ผมดูสารคดีเรื่อง Move จนจบห้าตอน สารคดีนี้เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดชีวิตของนักเต้นระดับโลกจากห้าประเทศ ดูแล้วอึ้งครับ เป็นอะไรที่ตรึงตาตรึงใจประดุจต้องมนตรามากที่สุดที่เคยดูสารคดีมา เอาเป็นว่าตอนผมดูตอนที่สองที่เป็นนักเต้นผู้คิดค้นแนวการเต้นแบบ GAGA ที่เน้นดึงความบริสุทธ์ อันเป็นธรรมชาติมากๆ ของมนุษย์ออกมา ผมถึงกับลุกขึ้นเต้นตาม มัน Magic มากๆ ไม่น่าเชื่อว่าการเต้นมันทรงพลังขนาดนี้
คำถามคือเมื่อดูแล้วผมเห็นอะไร
ผมเห็นจุดร่วมอะไรหลายอย่างจากเรื่องนี้
1. ทุกคนมี Purpose หรือจุดประสงค์ในชีวิต ครับ จากหนังสือเรื่อง Leading from Purpose: Clarity and the Confidence to Act When It Matters Most (p. 83). Hachette Books. Kindle Edition. ผู้เขียนบอกว่า “Purpose is the unique gift that you bring to the world.” หรือแปลว่า “ของขวัญที่คุณมอบให้แก่โลก”
ชัดมากๆครับ ทั้งหมดค้นพบพรสวรรค์ตัวเอง แล้วนำมามอบให้กับโลกด้วยวิธีการของตนเอง ไล่ตั้งแต่ตอนแรกที่เป็นเรื่องของ Jon Boogz และ Lill Buck ที่บอกเลย Purpose หรือ Mission ของเขาคือการทำให้ Street Dance เป็น Fine Art (วิจิตรศิลป์) เหมือนบัลเล่ย์ ทั้งสองเชื่อว่าการเต้นข้างถนน นี้จริงๆ เป็นศิลปะชั้นสูงเช่นเดียวกับบัลเลย์ เพราะการเต้นทำคนก้าวข้ามยาเสพติด ความรุนแรง
Ohad Nharin นักเต้นชาวอิสราเอล เชื่อว่าศิลปะเปลี่ยนโลกได้ การเต้นทำให้โลกหันมาทำความเข้าใจปัญหาสังคม การกีดกัน ความรุนแรง แล้วเปลี่ยนแปลงมันให้ได้ เช่นปัญหาอาหรับ อิสราเอล
Kimiko Versatile มีความเชื่อว่าผู้หญิงก็ประสบความสำเร็จได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชายเสมอไป นี่มาจาก นักเต้นชาวจาไมก้า ที่พยายามผลักดันให้ผู้หญิงแข็งแกร่ง ไม่กลัวใคร ผู้ชายทำได้ผู้หญิงก็ทำได้ (Feminist)
Israel นักเต้นชาวสเปน ก็มีปรัชญาว่าฟลามิงโก้ สามารถนำไปสะท้อนปัญหาสังคมได้ ไม่ใช่เต้นเอาสนุกตามที่ทำกันมา
Abram Khan ลงลึกไปเรื่อง Myths ตำนานโบราณ เช่นกิลกาเมซ ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพื่อเอาตำนานมาสะท้อนปัญหาโลกในปัจจุบัน
2. ทั้งหมดนี้เหมือนๆกันอีกคือก่อนจะเปล่งประกายไประดับโลก ทั้งหมอค้นพบตัวเองมาตั้งแต่เด็ก บางคนเต้นเป็นก่อนพูด จากนั้นไม่เคยหยุดเต้น ไม่มีอุปสรรค
3. ส่วนใหญ่ชีวิตลำบาก เช่นอยู่ในถิ่นยาเสพติด มาเฟียร์มาก่อน หรืออยู่ในภาวะสงคราม เลยอยากให้โลกไม่เหมือนเดิม แต่การเต้นทำให้เขาได้แสดงออกออกมา ทำให้ไม่จำเป็นต้องติดยา หรือปรับตัวตามสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหา
4. การทดลองอย่างไม่หยุดหย่อน เช่นนักเต้น ฟลามิงโก้ พยายามใช้อวัยวะทุกส่วนสร้างเสียง ซึ่งไม่เคยเหมือนใครมาก่อน
5. เจอขีดจำกัดแต่กลับรู้สึกว่าไม่มีขีดจำกัด พื้นทีซ้อมแค่ในครัวเล็กๆ แต่ Abram สมัยเด็กกลับบอกว่า เขากลับรู้สึกว่าพื้นที่แคบๆ ให้อิสรภาพสูงสุดในชีวิต
6. การทำศาสตร์อื่นมาผสมผสานจนเกิดแนวทางใหม่ เช่นนักเต้น Poping ซึ่งเป็น Street Dance แต่หันไปเรียนเต้นบัลเล่ย์แล้วเอามาผสมผสานจนเกิดท่าเต้นที่เป็นแบบต้นตำหรับ
