สาระในตอนที่ ๑๕ นี้ ผมตีความจากบทที่ 6 Observe, Interpret, and Adapt : The Third Operating Principle ของหนังสือ Facilitating Evaluation : Principles in Practice(2018) เขียนโดย Michael Quinn Patton
สาระสำคัญคือ ในการทำหน้าที่กระบวนกรของการประเมินแบบ DE กระบวนกรต้องสังเกตและเก็บข้อมูลนำมาใช้งานตลอดเวลา การใช้งานในขณะนั้นคือการปรับเป้าหมายหรือปรับกระบวนการ ทำผ่านการตีความข้อมูลและคิดทางเลือกในการดำเนินการในทันใดนั้น ในการทำหน้าที่ดังกล่าว ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลปะ ที่กระบวนกรสั่งสมผ่านการเรียนรู้ ในกระบวนการ “สังเกต ตีความ และปรับ” นั่นเอง
ลงมือทำและสังเกต
ข้อมูลสำคัญที่เรามักมองข้ามการนำมาใช้ในการทำหน้าที่กระบวนกร คือข้อมูลพฤติกรรมของทีมงานในขณะนั้น หรือ ณ ปัจจุบันขณะของกิจกรรม
Michael Patton เล่าประสบการณ์ของตนเอง ในการทำหน้าที่กระบวนกรให้แก่กลุ่มผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหนึ่ง เพื่อทำความเข้าใจและขับเคลื่อนการเปลี่ยนระบบ MIS – Management Information System ของบริษัท และใช้กระบวนการเข้าสู่กิจกรรมตามแนวทางมาตรฐานของตน คือให้ผู้เข้าร่วมได้ตระหนักด้วยตนเองว่า คนเรามีมุมมองต่อสิ่งต่างๆ แตกต่างกันมาก โดยให้ใช้เวลา ๕ นาทีเดินสำรวจพื้นที่ห้องประชุม และเขียนบรรยายสิ่งที่ตนเห็นและรู้สึก
แต่เมื่อบอกสมาชิกกลุ่มนี้ให้ทำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือทุกคนนั่งนิ่ง มือกอดอก แสดงการต่อต้านเต็มที่ ด้วยความชำนาญและยึดมั่นในหลักการ “สังเกต ตีความ และปรับ” เขาบอกตัวเองว่า เขาได้ข้อมูลสำหรับใช้ดำเนินการต่อแล้ว ข้อมูลนั้นคือ ผู้เข้าร่วมประชุมไม่ให้ความสนใจ ไม่ให้ความร่วมมือ ต่อการประชุมนี้
โปรดสังเกตว่า Michael Patton ไม่ได้ตีความเหตุการณ์ที่ผู้เข้าร่วมประชุมไม่ให้ความร่วมมือ ว่าเป็นความล้มเหลวของตน แต่ตีความว่าเป็นข้อมูลบอกว่ามีเหตุผลอื่น (บริบท - context) ที่กระบวนกรไม่ทราบ ที่จะต้องนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริง
ปรับตัวทันที
Michael Patton จึงปรับประเด็นการพูดคุยเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการทันที เป็นระดมความคิดเรื่อง การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ในสถานการณ์จริง ความคิดและความรู้สึกของผู้เข้าร่วมประชุมก็พรั่งพรูออกมา ว่าเขาไม่รู้ล่วงหน้าชัดเจนว่า การประชุมทั้งวันเช่นนี้ เพื่ออะไร เป็นการนัดประชุมในช่วงที่พวกเขามีภารกิจยุ่งมาก เพราะใกล้ปิดบัญชีปลายปี ก่อนเข้าสู่ช่วงหยุดยาว
เอื้ออำนวยการประเมินด้วยกระบวนการที่ปรับได้ตลอดเวลา
Michael Patton จึงเสนอให้ปรับเป้าหมาย และวาระการประชุมทันที เป้าหมายใหม่คือ ร่วมกันกำหนดบทบาทและความรับผิดรับชอบ (roles and responsibilities) ของผู้บริหารระดับสูง ต่อการเปลี่ยนระบบ MIS ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้เข้าร่วมประชุม และมีความร่วมมือกันดำเนินการตามเป้าหมายและกำนดการใหม่อย่างแข็งขัน
