ผมเขียนเรื่อง “ลูกรักไม่กินผัก” เป็นบทความหนึ่งหน้าไว้ในนิตยสาร “รักลูก” ปีที่ 8 ฉบับที่ 90 กรกฎาคม 2533 ดังต่อไปนี้
“เที่ยงกว่าแล้วทุกคนกำลังหิว เลยลิ่วเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยว โชคดีที่ได้โต๊ะนั่งสี่คนพอดี ผมสั่งเส้นหมี่ลูกชิ้นของโปรดให้ลูกสาว ความรีบทำให้ลืมต่อท้ายคำสั่งว่า “ไม่ใส่ผัก” จึงเป็นภาระของผมที่จะต้องบรรจงเขี่ยใบหอมและใบผักชีที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างเส้นหมี่ออกทีละชิ้นๆ หลังจากที่ตรวจสอบด้วยความรอบคอบว่า ไม่มีเศษผักหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ลูกรักจึงยอมกินเส้นหมี่ลูกชิ้นชามนั้น ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็คิดว่าคงจะต้องหาทางแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะมากไปกว่านี้
อาหารมื้อเย็นวันอาทิตย์บ้านผมจะเป็นข้าวต้ม เหตุผลสำคัญก็เพื่อลดภาระในการคิดกับข้าวไปมื้อหนึ่ง กับข้าวข้าวต้มเป็นของทำง่าย มักจะมีไข่เค็ม ยำกุ้งแห้ง และไก่หรือหมูต้มเป็นของประจำ ผมขอให้แม่ครัวเพิ่มอาหารประจำขึ้นอีกหนึ่งจานคือ ผัดผักบุ้ง ต่อมาทุกเย็นวันอาทิตย์จึงมีผัดผักบุ้งด้วยทุกครั้ง จานผักบุ้งจะตั้งอยู่ตรงหน้าที่นั่งผมเป็นประจำ เพราะผมเป็นคนสั่งกับข้าวจานนี้ และที่สำคัญกว่านั้นคือไม่มีใครต้องการ ผมกินผักบุ้งจนหมดจานเกือบทุกครั้ง บางระยะผักบุ้งราคาถูก ผัดผักบุ้งจะจานใหญ่เกินกว่าที่ผมจะกินหมด ต้องกระซิบแม่ครัวให้เลือกเอาแต่ใบ ก้านผักบุ้งให้ทิ้งไปเสียบ้าง ภรรยาผมถามว่าชอบผักบุ้งมากนักหรือ เลยบอกตามความจริงไปว่า ชอบแต่ไม่มากนักดอก ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อจะหัดให้ลูกกินผัก
เมื่อทราบเหตุผลเข้า ภรรยาผมเลยช่วยแบ่งภาระในการกินผักบุ้งไปจากผมบ้าง แล้วเริ่มบรรยายคุณสมบัติทางโภชนาการของผักบุ้งว่าประกอบด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ เธอถามลูกคนโตว่าที่โรงเรียนมีสอนเรื่องนี้หรือเปล่า ลูกคนโตยอมรับว่ามี แม่จึงตักให้ลูกคนโตลองชิมดูสักคำ ปากพูดไปด้วยว่า แม้แต่พ่อโตแล้วยังกินเป็นประจำเพื่อรักษาสุขภาพ เป็นไงพอใช้ได้ไหม ลูกคนโตพยักหน้า ลูกคนเล็กขอลองดูบ้าง คนโตรีบมาตักเองแถมอีกหนึ่งคำเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของพี่ คนเล็กไม่ยอมแพ้ เรียกร้องขอคำที่สองบ้าง หลังจากวันนั้นลูกทั้งสองก็มีความสามารถในการกินผักคือผัดผักบุ้งสัปดาห์ละสองคำ
อาหารอย่างหนึ่งที่เด็กส่วนมากชอบ คือเนื้อปิ้งหรือเนื้อย่าง วันหยุดถ้าผมขยัน ก็จะแวะซื้อเนื้อสันในมาหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ คลุกกระเทียม รากผักชี พริกไทย และซอสแมกกี้หมักไว้ เย็นๆเอาออกมาย่างไฟถ่าน ลูกผมชอบมากขอร้องให้ทำอีก ผมจึงบรรยายให้ฟังว่า การกินเนื้อแบบนี้ ถ้าจะให้ถูกหลักต้องมีผักประกอบด้วยอย่างน้อยสองอย่าง ผมให้ลูกเลือกชนิดของผักเองตามใจชอบ ลูกคนโตเลือกแตงกวาและมะเขือเทศ ลูกคนเล็กเลือกผักกาดหอม ผมจึงตัดสินว่าเพื่อความยุติธรรมเราควรมีผักทั้งสามชนิด ตั้งแต่นั้นมาลูกผมก็กินผักได้เพิ่มเป็นสี่ชนิด และกินมาจนถึงทุกวันนี้ เวลานี้ผมไม่ได้ลงมือปิ้งเนื้อเองมาหลายปีและเตาบาบีคิวก็ผุพังไปแล้ว แต่ผักผัดบุ้งจานเก่ายังเป็นอาหารประจำเย็นวันอาทิตย์มาจนทุกวันนี้ และผักบุ้งจานนั้นมิได้เป็นภาระของผมผู้เดียวเหมือนวันแรกๆ อีกต่อไป
