บันทึกชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลนนี้ ตีความจากหนังสือ Poor Students, Rich Teaching : Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty (Revised Edition, 2019) เขียนโดย Eric Jensen ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียน และเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู ผมคิดว่าสาระในหนังสือเล่มนี้ เป็นชุดความรู้ที่เหมาะสมต่อ “ครูเพื่อศิษย์” ที่สอนนักเรียนที่มีพื้นฐานขาดแคลน ผมเข้าใจว่าในประเทศไทยนักเรียนกลุ่มนี้เป็นนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ
บันทึกที่ ๒๒. สร้างความเป็นพวกพ้อง นี้ เป็นบันทึกสุดท้าย ภายใต้ชุดความคิดสร้างความเอาใจใส่ของนักเรียน (engagement mindset) ตีความจาก Chaper 18 : Engage to Build Community
สาระหลักของบันทึกนี้คือ นักเรียนเรียนได้ดีผ่านปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ (และครู) (socialization) เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือชุมชน (community) การสร้างให้ชั้นเรียนเป็นชุมชนของผู้เรียนที่เอาจริงเอาจัง (community of engaged learners) จึงช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน สร้างบรรยากาศการมองโลกในแง่ดีมีความหวัง และช่วยลดความประพฤติที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียน
ในบันทึกนี้ จะกล่าวถึงเครื่องมือสร้างความเป็นพวกพ้อง หรือความเป็นชุมชนเรียนรู้จริงจังในห้องเรียน ด้วยเครื่องมือ ๓ ชิ้น คือ พิธีกรรมสร้างความพร้อมเพรียง, การใช้ reciprocal teaching, และ การเฉลิมฉลองชัยชนะเล็กๆ ของทั้งชั้น
พิธีกรรมสร้างความพร้อมเพรียง
ในหนังสือ Poor Students, Rich Teaching ใช้ชื่อหัวข้อนี้ว่า Solving Common Problems ซึ่งมี ๓ ปัญหาคือ การเข้าชั้นเรียนตรงเวลา, นักเรียนเงียบสงบ, และเลิกเรียนตรงเวลา โดยใช้พิธีกรรมง่ายๆ ใช้เวลาไม่ถึงนาที ที่ต่อไปนักเรียนจะทำจนเป็นนิสัย และช่วยสร้างสภาพชั้นเรียนที่ทุกคนตรงต่อเวลา มีวินัยในการเรียน และมีพลัง
พิธีกรรมประจำชั้น มีหลักการ ๕ ข้อ สำหรับสร้างวัฒนธรรมการเป็นพวกเดียวกัน ได้แก่ (๑) แก้ปัญหาห้องเรียนขาดวินัยได้ ชงัด (๒) นักเรียนทุกคนร่วมกันปฏิบัติอย่างตั้งใจ (๓) ทำได้ง่าย (๔) คาดเดาได้ และ (๕) จบลงด้วยอารมณ์ชื่นมื่น โดยครูแต่ละคนอาจคิดพิธีกรรมประจำชั้นของตน ในลักษณะจำเพาะ และตรงตามหลักการ ๕ ข้อข้างต้น ดังตัวอย่าง
ครูต้องสังเกตว่า นักเรียนคุ้นกับพิธีกรรมที่ใช้แล้วหรือยัง (มักใช้เวลา ๓ - ๕ สัปดาห์) เมื่อนักเรียนคุ้นจนทำเป็นนิสัย ครูต้องเปลี่ยนพิธีกรรม เพื่อไม่ให้นักเรียนรู้สึกเบื่อ หรือจำเจ พลังของพิธีกรรมเกิดจากทุกคนทำพร้อมกัน ทำทุกโอกาสตามที่ตกลงกัน นักเรียนทุกคนแสดงพฤติกรรมเดียวกัน กล่าวคำเดียวกันสั้นๆ อย่างมีพลัง เป็นการสร้างความกลมเกลียวกันในชั้นเรียนด้วยวิธีการง่ายๆ แต่ได้ผลชงัด วิธีง่ายๆ เช่นนี้ แม้ในนักเรียนชั้นโต เช่น ม. ๖ ก็ใช้ได้ผล ผมขอเพิ่มเติมว่า ผมเคยเห็นมูลนิธิข้าวขวัญ ใช้กับผู้ใหญ่ (รวมทั้งผู้สูงอายุ) ที่มาเข้าโรงเรียนชาวนา (ตบมือ ๒ ครั้ง หยุดหนึ่งวินาที ตบมือ ๗ ครั้ง ‘เยี่ยม’ พร้อมกับยกหัวแม่มือทั้งสองข้าง โดยไม่ต้องเปลี่ยนเลยตลอด ๒ ปี)