อะไร (what?), หมายความว่าอย่างไร (so what?), เอาไปทำอะไร (now what?) คือคำถามหลัก สำหรับใช้ทำหน้าที่กระบวนกรของการประเมินเพื่อสนับสนุนการพัฒนา (DE – Developmental Evaluation) เป้าหมายของการทำหน้าที่กระบวนกร จึงต้องมุ่งที่การนำไปใช้ประโยชน์ ตามเป้าหมายใหญ่ (purpose) ของโครงการ ไม่ใช่มุ่งดำเนินการตามกำหนดการที่วางแผนไว้ นี่คือหลักการสำคัญที่สุดที่กระบวนกรต้องยึดถือ
ใช้หลักการ GUIDE
เป็นการใช้แนวทาง G.U.I.D.E. ในการทำหน้าที่กระบวนกร โดยใช้หลักการ “สังเกต ตีความ และปรับ”
G– Guiding Wisdom
ให้ความเอาใจใส่ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับนำมาใช้ในการทำหน้าที่กระบวนกร
หัวใจสำคัญคือ พลวัตกลุ่ม โดยเขายกตัวอย่างสิ่งที่ควรสังเกต ๕ ประการ ที่นำไปสู่การปรับกระบวนการ facilitation ดังในตาราง
ข้อควรสังเกต | กระบวนการ facilitation ที่ได้จากข้อมูลจากการสังเกต |
๑ สังเกตการเลือกที่นั่งและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม |
เพื่อให้เกิดประโยชน์จากกิจกรรมที่มีปฏิสัมพันธ์เข้มข้น ควรจัดกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างไร
|
๒ เอาใจใส่ระบบแสงเสียง การจัดที่นั่ง เพื่อการมองเห็นและได้ยิน |
จัดโต๊ะนั่งอย่างไร
|
๓ สังเกตพลวัตกลุ่มย่อย |
กระบวนกรทำอะไร ระหว่างการประชุมกลุ่มย่อย
|
๔ สังเกตการแสดงบทบาทและความรับผิดชอบ |
ต้องการ facilitation แก่กลุ่มย่อยอย่างไรบ้าง
|
๕ การใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ |
ควรกำหนดกติกาในการใช้เครื่องมือสื่อสารหรือไม่
|
ความร่วมมือทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
อีกข้อควรสังเกต ตีความ และปรับการดำเนินการคือ ผู้เข้าร่วมกระบวนการทำตามที่กระบวนกรบอกหรือไม่ โดยมีคำแนะนำว่า กลุ่มที่ไม่ทำตามที่บอก มีสาเหตุใหญ่ๆ ๓ ประการ ที่กระบวนกรต้องตีความ และปรับการดำเนินการ ดังนี้
เกิดจากข้อบกพร่องของกระบวนกรเอง ที่บอกกิจกรรมกลุ่มไม่ชัดเจน เขาแนะนำคำมอบหมายงานกลุ่ม ๕ ขั้นตอนต่อไปนี้
จะเห็นว่า กระบวนกรต้องทำหน้าที่ทั้งเป็น ไกด์ และเป็น โค้ช และการไกด์นั้น ไม่เพียงมอบหมายงานเท่านั้น แต่ยังต้องติดตามและช่วยเหลือให้งานของกลุ่มลุล่วงไปด้วยดี โดยกระบวนกรต้องทำหน้าที่ ๔ แนวคือ ทำอย่างจริงจัง (active), ทำอย่างตอบสนอง (reactive), สร้างปฏิสัมพันธ์ (interactive), และทำอย่างมีการปรับตัว (adaptive) โดยผมขอเพิ่มแนวทางที่ ๕ คือ ทำเชิงรุก (pro-active) ในโอกาสต่อไป เราจะได้เห็นว่า กระบวนกรยังต้องเป็น ผู้จัดทำแผนที่ (map maker), ผู้ควบคุมอากาศยาน (air traffic controller), และ ผู้คุมเวลา(timekeeper) อีกด้วย
U– Useful Knowledge
นำพากลุ่มเคลื่อนสู่เป้าหมาย หรือผลงานที่กำหนดไว้
