การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโควิด-๑๙ ช่วงเวลานี้ นอกจากเผยให้เห็นความไม่ตรงไปตรงมาหรือพูดอย่างทำอย่างของระดับผู้บริหารประเทศแล้ว ยังเผยให้เห็นพฤติกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยของนักการเมือง ซึ่งหวังเพียงคะแนนเสียง ต่อสู้ ชิงดีชิงเด่น ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ขนาดบ้านเมืองเข้าสู่วิกฤต หรือนี่คือที่มาที่ไปของเหตุการณ์เลวร้ายในวันนี้ด้วย
กรณีพรรคฝ่ายค้านออกมาตำหนิการบริหารจัดการของรัฐบาล อันนี้ไม่น่าแปลกใจ แต่กรณีพรรคฝ่ายรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งมีหน้าที่บริหารประเทศร่วมกันในนามคณะรัฐมนตรี ออกมาแสดงบทบาทช่วยเหลือประชาชน ด้วยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานในนามพรรคตนเอง อันนี้น่าพิศวง อีกทั้งบ่งบอกเบื้องหลังการทำงานร่วมกันได้ดี
ในเมื่อตนเองมีอำนาจหน้าที่ดูแลช่วยเหลือคลี่คลายสถานการณ์ตามกฎหมายอยู่แล้ว ทำไมไม่ไประดมสมองร่วมคิดร่วมทำอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาให้บรรเทาเบาบางลงโดยเร็ว ถ้าการประสานงานการรับส่งผู้ติดเชื้อไปยังสถานพยาบาลบกพร่อง เพราะเตียงยังมีเหลือเพียงพอ ก็เร่งไปบริหารจัดการส่วนนั้น ไม่ใช่ออกมาตั้งศูนย์ช่วยเหลือประสานงานในนามพรรคใครพรรคมันอย่างที่ปรากฏในข่าว
ถ้าบอกว่าช่วยๆกัน คนละไม้คนละมือ แบ่งเบาภาระรัฐบาลหรือภาระของแพทย์และสาธารณสุขหรือผู้ที่กำลังทำหน้าที่ ซึ่งล้วนทำงานหนัก ฟังผิวเผินไม่คิดมากดูดี แต่ในฐานะรัฐบาลผู้บริหารประเทศที่มีทั้งอำนาจและหน้าที่ล่ะ? ไม่ดีกว่า ง่ายกว่า เพราะสรรพกำลังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ กำลังคน ตลอดจนงบประมาณ ย่อมพร้อมที่สุดที่มีในประเทศนี้แล้วไม่ใช่หรือ?
ไม่อยากมองแง่ร้ายขนาดหรือสไตล์การทำงานร่วมกันของนักการเมืองเป็นที่มาความสูญเสียในครั้งนี้เองด้วย แต่ก็ทำให้เห็นชัดเจนและน่าเชื่ออย่างที่บางคนวิพากษ์ "เนื้อข้างในไม่มีใครไว้วางใจใคร ถึงขนาดที่ไม่มีใครกล้าดื่มน้ำ เพราะกลัวถูกวางยา"
ที่แน่ๆการทำงานร่วมกันของฝ่ายรัฐบาลในลักษณะนี้ สุดท้ายชาวบ้านอย่างเราจะไม่ได้อะไร นอกจากคำหวานชวนให้เคลิบเคลิ้มเช่นเคย
ไม่มีความเห็น