ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์และพืช ในทุกสรรพสิ่งจะดำรงตนเป็นระบบนิเวศน์ พึ่งพาอาศัยกัน เป็นสิ่งแวดล้อมที่นำมาซึ่งความรัก ความอบอุ่นและความอยู่รอดซึ่งกันและกัน..
ความใกล้ชิด จึงอาจกลายเป็นความผูกพัน หล่อหลอมจิตใจให้เป็นสุขได้ และเมื่อนำเข้ามาให้เป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต จึงเป็นเรื่องราวของสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่แต่ละคนพึงมี..
ธรรมชาติก็เช่นเดียวกัน..ถ้าเราสังเกตให้ดีจะพบว่า การยึดเหนี่ยว..จะเป็นเพื่อดูแลรักษา มากกว่าการทำลายล้าง จึงดูร่มเย็นและสง่างามนัก
ผมสังเกต..เถาไม้เลื้อยอันสมบูรณ์ เป็นเพื่อนพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่รอบบ้าน กาลเวลาที่เนิ่นนาน ไม้ใหญ่กับเถาไม้เลื้อยสนิทสนมกลมเกลียวและเติบโตไปด้วยกัน
ผมเรียกมันว่า”เถาวัลย์” พันเกี่ยวเกาะเลาะเลี้ยวไปตามลำต้นขนาดใหญ่ของสัตบรรณไม้มงคลคู่บ้าน ไม้เลื้อยภายใต้กิ่งก้านที่ร่มครึ้มดูสงบเย็น เฉกเช่นบุคลิกของสิ่งที่พันเกาะ เหมือนได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบภายใต้ใบบุญของสิ่งที่ยึดเหนี่ยว
คนเราก็มีศาสนา มีศาสดาและพระธรรม ตลอดจนมีพระสงฆ์ผู้สืบทอดศาสนาเป็นเครื่องหล่อหลอมใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน จะอยู่คู่จิตใจเราเสมอไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
บางคนอาจเป็นผู้น้อย..ที่ให้ความเคารพนับถือผู้ใหญ่ เจ้านายหรือผู้บังคับบัญชา อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้มีอำนาจวาสนา มีฐานะที่ร่ำรวยและเป็นผู้มีอิทธิพล..
ในความหลากหลายเช่นนี้..ทุกคนได้พึ่งบุญบารมี มีที่ยึดเหนี่ยวยามเดือดร้อนมีภัย ช่วยให้อยู่รอดและก้าวไกล..เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน
เหมือนกับเถาไม้ประดับที่เลื้อยพันไปบนลำต้นและกิ่งก้านของมะขาม..ดูผสมผสานกลมกลืนแนบเนียน แต่ก็ดูเหมือนมีบารมีแอบแฝง ดูยิ่งใหญ่และมีคุณค่าเหมือนกับสิ่งที่ได้ไปยึดเหนี่ยว..
เถาวัลย์..ที่พันเกี่ยวไปบนต้นปีบและลำไย..ที่ดูจะเริงร่ามากกว่าเพื่อน คงจะซึมซาบเอาความหอมหวานกับสิ่งที่มันยึดเกาะ จนสนิทสมนมคุ้นเคยและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน..
ให้ความรู้สึกเหมือนบอกเราว่า..จงพอใจในสิ่งเราพึงมี..มีคนในครอบครัวที่เราต้องดูแล มีสมาชิกในองค์กรที่เราต้องทำงานไปด้วยกัน..มีเพื่อนที่ต้องคบหาสมาคม ทุกคนทุกฝ่ายล้วนต้องติดต่อประสานซึ่งกันและกัน..มีความรักความผูกพันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ..สุขทุกครั้งที่ได้พบเจอ
ประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัย ดำรงเอกราชอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ เพราะคนในชาติยึดมั่นในสถาบัน”พระมหากษัตริย์”เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้เรามีจิตอาสาที่จะพัฒนาชาติบ้านเมือง ด้วยความร่วมมือร่วมใจและรู้รัก สามัคคี..
ดังนั้น..เราต้องยึดเหนี่ยวใจของเราไว้เสมอ..ในเส้นทางของชีวิต ที่จะช่วยนำพาใจและกายของเราให้เป็นสุข ตลอดจนไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนใครให้เดือดร้อนและเป็นทุกข์เพราะเรา..
พึงระลึกอยู่เสมอว่า..”อันเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน” สอนให้เราระวังตนและดูแลใจตนเองด้วย..ด้วยการฝึกการเป็น”ผู้ให้” ให้ในสิ่งที่ดีงามแก่ตนเองและผู้อื่น
ดังคำกลอนของท่านสุนทรภู่ที่กล่าวไว้ “มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน บิดามารดารักมักเป็นผล ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย..”อย่างไรก็ตามเมื่อเรามีที่พักพิงใจ มีเครื่องยึดเหนี่ยวใจให้สงบเย็นแล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่และทำงานพัฒนาตน จึงได้ชื่อว่าได้ดำรงตนอย่างสมบูรณ์
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒
อันเถาวัลย์พันเกี่ยว ที่เลี้ยวลด ก็ไม่คด เสมือนหนึ่งใน.. น้ำใจคน..คงไม่เกี่ยวกันกับบทความนี้… อาจารย์ สบายดี นะ เจ้าคะ.. เราคงจะมีโอกาศพบกันอีก.. ยายธี.. ค่ะ