กระบวนกรทำหน้าที่ “สังเกต ตีความ และปรับ” โดยคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ ๓ ประการคือ ทิศทาง (direction), ระยะทาง (distance), และอัตราความเร็ว (pace)
กระบวนกรมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม โดยหมั่นเตือน หรือให้ความรู้ที่มีประโยชน์ แก่กลุ่ม ว่าเป้าหมายคืออะไร (มีคุณค่าอย่างไร) ในขณะนั้นกลุ่มอยู่ตรงไหน กำลังเคลื่อนไปทิศทางใด ด้วยความเร็วแค่ไหน ยังห่างเป้าหมายแค่ไหน เท่ากับกระบวนกรทำหน้าที่ประเมินผลงานของกลุ่ม และให้ข้อมูลเป็น feedback แก่กลุ่มนั่นเอง โดยกระบวนกรต้องมีวิธีพูดและคำพูดเชิงบวก ที่ให้กำลังใจ และความมุ่งมั่นในการทำงานให้ลุล่วง
Michael Patton ยกตัวอย่างประสบการณ์ของตน ที่มีกลุ่มย่อยทำงานที่กำหนดไว้ ๓๐ นาที ใช้เวลาเพียง ๑๐ นาทีก็เสร็จ เพราะในกลุ่มมีผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมิน สมาชิกคนอื่นๆ ของกลุ่มยอมรับสมาชิกผู้นี้มากและตกลงตามที่ท่านผู้นี้เสนอ งานจึงเสร็จเร็ว ซึ่งตีความได้ว่า กลุ่มไม่ได้ใช้เวลาตีความข้อมูล และแนวทางที่แตกต่างหลากหลายอย่างเพียงพอ สมาชิกกลุ่มท่านอื่นๆ ไม่ได้รับประโยชน์จากกระบวนการกลุ่มเพื่อการเรียนรู้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรียนรู้ความแตกต่างหลากหลายของมุมมอง และของข้อมูล Patton จึงแนะนำให้สลายกลุ่ม ให้สมาชิกไปสังเกตการณ์กลุ่มอื่น เพื่อให้ได้เรียนรู้
กระบวนกรมีหน้าที่เอื้อให้กระบวนการของ DE มีลักษณะ ทำอย่างร่วมมือกัน (collaborative), มีส่วนร่วม (participatory) ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเน้นการนำผลไปใช้ประโยชน์ (utilization-focused) โดยในการทำหน้าที่ดังกล่าว กระบวนกรต้องมี “แผนที่” อยู่ในใจ ว่ากระบวนการประเมินมีจุดเริ่มต้น คลี่คลาย และสำเร็จ อย่างไร กระบวนกรจึงต้องเป็นนักทำแผนที่
กระบวนกรทำหน้าที่คล้าย “ผู้ควบคุมอากาศยาน” ให้แต่ละลำใช้สนามบินร่วมกันอย่างปลอดภัย พาผู้โดยสารสู่ที่หมายได้เป็นอย่างดี ตามกำหนดเวลา ซึ่งเปรียบเสมือนกลุ่มย่อย ที่ใช้พื้นที่ร่วมกัน ใช้เวลาเดียวกันทำงานกลุ่มให้ลุล่วงด้วยดี โยงสู่การทำหน้าที่ “ควบคุมเวลา”
I– Inspiring Values
กระบวนกรยกระดับความสำเร็จในการทำหน้าที่ผ่านปฏิบัติการใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflective practice) ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และของตนเอง
เรียนรู้ผ่านการใคร่ครวญสะท้อนคิด โดยใช้ข้อมูลจากการสังเกตและตีความ
หัวข้อบันทึกนี้คือ “สังเกต ตีความ และปรับ” กิจกรรมทั้ง ๓ นี้ ใช้เพื่อทำหน้าที่กระบวนกรให้กระบวนการประเมินแบบ DE เกิดผลดี และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเครื่องมือเพื่อการเรียนรู้ของตัวกระบวนกรเองด้วย โดยใช้เครื่องมือหรือกระบวนการที่เรียกว่า การใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) โดยเอาข้อมูลที่ได้จากการสังเกต ตีความ และปรับ มาใคร่ครวญทำความเข้าใจที่มาที่ไปของข้อมูลนั้น เอามาตั้งคำถามกับตนเองว่า จะทำหน้าที่ให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร
วิธีเรียนรู้ที่มีพลังอีกวิธีหนึ่งคือ สังเกตวิธีปฏิบัติงานของกระบวนกรความสามารถสูง
คุณค่าของนักประเมิน
วิชาชีพนักประเมินเป็นวิชาชีพหนุนความสำเร็จ เพื่อใช้กิจกรรมการประเมินแบบ DE ช่วยให้ (๑) ทีมผู้ปฏิบัติงานที่ยากและซับซ้อน สามารถดำเนินการบรรลุความสำเร็จ ผ่านความร่วมมือกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ (๒) หนุนผู้รับผิดชอบดูแลทรัพยากร และต้องการใช้ทรัพยากรเพื่อสร้างโลกสร้างสังคมที่ดี ให้ได้ใช้ทรัพยากรอย่างเกิดผลดีตามเป้าหมาย
กล่าวใหม่ว่า วิชาชีพนักประเมินทำหน้าที่สร้างคุณค่า (values) หรือหนุนการสร้างคุณค่าของกิจกรรมพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกิจกรรมที่บรรลุผลยาก เพราะมีความซับซ้อนสูง
นักประเมินจึงต้องสร้างแรงบันดาลใจของตนเองให้ลุกโพลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยปณิธาน และวัตรปฏิบัติ ที่จะเรียนรู้เพื่อทำหน้าที่ที่ยากและซับซ้อนนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การสังเกต สองทาง สามแฉก
การสังเกตสองทาง คือทางด้านการประเมิน กับด้านการ facilitate การสังเกต ๓ แฉกหรือ ๓ ด้านคือ สังเกตสมาชิกกลุ่ม สังเกตว่าสมาชิกกลุ่มสังเกตตัวกระบวนกรอย่างไร และกระบวนกรสังเกตตัวเอง ก็จะได้ข้อมูลอย่างน้อย ๖ แบบ สำหรับนำมาตีความทำความเข้าใจ ใช้เป็นข้อมูลป้อนกลับเพื่อการปรับตัว และปรับวิธีทำงาน
ผมขอเพิ่มเติมว่า การสังเกตตัวเอง (self-observation) เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงตัวเอง ในภาษาของการเรียนรู้เรียกว่า meta-cognition เป็นทักษะสำคัญสำหรับบุคคลเรียนรู้ (learning person)
D– Developmental Adaptation
อ่านกลุ่ม และปรับตามความเหมาะสม
“อ่าน” ในที่นี้หมายถึง สังเกตและตีความ โดย “อ่าน” สองอย่างคือ คุณภาพของการแสดงบทบาทอย่างจริงจัง กับความก้าวหน้าของกลุ่ม สู่เป้าหมายที่กำหนด แล้วจึงดำเนินการเพื่อให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการกลุ่ม เช่น หากพบว่ากลุ่มมีพลังน้อย ก็ต้องคิดหาทางเลือกเพื่อเพิ่มพลังให้แก่กลุ่ม หากพบว่ามีคนเพียงไม่กี่คนในกลุ่มที่เป็นผู้ออกความเห็น ก็ต้องคิดหาทางเลือกเพื่อหนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมกว้างขวางขึ้น หากกระบวนการกลุ่มพบทางตัน ก็ต้องคิดหาทางเลือกเพื่อให้กระบวนการกลุ่มดำเนินต่อได้อย่างมีพลัง เป็นต้น
ห้าขั้นตอนของ adaptive facilitation
การปรับตัว ขึ้นกับชุดความคิด
การปรับตัวต้องอยู่ในกระบวนทัศน์หรือชุดความคิด ของกระบวนกร คือกระบวนกรต้องจ้อง สังเกต ตีความ และปรับ อยู่ตลอดเวลา ต้องไม่เผลอยึดมั่นถือมั่นกับแผนที่วางไว้
การปรับตัวเล็กๆ น้อยๆ กับการปรับใหญ่
การตัดสินใจปรับตัวเล็กๆ น้อย กระบวนกรสามารถตัดสินใจได้ แต่หากเป็นการปรับใหญ่ เช่นเปลี่ยนเป้าหมายของการประเมิน หรือเปลี่ยนกำหนดการโดยสิ้นเชิง ต้องปรึกษาหน่วยงานสนับสนุนการประเมิน โดยกระบวนกรมีหน้าที่ให้ข้อมูลและให้คำอธิบายว่า ทำไมจึงต้องมีการปรับตัว
ปัญหาหลักๆ ของกระบวนการกลุ่ม และแนวทางปรับตัว แสดงในตาราง
สภาพที่สังเกตเห็น | ตัวอย่างทางเลือกของการดำเนินการโดยกระบวนกร |
๑ กลุ่มมีพลังน้อย ก้าวหน้าช้า |
|
๒ สมาชิกกลุ่มแบ่งค่ายและขัดแย้งกัน รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ |
|
๓ กลุ่มทำงานช้ากว่ากำหนดการมาก |
|
๔ มีคนเพียงบางคนครอบครองการอภิปรายในกลุ่ม |
|
๕ เห็นชัดเจนว่า กลุ่มขาดความรู้ ประสบการณ์ และขีดความสามารถในการทำงานให้ลุล่วงได้ |
|
๖ การอภิปรายมีลักษณะสุภาพ เกรงใจ หลีกเลี่ยงเรื่องยากที่จำเป็นต้องจัดการ ทุกคนไม่มองเป้าหมาย |
|
๗ ความแตกต่างในอาวุโส ตำแหน่ง และอำนาจ ทำให้สมาชิกกลุ่มไม่กล้าออกความเห็น |
|
๘ กระบวนการกลุ่มเกิดขึ้นระหว่างมีเหตุการณ์ที่ระทึกขวัญหรือดึงความสนใจของสมาชิกกลุ่ม |
|
๙ สมาชิกเบื่อกระบวนการที่ดำเนินการซ้ำๆ คือแยกกลุ่มอภิปราย แล้วนำผลการประชุมกลุ่มมารายงานในกลุ่มใหญ่ สมาชิกอยากทำกิจกรรมที่ตื่นเต้นบ้าง |
|
E– Evaluable Facilitation
รับผลการสังเกต ตีความ และปรับตัว ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และนำมาใช้ประโยชน์
พึงตระหนักว่า การดำเนินการของกระบวนกรก็ตกอยู่ใต้การสังเกต ตีความ และปรับตัว ของสมาชิกกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยกระบวนกรพึงยึดมั่นในหลักการว่า การตัดสินใจต่อการประเมินเป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบ และผลงาน ของทีมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กระบวนกรไม่ใช่เจ้าของ แต่เป็นผู้ทำหน้าที่เอื้อกระบวนการ และให้ feedback แก่ทีมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้ได้ร่วมกันทำงานอย่างมีข้อมูลหลักฐาน และมีการร่วมกันพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ และเสนอข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานหรือกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนให้มีการประเมินนี้
ซึ่งหมายความว่า กระบวนกรก็ต้องรับฟัง feedback จากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย
ข้อเรียนรู้ในการทำหน้าที่กระบวนกรของการประเมิน DE
สรุป
พลังของการสังเกต ตีความ และปรับ ช่วยให้การทำหน้าที่กระบวนกรก่อคุณค่ายิ่งใหญ่ต่อผลการประเมิน DE วิธีทำให้มีการสังเกต ตีความ และปรับ ได้ลึกและเชื่อมโยงยิ่งขึ้น เกิดการเรียนรู้ในมิติที่ลึกยิ่งขึ้น ทำได้โดยประยุกต์หลักการ G.U.I.D.E.
วิจารณ์ พานิช
๗ ต.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น