ใน high-functioning classroom (1) ระบุหน้าที่ครูว่า ต้องทำหน้าที่ท้าทาย (challenge) ไม่ใช่ทำหน้าที่นำ (guide)
ผมจึงได้ความคิดว่า หน้าที่อย่างหนึ่งของที่ประชุมคือทำหน้าที่ “ผู้ท้าทาย” (challenger) ให้ที่ประชุมร่วมกันทำความเข้าใจตัวความสำเร็จที่ต้องการในมิติที่ลึกและเชื่อมโยงยิ่งขึ้น รวมไปถึงทำความเข้าใจยุทธศาสตร์และมาตรการที่ใช้ ว่ามีความเหมาะสมเพียงไร ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งคำถามย่อยลงไปว่า วิธีปฏิบัติงานที่ใช้กันอยู่ ควรมีการปรับปรุงอย่างไรบ้าง
ผมหมั่นฝึกฝนตนเองให้ทำหน้าที่ประธานที่เป็น “ผู้ไม่รู้” ไม่ใช่ “ผู้รู้” เมื่อเชื่อมโยงกับการทำหน้าที่ครู ที่ต้องทำหน้าที่ท้าทายศิษย์ ผมจึงคิดต่อว่า แล้วทักษะในการทำหน้าที่ท้าทายเป็นอย่างไร
ค้นได้หนังสือ Challenging Coaching : Going Beyond Traditional Coaching to Face the FACTS น่าสนใจมาก สาระหลักเป็นการทำหน้าที่ โค้ช แนวใหม่ ที่เขาตั้งชื่อว่า FACTS Approach FACTS เป็นคำย่อ มาจาก Feedback, Accountability, Courageous Goals, Tension, และ Systems Thinking คือท้าทายด้วย FACTS
ที่จริงหนังสือเล่มนี้เน้นเสนอการปฏิรูปวิชาชีพด้านโค้ชชิ่ง จาก traditional coaching สู่ FACTS Approach
เขาบอกว่า โค้ชชิ่งแนวอนุรักษ์นิยม เน้นการให้การสนับสนุน (support) ด้วยการฟังอย่างมีส่วนร่วม (active listening) และการตั้งคำถามที่ทรงพลัง (powerful questioning) เน้นช่วยเหลือหรือสนับสนุน ให้บุคคลที่มารับบริการได้ค้นพบทางออกด้วยตนเอง โดยมีฐานมาจากศาสตร์ด้าน psychotherapy ดั้งเดิม
บัดนี้ จิตบำบัดก้าวหน้าไปไกล แต่โค้ชชิ่งยังยึดโยงอยู่กับจิตบำบัดแบบดั้งเดิม ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้รับบริการเป็นตัวของตัวเอง
FACTS-based coaching เน้นความสมดุลระหว่าง support กับ challenge คือทั้งส่งเสริมความเป็นตัวของตัวเอง และท้าทายให้หลุดจากตัวตนเดิม สู่สภาพใหม่ โดยใช้พลังของการกำหนดเป้าหมาย คือ ตัว C (Challenging Goal) ใน FACTS เน้นการท้าทายให้ออกมาจาก comfort zone ของตน
โค้ชชิ่งแนวดั้งเดิม เน้นการสนทนาอยู่ใน comfortable zone ที่เรียกว่า zone of comfortable debate แต่โค้ชชิ่งแนว FACTS เน้นการสนทนาใน ZOUD (zone of uncomfortable debate) โดยไม่ทำลายปฏิสัมพันธ์อันดีระหว่างโค้ชกับผู้รับบริการ ที่ผมเรียกว่า constructive disagreement … ไม่เห็นพ้องอย่างสร้างสรรค์ ที่ผมอยากแปลง ZOUD zone of uncomfortable dialogue เน้นที่การเสวนา ไม่ใช่เน้นความไม่เห็นพ้อง และมองความไม่เห็นพ้องเป็นเส้นทางสู่การค้นพบชุดความคิดใหม่ หรือเป้าหมายใหม่
ที่จริงหนังสือเล่มนี้อธิบายแต่ละตัวของ FACTS อีกมากมาย แต่ผมขอย้อนกลับไปที่การทำหน้าที่ประธานการประชุมแนวท้าทาย ที่จริงๆ แล้วทำไม่ยาก ด้วยคำถามว่า ท่านใดมีความเห็นที่แตกต่างไปจากความเห็นที่มีผู้เสนอแล้วบ้าง อาจแตกต่างเล็กน้อย หรือแตกต่างระดับขั้วตรงกันข้ามก็ได้ เพราะการประชุมช่วงนี้อยู้ใน creativity mode ยังไม่ถึงช่วงสรุปสู่แนวทางหรือยุทธศาสตร์การดำเนินการ
ประธานผู้ทำหน้าที่ท้าทาย ทำหน้าที่ท้าทายที่ประชุมให้แสวงหา หรือเคลื่อนสู่ ชุดความคิดใหม่ๆ ที่ไม่ย่ำอยู่กับแนวคิดเดิมๆ คือทำหน้าที่กระตุ้นการเรียนรู้ระดับ second- หรือ third-loop learning ในที่ประชุม
วิจารณ์ พานิช
๑ มิ.ย. ๖๓
ไม่มีความเห็น