พระไตรปิฎกอ่านง่าย เล่มที่ ๑๐ (พระสูตร เล่มที่ ๒) เรื่องที่ ๗. มหาสมยสูตร เรื่องการประชุมใหญ่ของพวกเทวดา


๗. มหาสมยสูตร  ว่าด้วยการประชุมครั้งใหญ่ของเทวดา

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์มีเหล่าเทวดาจำนวนมากจาก ๑๐ โลกธาตุมาประชุมกันเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคและเยี่ยมภิกษุสงฆ์

เทพชั้นสุทธาวาส ๔ องค์ ได้มีความดำริดังนี้ว่า “พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ มีเหล่าเทวดาจำนวนมากจาก ๑๐ โลกธาตุมาประชุมกัน เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคและเยี่ยมภิกษุสงฆ์ ทางที่ดี เราก็ควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วกล่าวคาถาองค์ละคาถาในสำนักพระผู้มีพระภาค”

ลำดับนั้น เทพเหล่านั้นหายไปจากเทวโลกชั้นสุทธาวาสมาปรากฏ ณ เบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนออกหรือคู้แขนเข้า ฉะนั้น ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร เทพองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ว่า

                    “การประชุมครั้งใหญ่ในป่าใหญ่

                             มีหมู่เทพมาประชุมกัน

                            พวกเราพากันมายังธรรมสมัย นี้

                            ก็เพื่อได้เยี่ยมสงฆ์ผู้ไม่พ่ายแพ้”

               จากนั้น เทพอีกองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ว่า

                             “ภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้น

                             มีจิตมั่นคง ทำจิตของตนๆ ให้ตรง

                             ภิกษุผู้เป็นบัณฑิตย่อมรักษาอินทรีย์ไว้

                             เหมือนสารถีผู้กุมบังเหียนขับรถม้าไป”

             เทพอีกองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ว่า

                             “ภิกษุเหล่านั้นตัดกิเลสดังตะปู

                             ตัดกิเลสดังลิ่มสลัก ถอนกิเลสดังเสาเขื่อนได้แล้ว

                             เป็นผู้ไม่หวั่นไหว บริสุทธิ์

                             เป็นผู้ปราศจากมลทิน เที่ยวไป

                             เป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคผู้มีพระจักษุ ทรงฝึกดีแล้ว

                             เหมือนช้างหนุ่ม ฉะนั้น”

             เทพอีกองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ว่า

                             “เหล่าชนผู้นับถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

                             จักไม่ไปสู่อบายภูมิ ครั้นละกายมนุษย์แล้ว

                             จักทำให้หมู่เทพเจริญเต็มที่”

การประชุมของเทวดา

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาจำนวนมากใน ๑๐ โลกธาตุประชุมกัน เพื่อเยี่ยมตถาคตและภิกษุสงฆ์ ภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตกาล ที่มาประชุมกัน ครั้งที่มีจำนวนสูงสุดก็เท่ากับพวกเทวดาของเรานี้เองที่มาประชุมกันในบัดนี้ เราจักบอกชื่อของหมู่เทพ จักระบุชื่อของหมู่เทพ จักแสดงชื่อของหมู่เทพ เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว” ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว

พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า

                “เรา จะกล่าวเป็นคาถา

                เหล่าภุมมเทวดาอาศัยอยู่ในที่ใด

                เหล่าภิกษุก็อาศัยอยู่ในที่นั้น

                ภิกษุเหล่าใดอาศัยซอกเขา

                มีจิตมุ่งมั่น มีจิตตั้งมั่น

                พวกเธอมีจำนวนมากเร้นอยู่ เหมือนราชสีห์

                ข่มความขนพองสยองเกล้าได้

                มีจิตสะอาด หมดจดผ่องใส ไม่ขุ่นมัว

                พระศาสดาทรงทราบว่ามีภิกษุกว่า ๕๐๐ รูป

                ผู้อยู่ในป่า ในเขตกรุงกบิลพัสดุ์

       จึงรับสั่งเรียกพระสาวกผู้ยินดีในศาสนามาตรัสว่า

                ‘ภิกษุทั้งหลาย หมู่เทพมุ่งมากันแล้ว

                 พวกเธอจงรู้จักเทพเหล่านั้น’

                ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว

               พากันทำความเพียร’