ทฤษฎีที่นำมาใช้ในเรื่องลูกรักไม่กินผักมีสองประการ ประการแรก ได้แก่การทำตัวอย่างให้เด็กดู เด็กจะเชื่อ และปฏิบัติตามได้ดีกว่าฟังจากคำพูดเพียงอย่างเดียว ประการที่สอง การให้เด็กมีส่วนในการตัดสินใจเลือกของ เด็กจะมีความรู้สึกว่าเป็นความคิดของตนและจะรักษาไว้ได้ดี
ลองดูสักมื้อสิครับ”
เหตุที่มาสนใจกับเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งก็เพราะว่า ปัจจุบันมีหลักฐานเรื่องประโยชน์ของการกินผักผลไม้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงขนาดบอกได้ว่า ผู้ที่กินผักผลไม้ถึงวันละ 400 กรัม (4 ขีด) จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่กินผักผลไม้เลย 37 เดือน และผู้ที่กินแต่ไม่ถึงวันละ 400 กรัมก็จะมีอายุยืนยาวลดลงเป็นลำดับ (สนใจรายละเอียดอ่านได้จากเอกสารชื่อ การสร้างเสริมสุขภาพและการเสริมพลังชุมชน โดย Google ด้วยชื่อเรื่อง)
บัดนี้เวลาผ่านไป 30 ปีแล้ว จึงขอรายงานความก้าวหน้าถึงสถานการณ์การกินผักของลูกสองคนในขณะนี้ ดังต่อไปนี้
“ลูกทั้งสองคนไม่รังเกียจการกินผักผลไม้ และจะกินผักผลไม้ (เกือบ) ทุกชนิดที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร แต่ถ้าไม่มีก็จะไม่แสวงหา แสดงว่าวิธีการที่ผมใช้กับลูก (ซึ่งก็คิดว่าหนักหนาพอสมควรแล้ว) ยังไม่พอที่จะทำให้ลูกกินผักผลไม้เป็นนิสัย ได้ นั่นคือ ยังจำเป็นต้องใช้ยุทธศาสตร์ ‘ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อพฤติกรรมสุขภาพ’ ที่แสดงไว้ในแผนภาพ ‘พีระมิดผลกระทบต่อสุขภาพ’ ของ Thomas R. Frieden อดีตผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ ที่แสดงไว้ข้างล่างนี้”
ดังนั้น ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้ คงต้องย้อนกลับไปใช้ยุทธศาสตร์์ “ให้สุขศึกษา” เพื่อสร้างนิสัย
ในเอกสาร “ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา” ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (Http://academic.obec.go.th) กล่าวไว้ว่า
(หน้า 4) ทำไมจึงต้องเรียนสุขศึกษาและพลศึกษา
สุขภาพหรือสุขภาวะ หมายถึง ภาวะของมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางปัญญา หรือจิตวิญญาณ สุขภาพหรือสุขภาวะจึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวโยงกับทุกมิติของชีวิต ซึ่งทุกคนควรจะได้เรียนรู้เรื่องสุขภาพ เพื่อที่จะได้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง มีเจตคติ คุณธรรมและค่านืยมที่เหมาะสม รวมทั้งมีทักษะปฏิบัติด้านสุขภาพจนเป็นกิจนิสัย อันจะส่งผลให้สังคมโดยรวมมีคุณภาพ
(หน้า 36) ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง
สาระที่ 4 การสร้างเสริมสุขภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค
มาตรฐาน พ 4.1 เห็นคุณค่าและมีทักษะในการสร้างเสริมสุขภาพ การดำรงสุขภาพ การป้องกันโรค และการสร้างเสริมสมรรถภาพเพื่อสุขภาพ
ชั้น ป. 1 ตัวชี้วัด 1. ปฏิบัติตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ
สาระการเรียนรู้แกนกลาง- การปฎิบัติตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ
ชั้น ป. 5ตัวชี้วัด 1. แสดงพฤติกรรมที่เห็นความสำคัญของการปฏิบัติตามสุขบัญญัติแห่งชาติ
