ทำไมบางคนถึงรักการอ่าน (และบางคนไม่อ่าน)


ด้วยความเกรงใจ ผมพยายามใช้คำว่า “บางคน” ไม่ใช้คำว่า ส่วนใหญ่  เพราะคนไทยติดอันดับประเทศที่คนอ่านหนังสือน้อย (ถึงน้อยมาก) เฉลี่ยปีละ 4 เล่มเอง (ไม่ใช่ปีละ 8 บรรทัดนะ) คิดดูละกัน นี่ก็น้อยมากแล้ว   ทราบไหมครับว่า คนเวียตนาม เฉลี่ยถึง  60 เล่ม !! พอๆ กับจีนและญี่ปุ่น    ผมพูดตรงๆ นะ ผมเห็นคนที่รักการอ่าน ฉลาดทุกคน เวลาเราคุยกับคนที่อ่านหนังสือ เราจะเห็นได้เลยว่า เขามีความคิด ! (แต่ไม่ได้เป็นบรรทัดฐานทั้งหมด คนไม่อ่านบางคนก็มีความคิดนะ ถ้าเขาเป็นคนขยัน )  อย่างไรก็ตามประเทศที่มีคนรักการอ่านมาก ก็เป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญประการหนึ่ง ที่จะบอกได้ว่าประเทศนั้นจะพัฒนาได้เร็วขนาดไหน... เวียตนามแซงเราแน่ๆ เตรียมใจไว้เถอะ

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ผมไม่ได้มีเจตนาจับผิดติเตียนคนไทย  ผมต้องการจะมาค้นหาว่า ทำไม ...มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทย ที่เราได้ประกาศว่า คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก  ว้า ...เรื่องนี้เราก็ไม่ควรแพ้ใครเหมือนกันนะ !

ผมเอง เมื่อก่อนก็เป็นคนที่อ่านพอสมควร  ใช้คำว่าพอสมควร น่าจะปีละ 10 เล่มได้  แต่พอวันนี้อ่านเฉลี่ย 52 เล่ม (อาทิตย์ละเล่ม คือพยายามให้ทัดเทียมคนเวียตนาม)อ่านหนังสือที่มีความรู้นะ พวกเอนเตอร์เทนไม่นับ  รู้สึกได้เลยว่า เก่งขึ้นมาก มันรู้สึกได้จริงๆ   ทำให้มีความมั่นใจตัวเองมากขึ้น ไม่มีความหวาดหวั่นเคอะเขินไม่ว่าจะไปอยู่ที่สังคมไหนก็ตาม เราคุยกับเขาได้หมดทุกเรื่อง บางทีก็กลายเป็นจุดสนใจที่ผู้คนอยากมาขอความรู้   มีความสุขมากขึ้นด้วย เรื่องนี้ผมอยากเน้นเลย   เวลามีความรู้มากขึ้นศักยภาพเพิ่ม ความสุขจะมากขึ้นตามไปด้วยเป็นเงาตามตัว   ลองดูทฤษฎีลำดับความต้องการของมาสโลว์ตามรูปดูก็ได้  มนุษย์เรายิ่งเก่งยิ่งมีความสุข ....ความเก่งคือยอดปิรามิด


พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ธรรมทั้งหลายมีฉันทะเป็นมูลเหตุ การที่คนทำอะไรก็ตาม  มันต้องเกิดความพอใจ(ฉันทะ) ในสิ่งนั้นก่อน   ดังนั้น คนจะรักการอ่าน  เขาต้องได้เจอหนังสือที่เขาชอบ โดยเฉพาะตอนเด็กๆ  อะไรที่เราเจอตอนเด็กเราจะฝังใจ (สมัยนี้เรียกว่าข้อมูลอยู่ในจิตใต้สำนึก) ผมเองเด็กๆ ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น และหนังสือมิติที่ 4  (หนังสือวิทยาศาสตร์) นั่นแหละ กลายเป็นฐานข้อมูลจิตใต้สำนึกให้รักการอ่านในทุกวันนี้