7. การไปทำงานร่วมกับคนอื่น เช่นกรณี ABram Kahn ไปทำงานเป็นตัวละครในเรื่องภควัทคีตา จอง Peter Brooks (ผมเลยไปตามดูต่อ) ทำให้ได้แรงบันดาลใจมาเป็นตัวตนของเขาในปัจจุบัน
8. ทำตามหัวใจตัวเอง ไม่ทำตามที่พ่อแม่บอก
9. ทำแบบไม่แคร์สื่อ บางคนเริ่มจากเปิดหมวกเต้นข้างถนน แต่จะการ Focus ที่สุด ทุกคนเริ่มจุดประกายความสนใจผู้คน ทำให้มีพันธมิตร ลูกศิษย์ FC เพิ่มขึ้นจนมีโรงเรียน คณะเต้นของตนเอง ทุกคนไประดับโลก ไปแสดงหลายๆ ประเทศทั้งๆที่จุดเริ่มต้นคือการเต้นในถนน และใช้ชีวิตในสลัม
10. ทั้งหมดดูดื่มด่ำ มีชีวิตที่มีความหมาย มีคนอยากเดิมตาม เป็นผู้นำ มีธุรกิจของตัวเอง เป็นชีวิตที่เป็นของขวัญให้โลกอย่างไม่ต้องสงสัย
ชีวิตที่เป็นของขวัญให้กับโลกนี่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมมากจริงๆ
คำถามต่อไป คือแล้วเราจะทำอย่างไรเราจะค้นพบ Purpose ชีวิตเราจะได้เป็นของขวัญให้โลกบ้าง
ผู้เขียนอาจารย์ Nick บอกว่าให้ลองตอบคำถามสามข้อ (ข้อสี่ผมเขียนเอง)
Purpose ของคุณล่ะ คืออะไร ลองเชื่อมโยงไปมา เขียนมาหลายๆ อย่าง เอาที่จุดประกายเราสักอัน
ของผมเช่น ผมจะเอาเรื่อง OD (Organziation Development) ที่ผมเรียนมา มาทำให้คนไทยค้นพบตัวเอง สร้างองค์กร ที่มี Purpose โดยเอาแนวคิด Positive Psychology การเจริญสติ Theory U มาพัฒนาวิธีการค้นหา Purpose เป็นสูตรของคนไทยเอง
สรุปสั้นๆคือ Purpose ของผมคือ ทำให้องค์กรของคนไทยหนึ่งล้านคน ค้นพบ Purpose นี่เป็นของขวัญที่ผมต้องการมอบให้ประเทศของเราครับ
การหา Purpose แนวนี้อาจาร Nick บอกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องอาชีพ แต่ผมก็มองเห็นทางครับ ผมมี Passion เป็นครูด้วย ชอบสอนและออกแบบการสอน เพราะฉะนั้นผมก็สามารถสอนเรื่องนี้และออกแบบการสอนให้เหมาะกับคนกลุ่มต่างๆ ได้
ว๊าววววววววว
ได้เขียนออกมาแล้วทรงพลังมากกกกก
วิจารณ์หนังสือ
หนังสือเล่มนี้เปิดโอกาสให้นำเอาหลายๆ เรื่องมาผสมผสานกัน แล้วเปิดโอกาสให้คุณค้นหา Style การทำงาน หรือปรัชญาการทำงานของคุณด้วย แต่จะสร้างผลกระทบได้มากเท่าใด อาจต้องเจริญรอบตามวิถีของศิลปินตั้งแต่ข้อ 2-7 แต่ถ้ายังหาที่ทางไม่เจออาจลองไปเรียนอะไรที่ต่างออกไป ไปทำงานกับคนเก่งๆ บางทีมันจะผสมผสานอะไรขึ้นมาเอง จะว่าไปเล่มนี้เจาะการเป็นผู้นำแบบมี Purpose ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลก เกิดมาเพื่อเกื้อกูล ไม่ใช่กอบโกย
ลองจินตนาการสิครับ ถ้าเรามีคนแบบข้างบนห้าคน..สักล้านคน ในวงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ผู้นำทุกระดับ ประเทศเราจะเปลี่ยนไปแบบไหน เราต้องการผู้นำแบบนี้ในทุกวงการ
ตอนนี้ในสายธุรกิจก็พูดถึงผู้นำที่มี Purpose มากขึ้นเรื่อยๆ สายพัฒนาองค์กร ก็มีแนวคิดว่า Business as an Agents for the World Benefit ก็คือธุรกิจที่สร้างขึ้นมาเพื่อเกื้อกูลโลก ทำให้โลกดีขึ้น ไม่ใช้ยิ่งอยู่ยิ่งพัง
คุณล่ะคิดอย่างไร
ด้วยรักและปรารถนาดี
ดร.ภิญโญ รัตนาพันธุ์
Purpose Story
ไม่มีความเห็น