สาระการเรียนรู้แกนกลาง – ความสำคัญของการปฏิบัติตามสุขบัญญัติแห่งชาติ
โปรดสังเกตว่า มีการเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติตามสุขบัญญัติแห่งชาติทั้งในระดับ ป. 1 และป. 5 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้
(หน้า 63 ) สุขบัญญัติแห่งชาติ
ข้อกำหนดที่เด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปพึงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเป็นสุขนิสัย เพื่อให้มีสุขภาพดีทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม ซึ่งกำหนดไว้ 10 ประการ ดังนี้
1. ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด
2. รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง
3. ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังการขับถ่าย
4. กินอาหารสุก สะอาดปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด (ปี พ.ศ. 2551 เรื่องประโยชน์ของผักผลไม้ยังไม่ชัดเจนเหมือนปัจจุุบัน)
5. งดบุหรี่สุรา สารเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ
6. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น
7. ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท
8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอและตรวจสุขภาพประจำปี
9. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
10. มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม
ในเรื่องของพฤติกรรมนั้น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวไว้ (ในหนังสือ แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา หน้า 48) ว่า
“เริ่มตั้งแต่พัฒนาพฤติกรรมให้ดีขึ้น โดยฝึกด้วยความตั้งใจ และมีความเข้าใจ ให้เกิดพฤติกรรมที่ดีงามเกื้อกูลขึ้นมาติดตัว หรือประจำตัว เรียกว่า “ศีล”
โดยทั่วไป ในการฝึกให้เกิดศีลเราจะใช้ “วินัย” เพราะว่าวินัยนั้นเป็นตัวกําหนดรูปแบบ วินัยก็คือการจัดตั้ง วางระบบ กําหนดระเบียบแบบแผน ในสังคมมนุษย์ถ้าเราไม่มีระบบระเบียบแบบแผน พฤติกรรมของมนุษย์จะวุ่นวายมาก เราจึงใช้วินัยเป็นตัวกําหนดหรือจัดระบบพฤติกรรม
เมื่อพฤติกรรมของคนเป็นไปตามวินัยที่จัดตั้งวางกำหนดไว้ ก็เรียกว่า ศีล”
เนื่องจากการสร้างสุขนิสัยต้องอาศัยการฝึกด้วยวินัย ดังนั้นลำพังแต่ละครอบครัวจะทำได้จึงลำบาก คงต้องฝากความหวังไว้กับโรงเรียนและครูที่จะทำงานประสานกับผู้ปกครองในเรื่องนี้ ผ่านการเรียนการสอนกลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา โดยมีสาระการเรียนรู้แกนกลางเป็นการปฏิบัติตามสุขบัญญัติแห่งชาติ
แต่สุขบัญญัติแห่งชาติมีถึง 10 ประการ หลายประการมีความซับซ้อนยากแก่การติดตามดูผลการปฏิบัติได้จริง จึงขอเสนอให้เน้นเพียง 3 ประการที่มีตัวชี้วัดง่ายๆ ได้แก่
1 แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
2. ล้างมือด้วยสบู่ ก่อนกินอาหาร และหลังการขับถ่าย (ทำได้แค่ข้อนี้ข้อเดียวก็คุ้มแล้ว สนใจโปรดดูเรื่อง การเปลี่ยนพฤติกรรม: ลำพังการให้ความรู้ไม่สู้จะได้ผล )
3. กินผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม
โรงเรียนไหนทำได้ ช่วยบอกด้วยครับ จะขอไปดูงาน
อำนาจ ศรีรัตนบัลล์
29 กรกฎาคม 2563
ไม่มีความเห็น