วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๓ ผมร่วมประชุมทางไกลของสภา มช. มีวาระเรื่อง ข้อบังคับว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ผลงานวิจัย และนวัตกรรม การอภิปรายของกรรมการให้ความกระจ่างในประเด็นคุณค่าของทรัพย์สินทางปัญญา ว่ามีคุณค่าใหญ่ๆ ๒ ด้าน คือด้านวิชาการ (ซึ่งเป็น public ownership) กับด้านธุรกิจหรือการหารายได้ (ซึ่งเป็น private ownership) จริงๆ แล้วข้อบังคับที่กำลังพิจารณาในที่ประชุมนี้มีจุดมุ่งหมายที่ผลประโยชน์ด้านรายได้ แต่ต้องระวังว่าข้อบังคับไม่ก่อความยุ่งยากต่อการนำไปใช้ทางวิชาการ
ในการประชุมมีคนชี้ว่า ในสถาบันอุดมศึกษายุคใหม่ ต้องการสร้างแรงจูงใจให้อาจารย์และนักวิชาการทำงานสร้างสรรค์ ที่อาจมี commercial value การออกข้อบังคับจึงต้องระมัดระวังอย่าให้อาจารย์และนักวิจัยรู้สึกว่าถูกควบคุม แต่ให้รู้สึกว่าข้อบังคับช่วยสนับสนุนการทำงานวิชาการของตน ว่าหากเกิดคุณค่าทางธุรกิจ อาจารย์จะมีส่วนได้รับประโยชน์ ซึ่งในร่างข้อบังคับนี้ได้รับครึ่งหนึ่งของผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น
สำหรับผม เห็นได้ชัดเจนว่า ข้อบังคับนี้เขียนด้วยภาษากฎหมาย ในทางปฏิบัติฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยจึงต้องนำข้อบังคับนี้ไปแปลเป็นภาษาสำหรับนักวิชาการ ชี้ให้เห็นว่าข้อบังคับนี้จะเอื้อประโยชน์แก่อาจารย์และนักวิจัยอย่างไรบ้าง โดยอาจารย์และนักวิจัยต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการเปิดเผยผลงานต่อมหาวิทยาลัย ก่อนนำไปเปิดเผยที่อื่น ซึ่งจะมีผลให้ตนเองขาดสิทธิทางปัญญาในผลงานนั้น
วิจารณ์ พานิช
๒๘ มี.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น