ให้นักเรียนสอนซึ่งกันและกัน (Reciprocal Teaching)
กิจกรรมนี้ เป็นการใช้ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ หลังจากนักเรียนเรียนสาระวิชาแล้ว ให้นักเรียนจับคู่กับบั๊ดดี้คนเดิม หรือจับคู่ใหม่ก็ได้ แล้วทำกิจกรรมสร้างความรู้สึกอยากเรียน (buy-in) ตามที่ระบุในบันทึกที่ ๒๑ แล้วดำเนินกิจกรรมต่อไปนี้
กิจกรรมเหล่านี้มีการเคลื่อนไหวร่างกายแฝงอยู่ด้วย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด และเพิ่มสารเคมีช่วยการเรียนรู้ในสมอง ได้แก่ โดปามีน และ นอร์อะดรีนาลิน
เฉลิมฉลองชัยชนะเล็กๆ ของทั้งชั้น
เป็นการใช้ความพยายามช่วยกันทำให้บรรลุ “เป้าหมายรายทาง” ที่กล่าวถึงในบันทึกที่ ๕ ตั้งเป้าหมายสูงลิ่ว เพื่อสร้างความกลมเกลียวกันในชั้นเรียน โดยเริ่มต้นที่เป้าหมายปลายทางสูงลิ่ว และมีเป้าหมายรายทาง (milestones / micro goals) เป็นระยะๆ เมื่อใกล้ถึงกำหนดวันที่ระบุเป้าหมายรายทางไว้ ครูพูดถึงเป้าหมายรายทางนั้น และโยงสู่เป้าหมายปลายทางที่มีคุณค่าสูงลิ่วต่อนักเรียน และชี้ให้เห็นว่า เกือบจะบรรลุเป้าหมายรายทางที่กำหนดไว้แล้ว เพื่อกระตุ้นนักเรียนที่อาจยังล้าหลังให้เร่งทำงานหรือเรียนรู้ เป็นการสร้างความมีชีวิตชีวาในชั้นเรียน
เมื่อนักเรียนร่วมกันบรรลุเป้าหมายรายทาง ครูต้องจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง เพื่อใช้เป็นตัวสร้างความมั่นใจแก่นักเรียน ว่าพวกตนทำได้ หากใช้ความพยายาม การเฉลิมฉลองทำได้หลากหลายแบบ โดยควรให้เป็นกิจกรรมทีม ให้แต่ละทีมใช้เวลาปรึกษากัน ๑๕ วินาที แล้วแต่ละทีมดำเนินกิจกรรมให้ทั้งชั้นร่วมกันเฉลิมฉลอง
หรืออาจจัดเป็นพิธีกรรมมาตรฐานของชั้น เช่นให้ตบมือเป็นจังหวะ ตามด้วยเสียงตะโกน “สำเร็จ”
เปลี่ยนวาทกรรม เปลี่ยนพฤติกรรม
ชุดความคิด “สร้างความเอาใจใส่ของนักเรียน” (engagement mindset) เป็น “เสียงในหัว” ของครู ที่บอกว่า เมื่อครูเอาใจใส่นักเรียนทุกคน ทุกวัน การเรียนรู้ที่ทรงคุณค่าจะเกิดขึ้น โดยครูมีเครื่องมือสร้างความเอาใจใส่ต่อการเรียนของนักเรียนตามที่ระบุในบันทึกที่ ๑๙ – ๒๒ และใช้เครื่องมือเหล่านั้น บูรณาการในการเรียนรู้ประจำวัน
วาทกรรมในสมองของครูจะเปลี่ยนจาก “ฉันมีเรื่องต้องสอนมาก และฉันรู้ว่าวิธีสอนที่ดีที่สุดคือการบรรยาย เรื่อง student engagement เป็นเรื่องเหลวไหล” ไปเป็น “ฉันจะ engage กับเป้าหมายที่ทรงคุณค่า กับศิษย์ทุกคน ทุกวัน ทุก ๙ นาทีหรือสั้นกว่านั้น”
ใคร่ครวญสะท้อนคิดและตัดสินใจ
ผมตีความว่า เครื่องมือต่างๆ เพื่อสร้างความสนใจเรียนให้แก่ศิษย์ ตามในบันทึกที่ ๑๙ – ๒๒ นี้ คือเครื่องมือช่วยให้ครูยึดกุมการจัดการชั้นเรียนให้มีระเบียบ มีพลัง โดยที่พลังนี้จะขับเคลื่อนตัวเองด้วยพลังของนักเรียนทั้งชั้น ช่วยลดความยากลำบากในการทำงานของครู ผมเชื่อว่า การดำเนินการนี้จะต้องใช้ความพยายามมากในปีสองปีแรกของชีวิตการเป็นครู หลังจากนั้นเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยเบาแรงครู และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ช่วยให้ครูบรรลุเป้าหมาย “ครูเพื่อศิษย์” ที่มีผลงานดีเด่น
วิจารณ์ พานิช
๑๒ พ.ค. ๖๒
การให้เด็กเตรียมความพร้อมก่อนและหลังเรียนมีพลังมากเลยครับ ผมใช้ในชั้นเรียนภาษาอังกฤษใช้ในการอบรมครูครับ