แต่ขณะเดียวกัน ระบบการศึกษาที่น่าเบื่อ ทำให้เกิดความฝังใจด้านลบกับการอ่านเช่นกัน ระบบการเรียนแบบยัดเยียด ประกอบกับสื่อการเรียนที่วิชาก๊ารวิชาการ เปิดอ่านทีไรไม่ถึง 5 นาทีหลับ  นั่นแหละปลูกฝังนิสัยไม่รัก หรืออาจถึงขนาดเกลียดการอ่านไปเลย พอสมัยนี้สื่อการเรียนดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็ช้าไปซะแล้ว  สื่อออนไลน์มาเบียดหมด  จนโรงพิมพ์ต้องทยอยกันปิด

การอ่านหนังสือกับการอ่านบนออนไลน์ต่างกัน  อย่างแรก สื่อออนไลน์บางทีไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองเหมือนหนังสือที่ต้องตรวจทานมากมายก่อนจะตีพิมพ์ได้  อย่างที่สองหนังสือมีรายละเอียดมากกว่า ความรู้ลึกกว่า  และสาการอ่านหนังสือทำให้มีสมาธิมาก  สามารถโฟกัสอยู่กับ Topic นั้นๆ ได้นาน  ในขณะที่ออนไลน์กลับตรงกันข้าม ลดทอนสมาธิลง ข้อมูลมากไปทำให้สมาธิสั้น  ตรงนี้ถือเป็นปัญหาของคนยุคใหม่ ซึ่งการอ่านจะมาแก้ไขได้ด้วย


อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงจะรู้สาเหตุของการรักและไม่รักการอ่านแล้วใช่ไหมครับ... และคงเข้าใจเจตนของผมแล้วว่า  ผมรณรงค์ให้คนอ่านหนังสือ เพราะปณิธานของผมต้องการให้คนเก่ง นิสัยดี และมีความสุข  เวลาผ่านร้านหนังสือนึกได้ ลองแวะหาเล่มที่ชอบ-มีฉันทะกับเรื่องนั้นๆ สักเล่มสองเล่มติดกลับไปอ่านกันเถิด ผมเข้าทีซื้อไม่ต่ำว่า 4 เล่ม

ความลับก็คือ ถ้าเราอ่านแค่วันละ 5 นาที เราจะอ่านได้ 5 หน้า ลองจับเวลาดูก็ได้ อ่านครบ 3 อาทิตย์ สมองจะเกิดความเคยชินจะอ่าน 5 นาทีได้สบายมาก  แนะนำให้ขยับเป็น 8 หน้า  ถ้าอ่านวันละ 8 หน้า จะได้เดือนละ 1 เล่ม ปีละ 12 เล่ม นี่ไม่ขี้เหล่เลย มากกว่าค่าเฉลี่ยคนไทยถึง 3 เท่าทีเดียว หมายถึงเราจะเก่งกว่าคนอื่น 3 เท่า  ไม่ยากใช่ไหมครับ  เป็นการลงทุนน้อยมากแต่ผลลัพธ์ที่เกิดกับชีวิตนี่ประมาณค่าไม่ได้เลย  ผมก็ทำแบบนี้ อ่านวันละ 10 จนขยับไปเป็น 20, 30 จนทุกวันนี้  50-100 หน้าสบายๆ  มีสมาธิอยู่กับหนังสือได้เป็น ชม. อาทิตย์ละเล่มชีวิตเปลี่ยน  ...แต่เชื่อผมไม๊ว่าปีละ 12 เล่มนี่ชีวิตก็เปลี่ยนเยอะแล้ว....ไม่เชื่อก็ลองดูนะ

สุดยอดหนังสือคือวิชาจิตวิทยา เพราะเราต้องอยู่กับคน  เราได้รู้จักคนมากขึ้น เราจะอยู่ได้อย่างมีความสุขมากขึ้นแน่นอน   โดยเฉพาะไอ้คนที่ใกล้ตัวที่สุด คือตัวเอง และสุดยอดจิตวิทยาคือ ศาสนา ครับ อันนี้เกี่ยวข้องกับความสุขความทุกข์ของเราโดยตรง ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญกว่าเรื่องนี้แล้ว บ้านเราหนังสือธรรมะเยอะแยะได้เปรียบสุดๆ  อ่านหนังสือกันนะครับคนไทย อยากให้เก่ง อยากให้มีความสุขมากกว่านี้  ด้วยความปรารถนาดีจริงๆ ตื่นเถิดชาวไทย อย่าให้แพ้ชาติใดๆ อย่างที่พูดไว้เลย  

หมายเลขบันทึก: 662445เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2019 15:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 กรกฎาคม 2019 15:34 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท