกษาได้นั้น ต้องมีตัวแปรสำคัญคือ “คุณภาพของการศึกษาที่เด็กทุกคนควรได้รับ” มิใช่รูปแบบการศึกษาเดิม ๆ ที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้นะครับ
“การพัฒนาเด็กต้องมีในทุกด้านผ่านมิติ 2 มิติ(กว้าง*ลึก)”
มิติกว้าง นั้นก็คือ มิติที่มิใช่แค่การพัฒนาเด็กในวิชาความรู้เท่านั้นแต่ดูรวมไปถึงนิสัยใจคอ การเคารพผู้อื่น การนึกถึงประโยชน์ ส่วนรวมและการมีความมั่นใจในตัวเอง
ส่วน มิติลึก ก็คือ การเรียนเพื่อให้เกิดการพัฒนาชีวิตมิใช่แค่การเรียนแบบผิวเผิน ไม่ใช่ตอบข้อสอบครูได้ แต่มันต้องลึกเข้าไปในจิตใจ อารมณ์ และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม
พ่อว่า...ลูกอาจไม่ใช่ทั้งหมดที่ อาจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ท่านพูดถึง แต่พ่อว่า... ลูกมีบางส่วนที่อาจารย์หมอฯท่านพูดถึงอยู่ในนี้นะ
นั่นก็คือ... ลูกฉีกกรอบออกมาจากรูปแบบการศึกษาเดิม ๆ ที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ ...(กรณีของลูกน่าจะใช้เป็นกรณีศึกษาได้นะพ่อว่า) ขอบกราบขอบพระคุณ ข้อคิดข้อเขียน ของอาจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช เป็นอย่างยิ่ง ที่พ่อนำมากล่าวอ้างถึงในครั้งนี้ครับ
กราบขอบพระคุณมากครับอาจารย์หมอฯ
วิจารณ์_พานิช
โรงเรียนอนุบาลเสาวลักษณ์
เสาวลักษณ์ หนูรอด
ทะเลชล แสงศรี
กราบขอบพระคุณอาจารย์หมอฯมากนะครับ