               จึงมีญาณอันเป็นเหตุให้เห็นพวกอมนุษย์ปรากฏขึ้น

                ภิกษุบางพวก เห็นอมนุษย์ ๑๐๐ ตน

                บางพวกเห็น ๑,๐๐๐ ตน

                บางพวกเห็น ๗๐,๐๐๐ ตน

                บางพวกเห็น ๑๐๐,๐๐๐ ตน

                บางพวกเห็นมากมายไม่มีที่สิ้นสุด

                อมนุษย์อยู่กระจายไปทั่วทุกทิศ

พระศาสดาผู้มีพระจักษุ  ทรงทราบเหตุทั้งหมด ทรงกำหนดแล้วจึงรับสั่งเรียกพระสาวกผู้ยินดีในศาสนามาตรัสว่า

               ‘ภิกษุทั้งหลาย หมู่เทพมุ่งมากันแล้ว

                เธอทั้งหลายจงรู้จักหมู่เทพเหล่านั้น

                เราจะบอกเธอทั้งหลายด้วยวาจาตามลำดับ

                           ยักษ์ ๗,๐๐๐ ตน ที่เป็นภุมมเทวดาอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์

                มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

                มีผิวพรรณงดงาม มียศ

                ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                           ยักษ์ ๖,๐๐๐ ตนอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์

               มีผิวพรรณหลายหลาก

               มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

                มีผิวพรรณงดงาม มียศ

                ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                           ยักษ์ ๓,๐๐๐ ตนอยู่ที่ภูเขาสาตาคีรี

                มีผิวพรรณหลายหลาก

                มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

                มีผิวพรรณงดงาม มียศ

                ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                           ยักษ์เหล่านั้นรวมเป็น ๑๖,๐๐๐ ตน

               มีผิวพรรณหลายหลาก

               มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

               มีผิวพรรณงดงาม มียศ

                ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                           ยักษ์ ๕๐๐ ตนอยู่ที่ภูเขาเวสสามิต

                มีผิวพรรณหลายหลาก

                มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

                มีผิวพรรณงดงาม มียศ

                ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                           กุมภีรยักษ์ผู้รักษากรุงราชคฤห์อยู่ที่ภูเขาเวปุลละ

               มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

               มีผิวพรรณงดงาม มียศ

               ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                           ท้าวธตรฐปกครองทิศตะวันออก

               เป็นหัวหน้าของพวกคนธรรพ์

                เป็นมหาราชผู้มียศ

                แม้บุตรของเธอมีจำนวนมาก

               ต่างมีพลังมากและมีชื่อว่าอินทะ

                มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

                มีผิวพรรณงดงาม มียศ

                ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                           ท้าววิรุฬหกปกครองทิศใต้

                เป็นหัวหน้าของพวกกุมภัณฑ์

                เป็นมหาราชผู้มียศ

                แม้บุตรของเธอมีจำนวนมาก

                ต่างมีพลังมากและมีชื่อว่าอินทะ

                มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

                มีผิวพรรณงดงาม มียศ

                ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                           ท้าววิรูปักษ์ปกครองทิศตะวันตก

                เป็นหัวหน้าของพวกนาค

                เป็นมหาราชผู้มียศ

                แม้บุตรของเธอมีจำนวนมาก

                ต่างมีพลังมากและมีชื่อว่าอินทะ

                มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

                มีผิวพรรณงดงาม มียศ

                ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                           ท้าวกุเวรปกครองทิศเหนือ

               เป็นหัวหน้าของพวกยักษ์

               เป็นมหาราชผู้มียศ

               แม้บุตรของเธอมีจำนวนมาก

                ต่างมีพลังมาก และมีชื่อว่าอินทะ

                มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

                มีผิวพรรณงดงาม มียศ

               ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                            ท้าวธตรฐอยู่ทางทิศตะวันออก

                ท้าววิรุฬหกอยู่ทางทิศใต้

                ท้าววิรูปักษ์อยู่ทางทิศตะวันตก

                ท้าวกุเวรอยู่ทางทิศเหนือ

                ท้าวจาตุมหาราชนั้น

                มีแสงสว่างส่องไปโดยรอบทั่วทั้ง ๔ ทิศ

                สถิตอยู่ในป่า เขตกรุงกบิลพัสดุ์

                           พวกผู้รับใช้ของท้าวจาตุมหาราชเหล่านั้น

               เป็นพวกมีมายา หลอกลวง โอ้อวดก็มาด้วย           

               พวกผู้รับใช้ที่มีมายา คือ

                กุเฏณฑุ เวเฏณฑุ วิฏู วิฏุฏะ

                จันทนะ กามเสฏฐะ กินนุฆัณฑุ และ นิฆัณฑุก็มาด้วย

                ปนาทะ โอปมัญญะ มาตลิผู้เป็นเทพสารถี

                จิตตเสนะ นโฬราชะ ชโนสภะ ปัญจสิขะ

                ติมพรุ คันธรรพเทวราชา

                และสุริยวัจฉสา คันธรรพเทวธิดา ก็มาด้วย

เทวราชเหล่านั้นและคนธรรพ์อื่นๆ ที่มาพร้อมเทวราช ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

