บทเรียนบางสวนจากสงครามเวียดนาม
ผมได้มีโอกาสดูช่อง History Channel เกี่ยวกับ การรบระหว่าง ยักษ์ใหญ่อเมริกัน กับ มดงานอย่างเวียดกง
สิ่งที่ผมเก็บเกี่ยวได้ เกี่ยวกับ การบริหารสมัยใหม่ คือ การบริหารที่สมดุล ระหว่าง IC (Intellectual capital หรือ ทุนทางปัญญา) RC (Relationship capital หรือ Network capital ทุนทางสังคม) และ CC (Collaboration capital หรือ ทุนทางใจ) ดังนี้
ในการรบแบบทั่วๆไป ที่เราทราบในสมรภูมิต่างๆ เราจะพบว่า มีแม่ทัพ นายกอง เป็นผู้นำ สั่งการ บุกซ้าย รบขวา หนีถอย บุก ฯลฯ ก็คล้ายๆ กับ พวกเราที่ทำงานในองค์กร มี เจ้านาย มีหัวหน้างาน คอยสั่งการ เป็นต้น
แต่ในการรบของเวียดกงคราวนั้น แทนที่จะมีผู้นำกองทัพ กองพัน กองร้อย ฯลฯ พวกเขาจะมี ผู้นำ สองฝ่าย ที่ตำแหน่งเท่ากัน คือ ทางการรบ และ ทางการเมือง ปนอยู่ใน กองทัพ กองพัน กองร้อย ฯลฯ เหล่านั้น
เมื่อเวียดกงบุกลงไปทางใต้ เพื่อโจมตี ขับไล่อเมริกัน และ ยึดเวียนามใต้คืนมา ทหารแต่ละกอง จะมี ผู้นำฝ่ายการเมือง ในระดับต่างๆ ช่วยกันปลุกระดมตลอดเวลาสร้างความคึก สร้างกำลังใจ มีการ พูดถึงชัยชนะในอดีต ที่พวกเขาเคยชนะฝรั่งเศสได้ที่ เดียน เบียน ฟู
พี่เลี้ยง จะไม่รีบกระโดดสู่ปัญหา แต่ จะคุยแบบ สร้างความสัมพันธ์ คุยเรื่องดีๆต่อกัน สร้าง RC ก่อน
การอบรมมีทั้งในลักษณะ ห้องเรียน กลางแจ้ง นั่งรวมกลุ่ม และ เป็นพี่เลี้ยง เช่น ใครสักคน ที่กำลังรบอยู่ในเวียดนามใต้ กำลังเสียใจ ที่ พ่อแม่ ที่อยู่ในเวียดนามเหนือตาย เหล่าพี่เลี้ยงหรือผู้นำทางการเมืองจะสังเกตเห็น พูดคุยกัน และก็จะเข้าไปช่วยกัน ล้อมวง พูดคุย ปลุกระดม จนมีแรงฮึดสู้ต่อไป เป็นการสร้างต้นทุน ทั้ง RC และ CCถ้าเรามาดูจุดนี้ จะพบว่า จะมีสักกี่ % ที่ หัวหน้างาน เจ้านายทั้งหลาย จะหัดมาเหลียวแล เพื่อ สร้าง ต้นทุน RC และ CC
ลูกน้องคนไหน โชคดี ที่เจอ เจ้านายแบบ two in one คือ เป็นทั้ง นายในหน้าที่ และ พี่เลี้ยง ลูกน้องคนน้นก็โชคดีไป แต่ จะมีสักกี่ % ที่เป็นแบบนี้
เมื่อ RC และ CC ไปได้ดี ผลก็คือ IC ก็จะไหลออกมา
พวกเขา ยากจนกว่า ทหารอเมริกันมากมายนัก แต่ก็มี IC จึงหยิบฉวยทุกอย่างเอามาเป็นอาวุธ คือ ไม้ไผ่ เศษซากสงคราม ฯลฯ เอามาทำเป็น กับดัก หลุมพราง ฯลฯแม้ กับดักพวกนี้ จะทำได้แค่ ทหารอเมริกันบาดเจ็บ แต่ ก็ทำลายขวัญกำลังใจ เช่น หนามแหลมนั้น ชุบด้วยอุจจาระ ที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค ระเบิดที่ซ่อนอยู่ในซองบุหรี่ ฯลฯ แต่ เมื่อทหารอเมริกันที่ ขาด CC คือ ไม่ได้มารบด้วยความรัก ไม่ได้มีเป้าหมายการรบเดียวกัน คิดไม่ตรงกับรัฐบาล ฯลฯ ผลคือ CC ของฝั่งอเมริกัน ตกลงอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด หน่วย CIA ก็ปรับแผนกลยุทธ์ เริ่มใช้ IC สู้กับ IC พวก CIA จึงใช้ เอาหนามยอกเป็นหนามบ่ง พวกเขา โยนน้ำขวด บุหรี่ ฯลฯ ที่สืบค้น แบบ นักการตลาดว่า พวกเวียดกงของกิน ตื่นเต้นที่ได้เจอ โดนน้ำขวด บุหรี่ หนังสือ ฯลฯ เหล่านี้ ก็ติดกับระเบิดเช่นกัน ซึ่งผลที่ออกมา ก็ไม่น่าจะประสบผลเท่าไรนัก กลับส่งผลตรงข้าม คือ ประชาชนอเมริกัน ประชามคมโลก กลับมองว่า พวกอมเริกันไม่มีมนุษยธรรม การเรียกร้องสันติภาพจึงเกิดขึ้น
พวก CIA จึงศึกษาโครงสร้าง การสื่อสารของพวกเวียดกงและชาวบ้าน แอบอ่านจดหมายที่ชาวเวียดนามส่งวันละเป็นแสนฉบับ และ โยน เครื่องดักฟังที่ซ่อนในกระบอกไม้ไผ่ ฯลฯ เพื่อ ดูว่า มีสาระ ข้อมูลอะไรที่น่าเป็นประโยชน์ เอาไปศึกษา เอาไปทิ้งระเบิด ฯลฯ เปลี่ยนแผนเป็น ทำการจับกุม และรุนแรงไปถึงขั้น ประหารผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน ที่เป็นชาวเวียดนามใต้ จำนวนมากเป็นหมื่นคน รวมถึงส่งสายลับ ไปลอบสังหารถึงในเขตเวียดนามเหนือ
แทนที่จะเป็นผล กลับทำให้ อเมริกันในสายตาชาวโลก ในสายตาคนอเมริกันเอง เริ่มเห็นว่า พวกเขาไม่มีมนุษยธรรม จนในที่สุด รัฐบาลถูกประท้วง ถูกต่อต้านจาก ประชาชนอเมริกันด้วยกันเอง และ ถอยทัพในที่สุด ปล่อยให้เวียดนามใต้และเหนือรบกันเอง
พวกเวียดกง ได้ ชาวบ้านอเมริกัน มาเป็น Network ในที่สุด
เมื่อไม่มีทหารอเมริกัน จากนั้น ไม่นาน พวกเขาก็รวมประเทศกันได้
เรื่องเล่าเกี่ยวกับสงครามเวียดนามนี้ ท่านผู้อ่าน สามารถดัดแปลง เอาไปทำเป็น workshop หัวข้อ เกี่ยวกับ IC / RC / CC หรือ เกี่ยวกับ งานบริหารบุคคล / ผลของการทำสงคราม / จิตวิทยา / การตลาด ฯลฯ เพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ Show & share ได้นะครับ
ขอขอบคุณอาจารย์คนไร้กรอบ...
ขอแสดงความเห็นอกเห็นใจทหารอเมริกันที่ต้องไปอยู่ในอาฟกานิสถาน และอิรัก... อยู่บ้าน(อเมริกา)สบายกว่ากันเยอะ มีหิมะ น้ำ ไฟ พร้อม... ไม่รู้ไปหาเรื่องเจ็บตัวที่นั่นทำไม
ขอขอบคุณครับ
ดร อัจฉรา
วันงาน KM thai ผม มอบหนังสือธรรมะ ให้ คนที่เฝ้า บูธ ไป ได้อ่านหรือยัง
เรื่อง "กายเจ็บ ใจอย่าเจ็บ" เหมาะกับ คนไข้ และ ผู้เกี่ยวข้อง นะครับ