ความอยาก และ ความปรารถนา...
ความปรารถนานั้นประกอบด้วยปัญญา... ปัญญาในการหวังที่จะให้ ที่จะเสียสละ
ความอยากนั้นประกอบด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน...หวังที่จะได้ จะเอา จะมี จะเป็น หวังที่จะให้คนเคารพยกย่อง นับถือ หวังลาภสักการะ คำสรรเสริญเยินยอ...
------------------------
บุคคล ปุถุชน สมณะ ชี พราหมณ์ ที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะตั้ง "ความปรารถนา" ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อจะพาสัตว์โลกทั้งหลายข้ามพ้นจากภัยแห่งความทุกข์ในวัฏฏสงสาร
"ความปรารถนาคือการให้... ความอยากคือการเอา..."
-----------------------
เหมือนคนที่ปรารถนาจะได้สิ่งจะต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ถึงพร้อม
ตั้งความปรารถนาไว้ที่จะเป็นหัวหน้า เป็นเจ้านาย เป็น ผอ. เป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี ทุกคนตั้งความปรารถนาได้ ไม่ผิด เพราะความปรารถนานั้น คือ การนำตำแหน่งเหล่านั้นมาทำความดี มาเสียสละ มาเป็นหัวหน้าที่ดี สร้างความสุขให้กับลูกน้อง เป็น ผอ. ที่ดี เพื่อจะได้ทำความดี ได้เสียสละ เป็นปรารถนาที่จะเป็นนักการเมืองที่ดี เพื่อจะมาปรับปรุงและพัฒนาประเทศชาติ
เหมือนดั่งความตอนหนึ่ง ในพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เนื่องในโอกาสพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการ
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๑๓
"...ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คน ทุกคนเป็นดีได้ทั้งหมด การทำให้ บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ ทุกคนเป็นคนดี หาก แต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้ มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้..."
------------------------
ทุกวันนี้ประเทศชาติวุ่นวายเพราะ "ความอยาก"
อยากจะมียศ มีตำแหน่ง เพื่อนำยศนำตำแหน่งเหล่านั้นมามี มาเป็น มาเอาผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวงพ้อง...
------------------------
การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน เราตั้งความปรารถนาได้ คือ ปรารถนาที่จะให้ จะเสียสละ ปรารถนาที่จะละซึ่งอัตตาและตัวตน
ความสงบก็ไม่เอา ความไม่สงบก็ไม่เอา
อยากให้มันสงบ อยากอยู่เงียบ ๆ ไม่อยากให้วุ่นวาย ไม่อยากปวดแข้งปวดขา
"ถ้าอยากเมื่อไหร่มีปัญหาแน่"
สมาธิแปลว่า ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง...
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่มาทำสมาธิแล้วไม่สงบ ก็เพราะมีความอยาก... "อยากให้มันสงบ"
------------------------
การปล่อยวางคือ "ไม่เอาอะไร" มิใช่ "ไม่ทำอะไร
การปล่อยวางคือเราทำทุกอย่างให้ดีกว่าเดิม ขยันกว่าเดิม แต่เพิ่มเติมคือ ทำเพื่อให้ เพื่อเสียสละ และตัดความอยากทั้งหลายออกไปให้หมด
------------------------
ดังนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงทรงตรัสเรื่องของ "สัมมาทิฏฐิ" เป็นลำดับแรกในการเดินตามทางแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นหนทางอันประเสริฐ
สัมมาทิฏฐิ คือ การที่เราต้องมีความเห็นที่ถูกต้อง มีความเข้าใจที่ถูกต้อง การประพฤติปฏิบัติของเราถึงจะถูกต้อง มีฉันทะ มีความพอใจที่ประกอบด้วย "ปัญญา"
เรามาปฏิบัติธรรม ทำความเพียรทุกอย่างต้องประกอบด้วยปัญญา
จะให้ทานเป็นอามิสบูชา หรือปฏิบัติบูชา การบูชาทุกอย่างต้องประกอบด้วยปัญญา "ปัญญาแห่งการให้ การเสียสละ"
------------------------
เช่นเดียวกันกับเรื่องของหัวใจของพุทธเศรษฐศาสตร์ (Buddhist Economics)
ให้เราตั้งความปรารถนาในการดำเนินชีวิต ประกอบหน้าที่การงาน ทำธุรกิจต่าง ๆ โดยปรารถนาเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข
เปิดร้านขายอาหาร ก็ปรารถนาให้ผู้ที่มีทานมีความสุข ซึ่งจะแตกต่างจากคนเปิดร้านอาหารเพื่ออยากได้เงิน...
------------------------
ซึ่งเหมือนกับคำว่า "อธิษฐาน" กับ "การขอ"
การบำเพ็ญบารมีข้อหนึ่งคือ "อธิษฐานบารมี" แปลง่าย ๆ ก็ได้ว่า การอธิษฐาน คือ การตั้งจิตคิดที่จะให้ อธิษฐานจะให้สิ่งที่ดี ๆ ต่อใคร ๆ อย่างเช่นเราตื่นมาตอนเช้าเราก็ตั้งจิตอธิษฐานเลยว่า วันนี้เราจะตั้งใจทำความดี ตั้งใจที่จะเสียสละ
ซึ่งจะแตกต่างจากการขอ... ตื่นเช้ามาไหว้พระ แล้ววันนี้ขอให้ค้าาขายได้เงินมาก ๆ ถ้าเป็นอาชีพทนายความ ก็ขอให้มีลูกความเยอะ ๆ... ลูกความก็คือคนที่มีปัญหาชีวิต ก็คือคนที่ทะเลาะเบาะแว้งแย่งผลประโยชน์กัน มิได้อธิษฐานให้โลกนี้สุขสันต์จากความสงบสุข...
หรือเหมือนคนไปทำทานใส่เงินตามตู้บริจาค ใส่เงินในตู้ไปยี่สิบบาทแล้วขอให้ลูกหวยรวยเบอร์ ขอให้ถูกรางวัลที่หนึ่งได้เงินเป็นล้าน
หรือแม้แต่คนบริจาคเงินเป็นล้าน ๆ ก็ขอให้ได้ตอนตายได้อยู่ในสวรรค์ ในวิมาน การขอแบบนี้จึงไม่จัดว่าเป็นการปฏิบัติที่ประกอบด้วยปัญญา..."
-----------------------
เราเป็นผู้ให้ เราเสียสละ เราถึงมีปัญญา... เรามีปัญญา เราก็ต้องนำมาเสียสละ... เรามีปัญญา เราเสียสละ เราถึงมีความสุข...
นี้คือตรรกะแห่งการปฏิบัติที่จะนำเราออกจากทุกข์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
------------------------
ดังนั้นจึงขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า
จะทำสิ่งใดให้ตั้งความปรารถนา ตั้งจิตอธิษฐานไว้เสมอว่า เราจะเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ สิ่งที่เราทำนี้จะสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวม
เราไม่ได้ทำเพราะความอยากได้ อยากมี อยากเป็น เราทุกอย่างเพื่อให้ เพื่อเสียสละ เพื่อละทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน
ปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข พ้นจากความทุกข์จากภัยในวัฏฏสงสาร
ปรารถนาให้ผู้อื่นได้เดินทางตามกระแสแห่งพระนิพพาน เพื่อพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารอย่างแท้จริง...
ไม่มีความเห็น