อนึ่ง หมู่นาคที่อยู่ในสระนาภสะ และที่อยู่ในกรุงเวสาลี มาพร้อมด้วยพวกนาคตัจฉกะ นาคกัมพลและนาคอัสดรก็มาด้วย และนาคที่อยู่ในท่าปายาคะก็มาพร้อมด้วยหมู่ญาติ

นาคผู้อยู่ในแม่น้ำยมุนา และนาคที่เกิดในตระกูลธตรฐผู้มียศ ก็มาพญาช้างเอราวัณก็มายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

เหล่าครุฑผู้เป็นทิพย์ มีนัยน์ตาบริสุทธิ์ผู้สามารถจับนาคราชได้ฉับพลัน ผู้บินมาทางอากาศถึงท่ามกลางป่ามีชื่อว่าจิตรสุบรรณ

เวลานั้น พวกนาคราชไม่มีความหวาดกลัว เพราะพระพุทธเจ้าทรงกระทำให้ปลอดภัยจากครุฑนาคกับครุฑ เจรจากันด้วยวาจาอันไพเราะต่างมีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

อสูรพวกที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรเป็นผู้พ่ายแพ้ต่อพระอินทร์ผู้ถือวชิราวุธ อสูรเหล่านั้นมีฤทธิ์ มียศเป็นพี่น้องของท้าววาสวะ

พวกอสูรกาลกัญชะมีร่างน่ากลัวมาก พวกอสูรทานเวฆสะ อสูรเวปจิตติอสูรสุจิตติ อสูรปหาราทะและพญามารนมุจีก็มาด้วย

บุตรของพลิอสูร ๑๐๐ ตนที่ชื่อว่าเวโรจนะทุกตน ต่างสวมเกราะเข้มแข็งเข้าไปใกล้ราหูจอมอสูรแล้วกล่าวว่า ‘ขอความเจริญจงมีแก่ท่านบัดนี้ ถึงเวลาที่ท่านควรเข้าไปสู่ป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย’

                           เวลานั้น เทพ ๑๐ หมู่ คือ

               อาโป ปฐวี เตโช วาโย

               วรุณะ วารุณะ โสมะ ยสสะ

               เมตตาและกรุณา เป็นผู้มียศก็มาด้วย

                            เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก

               ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลายหลาก

               มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

               มีผิวพรรณงดงาม มียศ

               ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                            เทพ ๑๐ หมู่ คือ

               เวณฑู สหลี และเทพ ๒ หมู่ คือ อสมะ และยมะก็มา

               เทพผู้อาศัยพระจันทร์ มีพระจันทร์นำหน้ามา

                เทพผู้อาศัยพระอาทิตย์ มีพระอาทิตย์นำหน้ามา

               เทพพวกมันทวลาหกะ มีพระนักษัตรนำหน้ามา

               พระอินทร์ผู้เป็นท้าวสักกะ

               ผู้เป็นท้าวปุรินททะ ท้าววาสวะ

               ประเสริฐกว่าเหล่าเทพวสุ ก็มา

                            เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก

               ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลายหลาก

               มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

               มีผิวพรรณงดงาม มียศ

               ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                            เทพอีก ๑๐ หมู่ คือ

               สหภู ผู้รุ่งเรืองดังเปลวไฟ

               อริฏฐกะ โรชะ ผู้มีรัศมีดังสีดอกผักตบ

               วรุณะ สหธรรม อัจจุตะ อเนชกะ

               สุเลยยะ รุจิระ และวาสวเนสีก็มา

                            เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก

               ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลายหลาก

               มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

               มีผิวพรรณงดงาม มียศ

               ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                            เทพอีก ๑๐ หมู่ คือ

               สมานะ มหาสมานะ มานุสะ

               มานุสุตตมะ ขิฑฑาปทูสิกะ มโนปทูสิกะ

               หริ โลหิตวาสี ปารคะ และมหาปารคะผู้มียศก็มา

                             เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก

               ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลายหลาก

               มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

               มีผิวพรรณงดงาม มียศ

               ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                            เทพอีก ๑๐ หมู่ คือ

               สุกกะ กรุมหะ อรุณะ เวฆนสะ

               โอทาตคัยหะผู้เป็นหัวหน้า วิจักขณะ

               สทามัตตะ หารคชะ มิสสกะผู้มียศ

               และปชุนนเทวราชผู้บันดาลฝนให้ตกทั่วทุกทิศก็มา

                            เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวก

               ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลายหลาก

               มีฤทธิ์ มีความรุ่งเรือง

               มีผิวพรรณงดงาม มียศ

               ต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

                            เทพอีก ๑๐ หมู่ คือ

               เทพพวกเขมิยะ เทพชั้นดุสิต เทพชั้นยามา

               เทพพวกกัฏฐกะ ผู้มียศ เทพพวกลัมพีตกะ

               เทพพวกลามเสฏฐะ เทพพวกโชติ อาสวะ

               เทพชั้นนิมมานรดี และเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดีก็มา

เทพทั้ง ๑๐ หมู่นี้แบ่งเป็น ๑๐ พวกทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณหลายหลากมีฤทธิ์ มีความรุ่งเรืองมีผิวพรรณ งดงาม มียศต่างยินดีมุ่งมายังป่าที่ประชุมของภิกษุทั้งหลาย

เทพทั้งหมด ๖๐ หมู่ล้วนมีผิวพรรณหลายหลาก มาแล้วตามกำหนดชื่อหมู่เทพและเทพพวกอื่นผู้มีผิวพรรณและชื่อเช่นนั้นก็มาด้วยคิดว่า ‘พวกเราจะเข้าพบพระนาคะผู้ไม่มีการเกิด ไม่มีกิเลสดังตะปูผู้ข้ามโอฆะ ได้แล้ว ไม่มีอาสวะผู้พ้นโอฆะได้แล้ว ล่วงพ้นธรรมดำดังดวงจันทร์พ้นจากเมฆฉะนั้น

สุพรหมและปรมัตตพรหมผู้เป็นบุตร ของพระผู้ทรงฤทธิ์ ก็มาด้วยสนังกุมารพรหมและติสสพรหมก็มายังป่าที่ประชุม

ท้าวมหาพรหม ๑,๐๐๐ องค์ ปกครองพรหมโลกท้าวมหาพรหมนั้น อุบัติขึ้นในพรหมโลกมีความรุ่งเรือง มีกายใหญ่ มียศก็มามีพรหม ๑๐ องค์ ผู้เป็นใหญ่กว่าพรหม ๑,๐๐๐ องค์มีอำนาจเฉพาะองค์ละอย่างก็มามหาพรหมชื่อหาริตะ มีบริวารห้อมล้อมมาอยู่ท่ามกลางพรหม ๑,๐๐๐ องค์นั้น’

เมื่อเสนามารมาถึง พระศาสดาได้ตรัสกับพวกเทพทั้งหมดเหล่านั้น พร้อมทั้งพระอินทร์และพระพรหมผู้ประชุมกันอยู่ว่า จงดูความโง่เขลาของกัณหมาร มหาเสนามารได้ส่งเสนามารไปในที่ประชุมใหญ่ของเหล่าเทพด้วยคำว่า

“พวกท่านจงไปจับหมู่เทพผูกไว้ พวกท่านจงผูกไว้ด้วยราคะเถิดจงล้อมไว้ทุกด้านใครๆ อย่าได้ปล่อยให้ผู้ใดหลุดพ้นไป”  แล้วก็เอาฝ่ามือตบแผ่นดินทำเสียงน่ากลัวแต่ ในเวลานั้น ไม่อาจทำให้ใครตกอยู่ในอำนาจได้จึงกลับไปทั้งที่เกรี้ยวโกรธเหมือนเมฆฝนที่บันดาลให้ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฉะนั้น

พระศาสดาผู้มีพระจักษุทรงทราบเหตุทั้งหมด ทรงกำหนดแล้วจึงรับสั่งเรียกพระสาวกผู้ยินดีในศาสนามาตรัสว่า

                          ‘ภิกษุทั้งหลาย เสนามารมุ่งมากันแล้ว

                          พวกเธอจงรู้จักพวกเขา’

                          ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว

                          พากันทำความเพียร

                          เสนามารหลีกไปจากเหล่าภิกษุผู้ปราศจากราคะ

                          ไม่อาจแม้ทำขนของภิกษุเหล่านั้นให้ไหวได้

             พญามารกล่าวสรรเสริญว่า

                          ‘หมู่พระสาวกของพระพุทธเจ้า

                          ชนะสงครามแล้วทั้งสิ้น ล่วงพ้นความหวาดกลัว

                          มียศปรากฏอยู่ในหมู่ชน

                          บันเทิงอยู่กับภูต ทั้งหลาย”

เรียบเรียงใหม่ โดย ดร.ศักดิ์ ประสานดี

หมายเลขบันทึก: 677051เขียนเมื่อ 19 เมษายน 2020 23:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม 2020 23:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท